ตอนที่ 1339 ลมฤดูใบไม้ผลิผัดพ่าน
การปะชันของอภินิหารเวลาครั้งนี้ เปรียบกันว่าใครจะอยู่เป็นคนสุดท้าย ไม่กลายเป็นโครงกระดูกไปในกาลเวลา จุดนี้บรรพบุรุษเผ่ายมโลกมีความได้ เปรียบกว่า เพราะอายุขัยเขายืนยาว เดิมทีย้อนกลับไปได้มากกว่าหลายหมื่นปี
บางทีซูหมิงอาจไม่ได้เปรียบในจุดนี้ แต่เขาไม่ได้ใช้วิชาแห่งกาลเวลาแม้แต่น้อย เขาเพียงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง มองฟ้า มองจักรวาล ปล่อยให้บรรพบุรุษเผ่ายมโลกใช้วิชาไป
เหมือนกับต้นไม้ ตอนที่มีสายลมพัดผ่าน บางทีอาจจะโคลงเคลงไปตามสายลม แต่สายลมก็ยังเป็นสายลม ต้นไม้ก็ยังเป็นต้นไม้ ที่โคลงเคลงเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่ง มิใช่หนึ่งยุค
รอจนสายลมฤดูใบไม้พัดผ่านไป รอจนแสงยามเช้าสว่างขึ้น ต้นไม้ก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น เจ้าเห็นว่ามันขยับมันก็ขยับ เจ้าเห็นว่ามันไม่ขยับ มันก็ไม่ขยับ
เคยมีคนบอกว่าสิ่งที่ขยับคือจิตใจของคนกับต้นไม้ ที่พูดแบบนี้ก็เพราะจุดสำคัญอยู่ที่คนกับต้นไม้ แต่ในมุมมองซูหมิง สิ่งที่ขยับคือใจตนเอง เพราะว่า…เขาไม่สนใจจิตใจของคนกับต้นไม้เป็นอย่างไร เขาสนใจแค่ตัวเอง ใจตนไม่ขยับ หมื่นสรรพสิ่ง ก็ไม่ขยับ หมื่นสรรพสิ่งไม่ขยับ จักรวาลก็ไม่ขยับ…ดังนั้นทุกดวงจิตจึงไม่ขยับ
ตนคิดว่าเข้าใจคนกับต้นไม้แล้วจึงยิ้มพลางหมุนตัวจากไป แต่ตอนที่เขาหมุนตัวเขา เขาคิดว่าเขาเข้าใจ ทว่าความจริงแล้วถูกต้นไม้เข้าใจต่างหาก หลังจากเหตุและผลคืออะไร…ไม่ใช่ความจริงหรือเท็จ ไม่ใช่ความจริงหรือมายา แต่เป็น…ตอนที่เจ้ารู้ว่า เจ้าเป็นเจ้า เจ้าไม่ใช่เจ้า ตอนที่เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นเจ้า เจ้าก็คือเจ้า
ที่ไม่ขยับและไม่เข้าใจก็เป็นเพราะว่าไม่เข้าใจ ดังนั้น…เขาจึงไม่ต้องเข้าใจ ดังนั้นจึงตระหนักรู้ในขั้นพลังบางอย่างได้ เหมือนกับจิตใจเปลี่ยนของเขา ตอนนี้หลังจากสิ้นสุดลงแล้ว เขาจึงได้เข้าใจหลักการที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง
‘เจ้ากำลังมองต้นไม้ ต้นไม้ก็กำลังมองเจ้า…เจ้ากำลังตระหนักรู้เต๋า เต๋า…ก็กำลังตระหนักรู้เจ้า ตอนที่เจ้าเป็นเจ้า เจ้าไม่ใช่เจ้า ตอนที่เจ้าไม่ใช่เจ้า เจ้าต่างหากคือเจ้า’ ซูหมิงยิ้ม รอยยิ้มนั้นน้อยมาก น้อยจนไม่สังเหตเห็น เหมือนกับรอยยิ้มมุมปากที่เจ้าคิดว่าอ่านออกตอนตระหนักรู้
นี่คือการปะชันแห่งอภินิหารที่ไม่ได้ดุเดือด แสงสว่างจากตัวบรรพบุรุษเผ่ายมโลกอยู่เหนือทุกอย่าง กระทั่งตอนที่มองไปยังเหมือนเหนือกว่าเงามืดที่เป็นตัวแทนซูหมิง ทว่าสุดท้ายเพียงหนึ่งก้านธูป บรรพบุรุษเผ่ายมโลกที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววเหนื่อยล้า ภายในความเหนื่อยล้ายังมีการชื่นชมเสี้ยวหนึ่ง เพียงแต่หายไปเร็วมาก
“ข้าต้องการโลหิตของเจ้าหยดหนึ่ง” บรรพบุรุษเผ่ายมโลกลืมตาขึ้นพร้อมพูดเสียงแหบแห้ง
ซูหมิงยืนขึ้น ไม่ตอบอะไร แต่เดินหน้าไปช้าๆ เดินผ่านข้างกายบรรพบุรุษ เผ่ายมโลกที่นั่งขัดสมาธิอยู่ เดินไกลออกไป…ไม่ได้เอ่ยแม้สักคำ
