Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1344

SVTASR

ตอนที่ 1344 ต้องการความผิดพลาด

ณ ฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน ขณะเดียวกับที่ร่างแยกคนชุดคลุมดำสามคนที่แปลงกายเป็นซูหมิงก่อการสังหารจนเกิดเป็นความแค้นขึ้น โลกที่ผู้สูงส่งหวนคืนสามคนอยู่ในฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน เสวียนจิ่วกลายเป็นน้ำสีดำไปแล้ว

เฟยฮวาลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าขมขื่น ไม่ต้องสัมผัสใบหน้าตัวเองนางก็รู้สึกได้ถึงพลังชีวิตที่ใกล้จะมอดดับของตน แม้พลังชีวิตใกล้จะมอดดับ แต่ความจริงยังมีเวลาอีกพันปี

แต่ว่า…ใบหน้านางมิใช่อย่างในเวลาปกติแล้ว ใบหน้านางแก่ชรา เส้นผมสีขาว ตัวนางถูกสูบพลังชีวิตมากเกินไปจนกลายเป็นวัยชรา

นางถอนหายใจเบา ไม่ได้ทำใจไม่ได้อะไร ด้วยนิสัยนิ่งๆ เลยทำให้ยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้ เดิมทีนางไม่เห็นด้วยกับการวางแผนต่อผู้แข็งแกร่งสามรกร้างที่ตนไม่เคยพบมาก่อน แต่อีกสองคนเห็นด้วย นางเลยต้องยอมรับโดยนัย

ยามนี้ตอนที่ยืนขึ้นช้าๆ นางมองไปยังเซียวซงบนอีกแท่นบวงสรวง หน้าตาเขาก็ไม่หล่อเหลาอย่างในอดีตอีก และก็ไม่แก่ชราอย่างเฟยฮวา แต่กลายเป็นดั่งซากศพ ระดับความแห้งเหมือนกำลังเน่าเปื่อย ประหนึ่งว่าเพิ่งคลานออกมาจากโลงศพ ไม่กี่เดือน

กลิ่นเน่าเหม็นฟุ้งกระจาย จากนั้นเซียวซงคำรามเสียงแหลมยิ่งดังก้องฟ้าดิน เขารู้สึกเจ็บไปทั่วร่าง เหมือนมีแมลงนับไม่ถ้วนกำลังกัดตัวเขา กำลังชอนไช ต่อให้เป็นจิตวิญญาณก็เช่นกัน ภายใต้ความเจ็บปวดนี้ พลังเขาที่เดิมทีถูกกัดกร่อนสาหัสกว่าเดิม ทำให้จิตสำนึกเขาตกอยู่ในห้วงความสับสน ราวกับว่า…เสียสติไปแล้ว

เขาร้องโหวนหวนพร้อมบินขึ้น บินไกลออกไปพลางส่งเสียงแหลมดังก้อง

“เจ็บ…ข้าเจ็บ!” เสียงเขากลายเป็นเสียงสะท้อนทีละน้อย ตอนที่ค่อยๆ หายไป เฟยฮวาก้มหน้าลงเงียบๆ ครั้งนี้พวกนางสามคนแพ้อย่างหมดรูป เสวียนจิ่วสิ้นชีพ เซียวซงเสียสติ ส่วนนาง…ก็เสียความงามไป แม้พลังจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่ชีวิตเหลือแค่พันปี

ทุกอย่างเหล่านี้ สุดท้ายกลายเป็นเสียงถอนหายใจ เฟยฮวามองไปรอบๆ แล้วเดินอากาศไป นางเหนื่อยแล้ว นางอยากอยู่บ้านเกิดตัวเอง ใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายเงียบๆ

‘บางทีข้าอาจรอเขาไม่ไหวแล้ว…เดิมทีเขาก็ไม่สนใจข้าอยู่แล้ว เขาสนใจแค่พี่สาว…’ เฟยฮวาส่ายหน้าอย่างขมขื่น เดินไกลออกไป

