Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1350

ตอนที่ 1350 ใจคนไม่เพียงพอ

เหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาผู้ฝึกฌานหลายหมื่นคน กลายเป็นความเงียบงันรวมถึงไอหนาวจากก้นบึ้งหัวใจ โดยเฉพาะผู้ที่ฉุนเฉียวหลายคนก่อนหน้านี้ ยามนี้ในใจสั่นไหว ไม่กล้าพูดใดๆ

ในมุมมองพวกเขา ศักยภาพพลังคือทุกอย่าง และศักยภาพที่ซูหมิงแสดงออกมานั่นคือพลังแกร่งกล้าที่กุมไม้เทพไว้ในมือซึ่งตลอดไม่รู้กี่ปีมานี้ไม่มีใครทำได้

คนที่ทำแบบนี้ได้แข็งแกร่งเพียงใด นี่คือสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งหลายหมื่นคนรอบๆ รู้อยู่แก่ใจ ความแกร่งแบบนี้เหนือกว่าพวกเขามากแล้ว

ขณะเงียบ ไม่รู้ว่าใครประสานมือคารวะเป็นคนแรก ต่อมาคนอื่นๆ ก็ประสานมือคารวะซูหมิงทีละคนด้วยสีหน้าความเลื่อมใสจากใจจริง

นี่คือศักยภาพ ในสายตาพวกเขา นี่คือศักยภาพที่ตัดสินทุกอย่าง

ก่อนหน้าจะตระหนักรู้ซูหมิงก็เคยคิดแบบนี้ แต่ยามนี้เขาเข้าใจว่าศักยภาพเป็นเพียงส่วนหนึ่งบนเส้นทางการแสวงหาความจริง นั่นคือส่วนช่วยในเส้นทางการแสวงหาความจริงให้ราบรื่นมากกว่าเดิม นั่นเป็นเพียงส่วนปลาย ไม่ใช่รากฐาน แต่หากให้ส่วนปลายพลิกกลับด้าน เช่นนั้นเส้นทางการแสวงหาความจริงของชีวิตนี้ก็จะอยู่ตรงกันข้ามไปชั่วนิรันดร์

ซูหมิงก้มหน้ามองไม้เทพในมือ ไม้นี้ไม่ใช่ว่าไม่มีใครหลอมได้อย่างที่ทุกคนคิด เพราะว่า…สิ่งนี้เป็นของผู้เฒ่าเมี่ยเซิง

ดังนั้นเว้นแต่จะมีพลังเหมือนกับผู้เฒ่าเมี่ยเซิง มิเช่นนั้นแล้วคนอื่นจะไม่มีทางได้ครองมัน ส่วนเหตุใดผู้เฒ่าเมี่ยเซิงถึงวางมันไว้ที่นี่ไม่ได้เก็บไป จุดนี้ซูหมิงก็ไม่อยากคาดเดามากนัก เขาเพียงแค่รู้สึกว่ามันใช้ได้ หากวันหนึ่งได้ไปจักรวาลกว้างใหญ่ก็จะได้ใช้มันเดินทาง

ดังนั้นเขาจึงเก็บมา

กระทั่งตอนที่มองไม้เทพ เขาคาดการณ์ได้ว่าบางที ช่องโหว่ปีกที่สี่ของซางเซียง…อาจจะถูกสร้างขึ้นจากภายนอกโดยการชนของไม้ยักษ์นี้

ซูหมิงกำมันไว้ในมือ เมื่อเก็บไปแล้วก็มองผู้ฝึกฌานที่ประสานมือคารวะตนรอบๆ แวบหนึ่งแล้วถอนหายใจเบา คนเหล่านี้เป็นคนที่มีความสุข เพราะพวกเขาไม่รู้ถึง ภัยพิบัติที่จะมาในอีกสามร้อยกว่าปีจากนี้ ไม่รู้ถึงการทำลายล้างที่พวกเขาเลี่ยงไม่ได้

บางครั้งผู้ไม่รู้ก็เป็นตัวแทนของความสุข

ซูหมิงส่ายศีรษะแล้วหมุนตัวจากไป เขาต้องจัดการเรื่องสุดท้ายในโลกฟ้าแหว่งของปีกที่สี่ก่อนถึงไปจากที่นี่

ระหว่างทาง ซูหมิงเดินอยู่กลางฟ้า จังหวะก้าวไม่เร็ว แต่ดวงดาวกลับเหมือน เล็กลงเมื่ออยู่ใต้เท้าเขา ตอนที่เดินไปสองก้าว เขาเห็นดาวร่างแปลงเด็กเลี้ยงสัตว์