จนกระทั่งซูหมิงเดินไกลออกไปแล้ว บรรพบุรุษเผ่ายมโลกมีโลหิตไหลจากมุมปาก โลหิตหยดบนอาภรณ์เหมือนหลอมรวมเข้าไป
เขาแพ้แล้ว
ความแกร่งของอภินิหารเวลาของเขาคือพริบตาเดียวก็ย้อนไปได้หลายหมื่นปี เพียงแต่ว่าเขาก็ยังแพ้ซูหมิง ต่อให้ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ซูหมิงไม่ได้ใช้กาลเวลา แม้แต่น้อยก็ตาม แต่เขาก็ยังแพ้อย่างหมดรูป
เหมือนกลายเป็นสายลม กลายเป็นคนที่มองต้นไม้
นี่คือการพ่ายแพ้ในด้านจิตใจ ถึงเขาจะแพ้แต่กลับยิ้ม เหมือนว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่สนใจภารกิจของผู้เฒ่าเมี่ยเซิง แต่ยิ้มออกมาจากใจจริง
ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงคือผู้มีพระคุณของเขา เขาต้องตอบแทนบุญคุณนี้ เผ่ายมโลกต้องตอบแทน แต่ถึงอย่างไร…เขาก็เป็นบรรพบุรุษเผ่ายมโลก เขามองข้ามฐานะนี้ไปบ่อยครั้ง แต่ในใจเขา ฐานะนี้ต่างหากคือสิ่งที่เขาภูมิใจที่สุด
“เจ้าเป็นคนแรกที่เข้าใจแก่นแท้พรสวรรค์เวลาของเผ่ายมโลกอย่างแท้จริง” บรรพบุรุษเผ่ายมโลกกล่าวเสียงเบา ผ่านไปพักใหญ่ถึงยืนขึ้น ไม่ได้หันกลับไปมองเช่นกัน แต่เดินไกลออกไป เดินไปพลางยิ้มไปพลาง จนกระทั่งเดินไกลออกไปแล้วอาภรณ์เขาเริ่มกลายเป็นเถ้าธุลี จากนั้นเป็นขาสองข้าง จนกระทั่งครึ่งตัวบน จนศีรษะและวิญญาณหายไป ตอนที่เดินไกลออกไปเขาได้ลาลับไปอย่างแท้จริง
ร่องรอยทั้งหมดหายไปนับจากนี้ สิ้นชีพ…ด้วยอภินิหารเวลาของตัวเอง!
มันลึกลับและมหัศจรรย์มาก บางทีคนที่เข้าใจอาจมีไม่มาก แต่อภินิหารก็เป็นเช่นนี้ เต๋า…ก็เป็นเช่นนี้
“ข้าดูถูกเขาแล้ว…” ช่วงที่บรรพบุรุษเผ่ายมโลกหายไป ภายในโลกที่สี่ ตรงพื้นที่ช่องโหว่อากาศเชื่อมไปจักรวาลกว้างใหญ่ ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือโบราณที่ซ่อนตัวถอนหายใจเบา พึมพำเสียงเบา
“วิชาแห่งพรสวรรค์เวลา จากที่ข้าเคยอยู่ในโลกของซางเซียงสี่ตัว ทั้งหมดล้วนกำเนิดขึ้นในยุคสุดท้าย ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ซางเซียงตัวนี้ก็ด้วย
เหมือนกับตอนที่คนมาถึงวัยชรา มักจะชอบหวนนึกย้อนไปในอดีต อภินิหาร การย้อนเวลาชนิดนี้ ด้วยความที่ซางเซียงไม่มีอนาคตมีเพียงอดีต ฉะนั้นความจริงแล้วนี่คือสัญชาตญาณโดยธรรมชาติก่อนซางเซียงจะถูกทำลาย มันจึงสร้างเผ่าพันธุ์หนึ่งขึ้นมา
ข้ารวบรวมสายเลือดเผ่าพันธุ์ที่มีพรสวรรค์ชนิดนี้ที่กำนิดในยุคสุดท้ายในสามโลกก่อนหน้านี้เอาไว้แล้ว ตอนนี้อยู่ในโลกซางเซียงตัวที่สี่ พบว่าโลกนี้ให้กำเนิด เผ่ายมโลกใหญ่ขึ้น จากการศึกษามาไม่รู้กี่เผ่าพันธุ์ ข้าพบวิธีที่จะหลอมรวมได้ อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เพียงแค่ปรับแก้ก็จะสร้างเผ่ายมโลกที่รวมเผ่าพันธุ์ที่มีพรสวรรค์เวลาของโลกซางเซียงสี่ตัวเข้าด้วยกัน
นี่คือ เผ่าพันธุ์ที่งดงาม…เป็นเผ่าพันธุ์ที่น่าอิจฉา
เพราะพรสวรรค์พวกเขาแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นข้าถึงไม่มีทางให้เผ่าพันธุ์นี้เจริญรุ่งเรืองต่อไป มันจึงต้องถูกทำลาย เพราะสิ่งที่ข้าต้องการเพียงแค่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์นี้!
