ตอนที่ 1362 สหายเก่าแห่งดาวทมิฬ
ดาวทมิฬ ดาวที่ซูหมิงเคยคุ้นเคยในแววตา กระทั่งเกิดความรู้สึกอยากกลับมาหลายครั้ง ในนั้นบันทึกอดีตของเทพหมานรุ่นหนึ่งเลี่ยซานซิว ถึงขั้นพูดได้ว่าหาก ไม่มีเลี่ยซานซิวก็ไม่มีดาวทมิฬในปัจจุบัน
ซูหมิงยืนอยู่กลางฟ้ามองดาวทมิฬไกลๆ สายตาค่อยๆ เพ่งมองก่อนมอง ทะเลดาราต้นกำเนิดจิตที่อยู่ไกลยิ่งกว่า จุดต่างๆ ในความทรงจำลอยขึ้นมาละทีน้อย
เขายังจำเพลิงของเตาหลอมลำดับห้าที่เผาทั้งทะเลดาราต้นกำเนิดจิตได้ ยังจำภรรยาของซูเซวียนอีในเตาหลอมนั้น ความรู้สึกที่ซูหมิงหามารดาพบ บางทีความรักของมารดาอาจจะมีความละอายใจที่ลุ่มลึกมาก แต่มีจุดหนึ่งต่อให้เป็นซูเซวียนอี ต่อให้เป็นเหลยเฉินก็ไม่มีวันรู้…
ซูหมิงเคยอยู่บนดาวจักรพรรดิยมโลก เคยปล่อยซูเซวียนอี แม้จะมองออกว่า ซูเซวียนอีใช้ประโยชน์จากตนในการปลดสถานะด้านลบบางอย่างอีก แต่ซูหมิงก็ไม่ได้ลงมือสังหาร
ตรงนี้เกี่ยวกับเหลยเฉินเล็กน้อย แต่ที่มากกว่าคือ…สตรีคนนั้นที่ซูหมิงคิดว่าเป็นมารดามาตลอดช่วงเวลาหนึ่งในเตาหลอมลำดับห้า
เพราะนาง ซูหมิงถึงเลือกวางความแค้นต่อซูเซวียนอี ในผืนฟ้าที่นางอยู่ แม้จะหลับตาก็ยังกอดทารกด้วยความอบอุ่นในอ้อมกอด ไม่ว่าอย่างไรซูหมิงก็ลืมสิ่งนี้ไม่ได้
นั่นไม่ใช่มารดา แต่ในใจซูหมิง หญิงคนนั้นคือมารดา แม้นางจะทำเพราะความละอายใจ เพราะต้องการหาทางหนีเสี้ยวหนึ่งให้กับบุตรแท้จริงก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไร ซูหมิงก็ลืมความเข้าใจในอดีตไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงแค่คืนเตาหลอมลำดับห้าแก่ซูเซวียนอี จบกาลเวลาที่ตนถอนหายใจช่วงนั้นไป ตอนที่หมุนตัวกลับก็ได้ผนึกทุกอย่างด้วยฝุ่นละออง
ตอนนี้กลับมายังจุดที่เคยผงาดขึ้นอีกครั้ง ซูหมิงส่ายหน้าแล้วเดินไปยังดาวทมิฬ แต่ละตระกูลบนดาวตอนนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงในพันปีนี้ ที่รุ่งเรืองในอดีตเป็น หมองหม่น ที่ไม่เตะตาในอดีต บางทีวันนี้อาจเป็นจุดสูงสุด
ซูหมิงเดินมายังดาวทมิฬ ผ่านแต่ละเมือง ผ่านแต่ละเผ่าพันธุ์ ร่างเงาเขาเดินบนดาวทมิฬ จนกระทั่งมาอยู่ในเมืองที่เคยเป็นของเผ่าหมาน นอกโรงเตี๊ยม ยืนอยู่บนเส้นทางที่มีคนเดินขวักไขว่ มองผู้ฝึกฌานรอบๆ เขาเหมือนจะหาความรู้สึกในอดีตพบเล็กน้อย