คล้อยหลังเฟยฮวา ในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ กระเรียนขนร่วงกำลังสั่งสอนเหยียนเผยอย่างลำพองใจ และยังปนไปด้วยคำพูดโอ้อวดตัวเอง เหยียนเผยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มองจื่อรั่วที่กำลังเหม่อลอยอยู่ไม่ไกลตลอดพลางขบคิดในใจว่าเกิดอะไรขึ้นในหลุมศพผู้เฒ่าเมี่ยเซิงกันแน่

ขณะกระเรียนขนร่วงกำลังพูด หัวใจมันถูกบางอย่างทิ่มแทงจนเจ็บปวด มันเงียบไป ก่อนเงยหน้ามองฟ้าอย่างสับสน มองไปทางฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนด้วยแววตาสับสน

ในความคิดมันปรากฏภาพหนึ่ง ในภาพนั้นมีสตรีคนหนึ่ง นางกำลังยิ้มมอง ชายหนุ่มหล่อเหลาข้างกาย สองคนเพ่งมองกันและกัน ไม่ได้สนใจว่าไกลออกไปมีกระเรียนดำตัวหนึ่งกำลังจ้องชายหนุ่มคนนั้นตาเขม็งด้วยสีหน้าริษยา ข้างกายกระเรียนตัวนั้นมีเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ เด็กสาวคนนี้กำลังลูบขนสีดำของมันด้วย สีหน้าไร้เดียงสา

ภาพนี้รบกวนจิตใจกระเรียนขนร่วง ทำให้มันยกกงเล็บขึ้นจับใบหน้าตัวเองอย่างแรงโดยจิตใต้สำนึก หลังสะบัดตัวแล้ว ภาพในที่ทำให้มันเจ็บปวดในความคิดก็หายไป มันพลันรู้สึกว่าตนไม่มีใจอยากจะคุยกับเหยียนเผยแล้ว

มันเกิดอารมณ์ชั่ววูบขึ้นมา มันอยากไปฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนสักครั้ง มันไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงต้องทำแบบนั้น แต่อารมณ์ชั่ววูบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงท้ายที่สุดมันกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปยังฟ้ากระจ่างดาวในขณะที่เหยียนเผยตะลึงงัน

ปีกที่สี่ของซางเซียง โลกฟ้าแหว่งที่เด็กเลี้ยงสัตว์เอ่ยถึง นี่คือนามที่ตรงไปตรงมายิ่ง ฟ้าที่นี่อาจไม่ได้แหว่งในจุดที่ผู้คนมองเห็น แต่เป็นจุดที่มองไม่เห็น ผู้คนรู้ว่าที่นั่นมี ช่องโหว่หนึ่ง

หากเปรียบฟ้ากระจ่างดาวเป็นท้องฟ้า เช่นนั้นฟ้านี้…ก็แหว่งจริงๆ

ซูหมิงเดินหน้าไปยังจุดที่ฟ้าแหว่งตามที่ดวงจิตเห็นก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้มอง ฟ้าแปลกตา แม้ที่นี่ก็เป็นโลกของซางเซียงเหมือนกัน แต่ไม่ใช่บ้านเกิดเขา รอจนหาพวกเทียนเสียจื่อพบ เขาก็จะไปจากที่นี่ ฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนก็เช่นกัน เขาจะกลับบ้านเกิด กลับไปสำนักยอดเขาลำดับเก้า…ใช้เวลาหลายร้อยปีในช่วงสุดท้ายขวางไม่ให้ภาพในวงแหวนอาคมธูปสวรรค์เป็นจริง

‘ผู้เฒ่าเมี่ยเซิง ข้าต้องให้เขาทำผิดพลาดถึงชีวิต มีแต่เกิดความผิดพลาดเท่านั้น ไม่ว่าสุดท้ายเขาจะมีแผนการอะไร ความผิดพลาดนี้…จะเป็นปมเงื่อน! หากเขา ไม่พลาด เช่นนั้นข้าก็จะให้ความผิดพลาดแก่เขา!’ ซูหมิงเดินหน้าไปอย่างสงบนิ่ง เขาชินกับเสียงครึกโครมข้างกายแล้ว เขาดูเหมือนไม่เร็ว แต่ด้วยพลังเขา ไม่นานก็มาอยู่ตรงจุดที่เด็กเลี้ยงสัตว์บอก และก็เป็นจุดที่ดวงจิตเขาเคยเห็น นั่นคือ ข้างช่องโหว่จักรวาลกว้างใหญ่