ซูหมิงเห็นเด็กเลี้ยงสัตว์บนดาวดวงนั้น เห็นชายชราชุดคลุมม่วง เห็นชายหนุ่ม ชุดคลุมขาว และยังมีคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบมาก่อนอีกสี่คน

หลังจากเจ็ดคนนี้รวมวัตถุที่เป็นมรดกแล้วก็อยู่ในโลกดาวอันงดงามดวงนี้มาตลอด ไม่ได้จากไปอีก เหมือนจะอยู่อีกหลายร้อยปีสุดท้ายที่นี่ด้วย เพื่อได้เห็นความงดงามสุดท้ายของโลกนี้

และก็เพื่อรอซูหมิง รอความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขาเหลืออยู่ตอนนี้

บนดาว นอกเมืองรุ่งเรือง ใต้ต้นเฟิง(เมเปิ้ล) ใบสีแดงต้นหนึ่ง ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น ข้างหลังเป็นตะวันยามอัศดงที่ลดระดับลง มันมีสีแดงเสริมดุลกับใบต้นเฟิง จึงไม่เห็นการประชันความงาม เห็นแต่เพียง…ความเศร้าโศกที่ไม่รู้ว่าโปรยปรายลงที่ใด

เมื่อลมฤดูใบไม้ผลิพัดมา เมื่อใบไม้ร่วงลงมา ตอนที่หันไปมอง…บางทีอาจมอง ไม่เห็นร่างเงาใต้ต้นไม้ และก็ไม่เห็นตะวันยามอัศดงข้างหลังร่างเงานั้นแล้ว

เขามองแสงสุดท้ายกับแสงดาวภายในเมืองยามโพล้เพล้ เหมือนกับเห็นการขึ้นลงของทั้งโลก จนกระทั่งเด็กเลี้ยงสัตว์เดินมาไกลๆ จนมาอยู่ข้างกาย จนกระทั่ง ชายชราชุดคลุมม่วงคนนั้นกับชายหนุ่มชุดคลุมขาวมาปรากฏข้างกายซูหมิง พวกเขาไม่ได้รบกวนการมองของซูหมิง แต่ยืนเงียบๆ ด้วยสีหน้าเคารพ และยังมีสหายพวกเขาอีกสี่คน ตอนนี้อยู่ข้างๆ มองซูหมิงพลางรอด้วยความเคารพ

ซูหมิงคือความหวังของพวกเขา สำหรับพวกเขาแล้ว แม้พรุ่งนี้จะต้องตายก็ไม่เป็นอะไร ขอเพียงเต๋าและการตระหนักรู้ของพวกเขาได้ส่งต่อไปก็พอ

ขอเพียงสายเลือดพวกเขา…ไม่ขาดสะบั้น!

นี่คือจิตวิญญาณที่ผู้ฝึกฌานระดับล่างไม่เข้าใจ และก็เป็นขอบเขตที่ผู้ฝึกฌานระดับสูงจำนวนหนึ่งตระหนักรู้ไม่ได้ และเพราะโลกแท้จริงมีจิตวิญญาณแบบนี้ มีคนแบบนี้ จึงฝากตำนานและความหวังไม่มีสิ้นสุดเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ ทำให้ฟ้ากระจ่างดาวแห่งนี้ ในจักรวาลแห่งนี้มีผู้ฝึกเต๋าอยู่ตลอด เหมือนกับ…อุทิศตนให้กับการฝึกฝน!

ตะวันยามอัศดงค่อยๆ ลดลงเหมือนกลายเป็นโลกของผีเสื้อซางเซียง เมื่อลดลงแล้ว บางทีอาจไม่มีวันพรุ่งนี้อีก ประหนึ่งใบเฟิงสีแดงนี้ หากร่วงลงแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจกลับไปบนต้นเฟิงที่ย้อมมันเป็นสีแดงอีก จงโทษสายลมที่พัดแรงเกินไป โทษฤดูกาลที่ผันเปลี่ยนเร็วเกินไป และโทษตัวเองว่า…เหตุใดถึงร่วงลงมา

ซูหมิงถอนหายใจเบา มองแสงไฟหลายครอบครัวค่อยๆ สว่างขึ้นจากเมืองไกลๆ มองฟ้าเป็นคืนมืดทีละนิด แม้เขาจะชอบกลางคืน แต่ตอนนี้เขายอมให้ทุกอย่างคงอยู่ยาวนานจะดีกว่า

“พวกเจ้ามาแล้ว” ซูหมิงพูดขึ้นเบาๆ

เจ็ดคนข้างกายซูหมิงพลันเงยหน้ามองซูหมิงแล้วพากันประสานมือคารวะ

ไม่มีใครพูด ตอนนี้ไม่มีใครอยากพูด ทุกอย่างอยู่ในการคารวะ ไม่อาจกล่าว ไม่ต้องกล่าว