โยวหมิงคือหนึ่งในนั้น ซูเซวียนอีก็เช่นกัน ส่วนซูหมิง…เดิมทีข้าไม่สนใจ แต่ด้วยชะตาลิขิต เขากลับเติบโตได้ถึงขนาดนี้!
ยึดครองดวงจิตโลกแท้จริง กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในยุคนี้ ก้าวสู่ขั้นไม่อาจกล่าวตอนปลาย ต่อให้เป็นอย่างนั้น เขาก็ยังถูกข้าควบคุมอยู่ในกำมือ เหมือนกับชีวิตใน โลกซางเซียงหลายตัวก่อนหน้านี้ ไม่มีใครหนีชะตาชีวิตที่พวกเขาควรจะมีได้
พวกเขาหนีการเป็นเครื่องเซ่นที่เสวียนจั้งต้องการไม่ได้ รวมถึงเป็นความลับที่ไม่เคยถูกเปิดเผยระหว่างข้ากับเสวียนจั้ง” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงพูดพึมพำ ก่อนเงยหน้ามองฟ้าไกลๆ
‘แต่เขา…’ ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงพลันมีสีหน้าเหี้ยมโหด ทำให้ทั้งใบหน้าเขาบิดรูป กลิ่นอายพลังที่เหมือนควบคุมไว้ไม่ได้แผ่กระจายมาจากในตัวเขา
‘เขากลับคลำหาขอบเขตแก่นแท้ของอภินิหารเวลาพบ นี่คือระดับที่ข้าค้นคว้ามานานมากกว่าจะได้เข้าใจ เขา…มีสิทธิ์อะไรมาเข้าใจมันเช่นนี้!
วิชาการย้อนเวลามีแก่นแท้ทั้งหมดสี่ระดับ ระดับแรกคือสายลมพัดผ่านต้นไม้ใหญ่ จะเห็นได้ว่าเป็นการย้อนเวลาง่ายๆ ระดับที่สองคือตอนที่สายลมพัดผ่านต้นไม้ใหญ่ มองคนกับต้นไม้อยู่ข้างๆ มองต้นไม้ถูกลมพัด ตระหนักรู้จิตใจไม่เคลื่อนไหวก็จะ ไม่เคลื่อนไหว!
ระดับที่สามถึงกลายเป็นต้นไม้ใหญ่นั้น มีเพียงระดับนี้เท่านั้นถึงจะคลำหาพบว่าอะไรคือพรสวรรค์เวลาอย่างแม้จริง!
ส่วนระดับที่สี่ ข้าเองก็เข้าใจอย่างผิวเผิน แต่ว่าชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้ ข้ารู้สึกชัดถึงร่องรอยของระดับที่สี่นั้นในตัวเขา’ ระหว่างที่ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงหน้าเหยเกย ดวงตา สองข้างเป็นประกายเหี้ยมโหดทีละน้อย
‘ต่อให้เจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกซางเซียงสี่ตัวที่ข้าเคยผ่านมา แต่ว่า…เจ้าถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่อาจหนีชะตากลายเป็นเครื่องเซ่นไหว้ได้!