มองไกลๆ ช่องโหว่นั้นเป็นร่องรอยถูกฉีก ตรงขอบไม่มีกฏตายตัว จักรวาลกว้างใหญ่ข้างนอกเป็นสีเทา กว้างไกลไร้พรมแดน มีหมอกจางหมุนตลบ เหมือนซ่อนความลับเอาไว้

ยิ่งเข้าไปใกล้ที่นี่มากเท่าไร กลิ่นอายพลังของจักรวาลกว้างใหญ่ก็ยิ่งเข้มข้นมากเท่านั้น หากเป็นผู้ฝึกฌานธรรมดา ตอนนี้จะต้องถูกพลังในร่างกายรบกวนอย่างรุนแรงแน่ และก็มีเพียงผู้แข็งแกร่งอย่างเด็กเลี้ยงสัตว์เท่านั้นถึงจะอยู่ในจักรวาลกว้างใหญ่ได้ ได้เห็นโลกข้างนอก

ซูหมิงเดินไปทีละก้าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง จนกระทั่งเดินมาใกล้กับช่องโหว่นี้ ยืนอยู่ตรงนั้นมองจักรวาลกว้างใหญ่ข้างนอกเงียบๆ ตามที่เด็กเลี้ยงสัตว์พูด เรือโบราณ ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็จินตนาการได้ว่าบางทีตอนนี้…ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงกำลังมองตนอยู่

“ไม่อยากพบข้ารึ…” ซูหมิงกล่าวขึ้นเรียบๆ

“หรืออาจจะคิดว่ายังไม่ถึงเวลาพบกัน” ซูหมิงหมุนตัวกลับหันหลังให้ช่องโหว่ มองไปยังมวลอากาศ

ตอนนี้เองผู้เฒ่าเมี่ยเซิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือกลางอากาศกำลังมองซูหมิง สองคนเหมือนมีโลกต่างกันขวางอยู่ ต่างเพ่งสายตามองกัน

“ในเมื่อเจ้าไม่อยากปรากฏตัว ข้าก็จะไม่บังคับ” ซูหมิงพูดขึ้นเรียบๆ ระหว่างที่เสียงดังกังวาน เสียงไม่ได้อยู่เหนือเสียงครึกโครมรอบๆ แต่คล้ายกับหลอมรวมเข้าไปในเสียงนั้น ทำให้ได้ยินไม่ชัด

“แต่ว่า…” ซูหมิงยกมือซ้ายขึ้น ก้มหน้ามองลายมือตัวเองแวบหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ กำหมัดซ้ายยื่นไปทางอากาศช้าๆ เหมือนกับกดไป

เมื่อกดไป เสียงโครมครามที่ดังเป็นนิรันดร์ที่นี่เงียบลงอย่างแท้จริง ตอนนี้เองเสียงของทั้งโลกหายไปจนหมด

สถานการณ์นี้ดำเนินมาได้ราวสามลมหายใจทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ราวกับว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น ซูหมิงดึงมือซ้ายกลับ ไม่กล่าวใดๆ อีก แต่หมุนตัวเดินไปทางจักรวาลกว้างใหญ่ เดินออกไปหนึ่งก้าว

เขามาที่นี่มีเป้าหมายคือ ผู้เฒ่าเมี่ยเซิง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายซ่อนตัว เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากพบตน ในเมื่อเป็นอย่างนั้น…ซูหมิงก็จะเดินหน้าต่อไปอีกเป้าหมายหนึ่ง

นั่นคือ…ทดลองจักรวาลกว้างใหญ่ที่ว่า สถานที่ที่ซางเซียงบินอยู่อันตรายเพียงใด ซูหมิงต้องสัมผัสด้วยตัวเอง และยังต้อง…มองซางเซียงตัวที่เขาอยู่นี้จากข้างนอก!