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างบังเอิญ แสงตะวันสะท้อนเข้าไปในดวงตา สายลมเย็นพัดเส้นผมยาวปลิวไสว อาภรณ์กระพือเบาๆ ซูหมิงในตอนนี้ดูไม่ได้ร่างกำยำ แต่กลับมี กลิ่นอายของบัณฑิตไม่น้อย ซึ่งความจริงนั้นคือสิ่งเลื่อนลอย เป็นความไม่ธรรมดา เป็นความโอหังที่หากเขายินยอมก็จะต่างกับโลกอย่างชัดเจน
แต่ตอนนี้เมื่อซูหมิงมองนามของโรงเตี๊ยมภายใต้แสงตะวันสาดส่อง เขาหยุดชะงัก ดวงตาฉายแววหวนลำรึก
พันปีก่อน
สามคำง่ายๆ คือนามของโรงเตี๊ยมนี้ ตัวอักษรบนป้ายไม้ก็แฝงไว้ด้วยรสชาติของกาลเวลา ราวกับยืนยันความเก่าแก่และความจริงของสามคำนั้น
ซูหมิงยิ้มน้อยๆ ก่อนเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เพิ่งเข้าไปก็มีเถ้าแก่ร้านรีบเดินเข้ามา บางทีอาจเป็นเพราะกลิ่นอายไม่ธรรมดาจากตัวซูหมิงเลยทำให้เถ้าแก่ร้าน ไม่กล้าเอื่อยเฉื่อย เขานำทางไปยังโต๊ะที่ใกล้กับหน้าต่าง นำสุรามาให้หนึ่งเหยือกแล้วก็กับแกล้มอีกหลายอย่าง เห็นซูหมิงยังคงเงียบจึงเอ่ยลาไปต้อนรับแขกคนอื่นๆ
ซูหมิงนั่งดื่มสุราอยู่ตรงนั้น เหมือนย้อนกลับไปพันปีจริงๆ
ยามบ่าย ตอนที่แสงตะวันเปลี่ยนแปลงลอดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง สะท้อนบนใบหน้าซูหมิงเหมือนกับจะหลอมรวมร่างกายเขาในแสงตะวัน ยามที่คนนอกมองมา จะเห็นเพียงแสงอบอุ่น แต่ไม่เห็นใบหน้าซูหมิง
“มาแล้ว!”
“ฮ่าๆ ถึงเวลาแล้ว เถ้าแก่ร้านยังไม่รีบเชิญท่านเฉินอีก พวกเรามาหาเขา”
“ไม่ผิด รีบมาเชิญผู้อาวุโสเฉินมาเร็วเข้า ครั้งก่อนเขาพูดถึงสองมารกระเรียนดำเมื่อพันกว่าปีก่อน ยังไม่รู้เลยว่าสุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร” แขกในโรงเตี๊ยมเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนส่งเสียงดังขึ้นทีละน้อย
เถ้าแก่ร้านรีบน้อมตัวแสดงความเคารพ หลังขานรับแล้วก็รีบเดินเข้าไปในห้อง ไม่นานก็ประคองชายชราชุดคลุมขาว เส้นผมขาวเต็มหัวคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ
เมื่อชายชราปรากฏกาย ภายในโรงเตี๊ยมไม่มีเสียงดังอีก แทบทุกสายตาจับจ้องชายชรา
ซ้ำยังมีพนักงานที่มีไหวพริบดียกเก้าอี้มาให้ชายชรานั่ง เขากระแอมเสียงหลายที ก่อนมองทุกคนด้วยความรู้สึกผ่านโลกมานาน ตอนที่มองซูหมิงเหมือนหยุดชะงัก ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็มองข้ามไป
“ครั้งก่อนข้าพูดถึงไหนแล้ว?” ชายชราลูบแก้วน้ำที่พนักงานนำมาวางไว้ข้างๆ ยิ้มพลางพูดขึ้น กำลังหายใจดูเหมือนมีเพียงพอมาก แต่เมื่อกล่าวออกไปมักจะมีความรู้สึกแหบแห้งเล็กน้อย