ฟ้าลิขิตไว้แล้วว่าเจ้าต้องเป็นเครื่องเซ่นไหว้ ลิขิตไว้ว่าสุดท้ายข้าเมี่ยเซิงจะเดินก้าวนั้นออกไป ขึ้นไปคงอยู่เหมือนกับเสวียนจั้ง…รออีกไม่นานแล้ว ยังเหลืออีก สี่ร้อยกว่าปี ใกล้แล้วๆ…’ ใบหน้าผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเริ่มไม่เหี้ยมโหดทีละน้อย จากใบหน้าเหยเกยมาเป็นสงบนิ่ง เขามองไกลออกไปแวบหนึ่งก่อนหันไปมองช่องโหว่ที่เชื่อมไปจักรวาลกว้างใหญ่ แววตาเขามองข้ามจักรวาลนี้ ไม่รู้มองที่ใด รู้สึกรางๆ เหมือนว่าเขาเห็นเข็มทิศที่ทำให้เขาตัวสั่นในจักรวาลไม่มีสิ้นสุดนั้นกำลังตรงมาที่นี่อย่างรวดเร็ว
เขาเห็นว่าบนเข็มทิศนั้นมีชายหนุ่มชุดคลุมดำผมดำนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง สีหน้าเย็นชาไร้คลื่นอารมณ์ใดๆ เห็นว่าบนข้อมือขวาชายหนุ่มคนนี้มีไข่มุกพวงหนึ่ง ไข่มุกหลายเม็ดในนั้นขยับเป็นแสงหม่นวูบวาบ
นัยน์ตาผู้เฒ่าเมี่ยเซิงฉายแววหวาดกลัว จิตใจเขากำลังสั่นไหว ตอนที่ละสายตากลับ เขาผ่อนลมหายใจยาวแล้วค่อยๆ หลับตาลง
ซูหมิงเดินอยู่กลางผืนฟ้า เขาเหมือนชินกับเสียงครึกโครมข้างกายแล้ว ไม่ได้หันกลับไปมองในตลอดทางมานี้ เพราะเขาเข้าใจว่าบรรพบุรุษเผ่ายมโลกหาจุดที่จบชีวิตตัวเองพบแล้ว จึงสิ้นชีพลงภายใต้อภินิหารการย้อนเวลาของตน
บางทีผลแบบนี้อาจเป็นการหลุดพ้นสำหรับบรรพบุรุษเผ่ายมโลก เพียงแต่คำตอบนี้อาจมีเพียงเขาที่เข้าใจ คนอื่นไม่มีทางรู้ใจบรรพบุรุษเผ่ายมโลกตลอดหลายหมื่นปีมานี้
ต่อให้เป็นผู้เฒ่าเมี่ยเซิงก็ทำแบบนี้ไม่ได้
นั่นคือการมองเผ่าพันธุ์ที่ตนสร้างความรุ่งเรืองให้กลายเป็นซากปรักหักพักเพราะการผลักดันของตนเงียบๆ คนนับไม่ถ้วนตายจากไป เสียงคำรามแหลมก่อนตายนั้น ไม่รู้ว่าลอยขึ้นมาในความคิดบรรพบุรุษเผ่ายมโลกขณะนั่งฌานคนเดียวเป็นบางครั้งหรือไม่
บางทีอาจจะใช่ เพราะเขาคือ บรรพบุรุษเผ่ายมโลก
บางทีอาจไม่ เพราะเขาคือ ทาสของเมี่ยเซิง
ซูหมิงเดินไปเงียบๆ เดินอยู่กลางฟ้า จังหวะก้าวไม่เร็ว แต่ทุกก้าวฟ้าจะเปลี่ยนไป จนกระทั่งไปหยุดอยู่หน้าดาวดวงหนึ่ง
เขามองดาวดวงนี้ สิ่งที่ตาซ้ายเห็นคือพลังชีวิตเปี่ยมล้น ด้านบนมีผู้ฝึกฌานมากมาย มีคนธรรมดากำลังใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข สายน้ำใสภูเขาเขียวขจี ฟ้าคราม ทะเลบนแผ่นดินแฝงไว้ด้วยพลังชีวิตมากกว่า และยังมีการขึ้นลงของเทือกเขา เต็มไปด้วยการคงอยู่เหมือนกับกฏ
เด็กเลี้ยงสัตว์คนหนึ่งกำลังมองตนอยู่ตรงกลางภูเขา
แต่ว่า…ในดวงตาขวาซูหมิง เขาเห็นเป็นก้อนเนื้อยักษ์ที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นก้อนหนึ่ง ก้อนเนื้อนี้มีมือนับไม่ถ้วนขยับยึกยือ เทือกเขาข้างบนเป็นหนามกระดูกนูนขึ้น ทะเลก็เป็นหนองน้ำตรงส่วนหลังของมัน เทือกเขาขึ้นลงเป็นเพียงกระดูกรูปสี่เหลี่ยม ขนมเปียกปูนบนตัวมัน ส่วนผู้ฝึกฌานและคนธรรมดาเหล่านั้นล้วนเป็นโครงกระดูกที่ไม่มีชีวิตและตายมาไม่รู้กี่ปีบนตัวมัน
ตรงระหว่างคิ้วก้อนเนื้อยักษ์นี้ เด็กเลี้ยงสัตว์คนหนึ่งกำลังยืนมองตนอยู่ตรง กลางหนามกระดูกลาดเอียงคล้ายกับกลางภูเขา