ซูหมิงละสายตาจากเมืองไกลๆ มามองเด็กเลี้ยงสัตว์ เด็กเลี้ยงสัตว์ก็มองเขาเช่นกัน สองคนสบสายตากัน ซูหมิงเห็นความเศร้าทางสีหน้าเด็กเลี้ยงสัตว์ และยังมีความหวัง

“เต๋าของเจ้าพิเศษมาก ทำให้ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก เหมือนกับนามเรียกของเจ้า ป้านปู่จื่อ (เติมส่วนที่ขาด)…บางทีในเต๋าของเจ้า ตอนที่เจ้าลืมตาขึ้น การคงอยู่จะเติมส่วนที่ขาดเพื่อเจ้า ตอนที่เจ้าหลับตา เจ้าจะเติมส่วนที่ขาดเพื่อการคงอยู่

ป้านปู่ ป้านปู้(ครึ่งก้าว)…”

เด็กเลี้ยงสัตว์ตัวสั่น ดวงตาเผยประกายสว่างวาบ เขาอึ้งอยู่พักหนึ่ง ก่อนประสานมือคารวะซูหมิงลงลึก

“ศิษย์ได้รับการสั่งสอน” หลังจากเขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในยุคของเขา ได้เห็นภัยพิบัติแห่งยุคมาเยือนแต่ตนรอดชีวิต นี่เป็นครั้งแรก…ที่เขาใช้มารยาทของศิษย์ เรียกตัวเองว่าศิษย์

คำว่าศิษย์ไม่ใช่ศิษย์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ และก็ไม่ใช่คำเรียกในด้าน ความอาวุโส แต่เป็น…คำขอบคุณอย่างหนึ่งที่ไม่มีลำดับพลังแบ่งหน้าหลังต่อผู้บรรลุเป็นอาจารย์ เหมือนกับบนเส้นทางแสวงหาความจริง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซูหมิงเดิน ไปไกลกว่าพวกเขา ตอนที่หันกลับมาชี้แนะจึงได้ดับความเคารพ

“เต๋าของเจ้ายุ่งเหยิง รวมพลังของชีวิตนี้ถึงจะผสมผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนกับหมื่นสายน้ำรวมกัน จะสำเร็จจิตใจอันมโหฬารพันลึกของผู้เป็นใหญ่ กลายเป็นทะเล แต่สุดท้ายก็ยังปกปิดความคิดของตัวเองไม่มิด” ซูหมิงมองชายชรา ชุดคลุมม่วงพลางพูดขึ้นเนิบๆ

ชายชราชุดคลุมม่วงเงียบ ผ่านไปพักใหญ่ก็ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร และก็ไม่ได้คารวะ

“ส่วนเจ้า…ฝึกกระบี่ถึงจุดสูงสุด ความหมายของการออกกระบี่สังหารคนต้องแข็งห้ามอ่อน ข้าจะพูดให้เจ้าฟังประโยคหนึ่ง…ฟ้ามีวันถูกทำลาย ปฐพีมีวันถูกทำลาย แต่ที่มันไม่ถูกทำลายนั่นเป็นเพราะยังไม่ออกกระบี่” ซูหมิงเอ่ยออกไป ชายหนุ่ม ชุดคลุมขาวได้ยินดังนั้นก็ถอยไปหลายก้าว ก่อนเงยหน้าขึ้นมองซูหมิงแล้วประสานมือคารวะ

“ศิษย์ได้รับการสั่งสอน”

“ข้าไม่เคยเห็นพวกเจ้าสี่คนมาก่อน แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ข้าจะไม่ลบความหวังของพวกเจ้า แต่โลกนั้นมีอยู่หรือไม่ข้าไม่รู้” ซูหมิงกวาดสายตามองสี่คน สี่คนนี้มีความพิเศษมาก ในนั้นมีชายร่างกำยำยิ่ง ยืนอยู่ตรงนั้นมวลอากาศรอบตัวจะบิดเบี้ยวรางๆ ซูหมิงมองแวบหนึ่งก็รู้ว่าอีกฝ่ายควบคุมร่างกายเอาไว้ หากปล่อยพลังทั้งหมด ร่างกายจะต้องใหญ่ยักษ์ไร้ที่เปรียบ

กระทั่งตรงระหว่างคิ้วอีกฝ่ายยังมีจุดดาวเลือนราง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีสายเลือดคล้ายกับเทพโบราณ ความจริงเผ่าพันธุ์ของทุกยุคล้วนมีความคล้ายกันอยู่ และชายร่างกำยำคนนี้ก็เป็นสายเลือดเทพโบราณในยุคแห่งหนึ่ง