ระหว่างก้าวเดิน ซูหมิงกลายเป็นสายรุ้งยาวสายหนึ่งเข้าไปใกล้ช่องโหว่นั้นด้วยความแน่วแน่ วูบเดียวก็พุ่งออกจากโลกซางเซียงเป็นครั้งแรกในชีวิต เข้าไปยังกลางจักรวาลกว้างใหญ่

ตอนนี้จิตใจที่สงบนิ่งยังเกิดระลอกคลื่น ความรู้สึกนี้ไม่อาจบรรยาย นั่นคือ การก้าวข้าม การยกระดับ และยังมีความแปลกตาที่ก้าวเข้าไปอย่างแท้จริง!

ถึงอย่างไรที่เขาสัมผัสมาในอภินิหารย้อนเวลาก็ต่างกับตอนนี้ที่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง

แทบเป็นช่วงที่ซูหมิงเข้าไปในจักรวาลกว้างใหญ่ ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงบนเรือรบที่ซ่อนอยู่ข้างช่องโหว่ดวงตาขยับประกายวาววับ ก่อนก้มหน้าลงมองหัวเรือตัวเอง ป้ายไม้ที่ เดิมทีอยู่ตรงนั้น ตอนนี้มีตราประทับฝ่ามือเพิ่มมาอย่างชัดเจนรอยหนึ่ง

ตราประทับฝ่ามือนี้มองแวบแรกก็ชัดเจนยิ่ง แต่หากมองอย่างละเอียดจะมองเห็นลายมือไม่ชัด ทว่าสำหรับผู้เฒ่าเมี่ยเซิงแล้ว เขามองแวบเดียวก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายมารจากในตราประทับฝ่ามือ

ความข้นของกลิ่นอายมารนี้แทบจะสมจริง แฝงไว้ด้วยอำนาจคุกคามรุนแรง ต่อให้เป็นผู้เฒ่าเมี่ยเซิงก็ยังต้องสนใจอำนาจคุกคามนี้ เพราะซูหมิงเข้าใจถึงระดับที่ก่อให้เกิดอันตรายได้แล้ว

เพียงแค่รอยประทับฝ่ามือหนึ่ง ข้ามเรื่องในรอยประทับฝ่ามือแฝงไว้ด้วยอะไร ไปก่อน เพียงแค่การปรากฏของฝ่ามือก็อธิบายได้เรื่องหนึ่งแล้ว เขาซูหมิง ไม่ใช่ว่า หาเรือโบราณที่ซ่อนตัวอยู่ไม่พบ!

ประกอบกับอำนาจคุกคามที่แฝงอยู่ในตราประทับฝ่ามือกับกลิ่นอายพลังแก่กล้าที่แผ่มาจากในนั้น ทุกอย่างนี้รวมเข้าด้วยกันกลายเป็นคำพูดไร้เสียงจากซูหมิง

คำนี้ไร้เสียง มันคือสัญญาณที่สื่อแค่ความหมาย

“อย่าล่วงเกินเจ้ารึ…” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงพึมพำก่อนยิ้มเยาะมุมปาก

‘สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในยุคนี้เพียงครึ่งยุคช่างโง่เขลาจริงๆ แม้จะฝึกฝนถึงระดับนี้แล้ว แต่ในด้านสติปัญญาก็ยังไม่พอ อำนาจคุกคามนี้มีประโยชน์รึ…หากข้าไม่ล่วงเกินเจ้าเพราะอำนาจคุกคามนี้จริงๆ เรื่องนี้นอกจากน่าหัวเราะแล้วก็มีแต่น่าหัวเราะ

อีกอย่าง ที่บอกว่าเจ้าโง่เขลาก็เพราะตราประทับฝ่ามือนี้ ซูหมิง นี่เท่ากับว่าเจ้ามอบกระบี่ให้ข้าเล่มหนึ่งแล้ว!’ ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงมองรอยตราประทับฝ่ามือพลางยิ้ม มุมปาก ก่อนโบกมือไป ความเลือนรางในรอยตราประทับฝ่ามือถูกขับไล่ออกไป เผยออกมาเป็นลายมือซูหมิงที่ชัดเจนและครบถ้วน!

‘มีลายมือนี้แล้วก็ไม่ต้องใช้โลหิตเจ้าแล้ว’ นัยน์ตาผู้เฒ่าเมี่ยเซิงฉายประกายแสงหม่น เขาย่อมมีวิธีการของตนในการตรวจสอบว่าลายมือนี้เป็นของจริงหรือไม่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version