ข้างๆ เป็นสตรีคนหนึ่ง มีใบหน้างามเพียบพร้อม แต่ซูหมิงเห็นเงามายารางๆ ข้างหลังนาง นั่นคือตัวประหลาดที่มีเขาเดียว ทั่วร่างเป็นสีเขียว

อีกคนไม่ได้ปกปิดตัว แต่ยืนอยู่ตรงนั้นแผ่กระจายควันดำมาทั่วร่าง ควันดำนี้เข้มข้นและยังมีการกัดกร่อนอย่างรุนแรง มองไม่เห็นหน้าตา เห็นเพียงดวงตาสีแดง คู่หนึ่งในหมอก แต่ร่างกายเขาก็หนีไม่พ้นสายตาซูหมิง นั่นคือสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ที่มี สองเขา

คนสุดท้ายเป็นชายวัยกลางคน สวมอาภรณ์สีดำทั้งตัว ดูเหมือนกับเซียน เต็มไปด้วยความรู้สึกเหนือธรรมดา ซูหมิงไม่แปลกตากับกลิ่นอายพลังนี้ นั่นเป็นของ โลกเซียนที่เขาเคยเห็น

ซูหมิงแค่กวาดสายตามองคนเหล่านี้ ไม่ได้พูดอะไร แต่ทันทีที่ฟ้ามืดลง เขายก มือขวาขึ้น ขณะจะโบกมือดวงตาพลันขยับประกายวาว

“มาถึงเร็วมาก” ซูหมิงพึมพำพร้อมหลับตาลง ตอนที่ลืมตาอีกครั้งก็กลับมาเป็นปกติแล้ว เขายกมือขวาขึ้นโบกไป ทั่วผืนฟ้าพลันเกิดเสียงดังสนั่น กลายเป็นน้ำวนยักษ์แห่งหนึ่ง น้ำวนนี้หมุนวนอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่สามของเขาเปิดออก จิตเต๋า ในนั้นก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน

นี่คือการที่ซูหมิงใช้จิตเต๋าเหนี่ยวนำดวงจิตเปิดรอยแยกของโลกที่อาจจะมีหรือ ไม่มีนั้น!

“ส่งมรดกของพวกเจ้าเข้าไปข้างใน” ชั่วพริบตาที่ซูหมิงเอ่ยเรียบๆ เด็กเลี้ยงสัตว์อ้าปากด้วยสีหน้าเด็ดขาดทันที พลันมีวัตถุแกะสลักสีดำชิ้นหนึ่งพุ่งออกจากปากเขาตรงไปที่น้ำวนบนฟ้า

ชายหนุ่มชุดคลุมขาวดวงตาแวววาว เขาส่งกระบี่ที่อยู่ข้างหลังเขามาตลอดทั้งปีออกไป เมื่อส่งไปแล้วแม้แต่น้ำวนบนฟ้ายังสั่นสะเทือนเหมือนจะหยุดลง ซึ่งจะเห็นได้ถึงความแกร่งของกระบี่

ชายชราชุดคลุมม่วงสะบัดแขนเสื้อ ตรงระหว่างคิ้วขยับยึกยือก่อนเปิดรอยแยกหนึ่งขึ้น จากนั้นมีหินผลึกขนาดเท่ากำปั้นบินออกไป เปล่งแสงสีดำพร้อมกับพุ่งไป บนฟ้า

ส่วนอีกสี่คนต่างก็ส่งวัตถุที่เป็นมรดกของตนออกไป รวมทั้งหมดเจ็ดชิ้นถูกดูดเข้าไปในน้ำวน แต่ตอนนี้เองหินผลึกที่ชายชราชุดคลุมม่วงส่งออกไปเหมือนจะรับไม่ไหวจึงเกิดรอยร้าว รอยร้าวเยอะขึ้นเรื่อยๆ ตามเสียงกึกๆ ทว่าชายชราชุดคลุมม่วงกลับไม่หน้าเปลี่ยนสี หากมองดีๆ จะเห็นว่าเขา…เหลือเพียงเปลือกนอก!

ชั่วขณะที่คนอื่นๆ หน้าเปลี่ยนสี หินผลึกสีดำนั้นที่จะหายไปในน้ำวนพลันมี คนเล็กบินออกมาคนหนึ่ง คนเล็กนี้มีหน้าตาคล้ายกับชายชราชุดคลุมม่วง เขาร้องเสียงแหลมอย่างไม่ยอม เอาแต่จะพุ่งเข้าไปในน้ำวนนั้น ทว่าสุดท้าย…ก็สูญสิ้นไปภายใต้การหมุนวนของน้ำวนจริงๆ

ตอนนี้เองร่างชายชราชุดคลุมม่วงกลายเป็นเถ้าธุลีหายไปในโลกนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version