“หรือว่าผู้อาวุโสเฉินจงใจลืมกัน ครั้งก่อนพูดถึงสองมารเหลืองดำใช้วิธีหลอกแต่งงานล่วงเกินตระกูลไม่น้อย จนถูกตั้งค่าหัวล่าสังหาร”
“สองมารเหลืองดำอะไร สองมารกระเรียนดำต่างหาก”
“ไม่ว่าสองมารอะไรก็เถอะ ผู้อาวุโสเฉิน ครั้งก่อนพูดถึงตรงนั้นแหละ” ภายในโรงเตี๊ยมเริ่มส่งเสียงจอแจอีกครั้ง มีหลายคนหัวเราะพูดขึ้น
“สองมารนี้ดูเหมือนถูกหลายตระกูลล่าสังหาร แต่กลับมิได้ใส่ใจ โดยเฉพาะกระเรียนตัวนั้นเชี่ยวชาญการแปลงกาย กลายเป็นชายชรากลางเมืองของตระกูลมากมาย…” ชายชราลูบเคราแล้วพูดขึ้นเนิบๆ
คำพูดเขาดูเนิบช้า แต่กลับบรรยายได้สมจริงยิ่ง ไม่นานก็ดึงดูดสายตาคนรอบๆ เข้ามา และยังมีเสียงหัวเราะดังแว่วมาตลอด
“ไม่ผิด อาจารย์ข้ายังบอกว่าเคยถูกชายชราที่เป็นดั่งเซียนหลอกขายยาปลอมไปหลายขวดในเมือง”
“ใช่ ข้าก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน แต่เล่าลือว่าสองมารนี้มีเบื้องหลังที่ใหญ่มาก”
ซูหมิงดื่มสุราพลางฟังชายชราเล่าช้าๆ มุมปากยกยิ้มทีละน้อย
“…แบบนี้แหละ คนสุดท้ายที่สองมารนี้เจอจริงๆ แล้วเป็นเจ้านายของพวกมัน ดังนั้นจึงคิดหนีไปด้วยความกลัว แต่สุดท้ายก็หนีไม่รอด” ชายชราหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง แล้วยิ้มพูดขึ้น
“เจ้านายของสองมารนี้คือใครรึ?”
“เรื่องนี้ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ผู้อาวุโสเฉินรู้ได้อย่างไร?” พอชายชราเล่าจบ ภายในโรงเตี๊ยมก็เกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ชายชราจึงยกมือขึ้น สื่อความหมายให้เบาลง เสียงจอแจจึงค่อยๆ เบาลงไปไม่น้อย
“วันนี้พูดมากหน่อยแล้วกัน พูดถึงเจ้านายของสองมารนี้ พวกเจ้าน่าจะเคยได้ยินว่าในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตเคยมีคนหนึ่งผงาดขึ้น นำเตาหลอมลำดับห้าไป ปล่อยเปลวเพลิงเตาหลอมเผาทั้งทะเลดารา อีกทั้งยังสู้กับทุกเผ่านอกทะเลลำดับห้า ยอดฝีมือที่ตายด้วยมือเขามีมากมาย
ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นกุมก็ยังสิ้นชีพ ขนาดผู้แข็งแกร่งขั้นชะตาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา…”
“เต้าคง ผู้อาวุโสพูดถึงเต้าคงรึ?” ภายในโรงเตี๊ยมมีคนพูดถึงนามนี้ทันที ซูหมิงมี สีหน้าหวนคะนึงคิด นามนี้ฝังอยู่ในความทรงจำเขา ยามนี้นึกถึงมันก็ผ่านมานาน มากแล้ว
“เป็นเต้าคง และก็ไม่ใช่เต้าคง คนนี้มีนามว่าอะไรกันแน่มีน้อยคนนักที่จะรู้ ต่อให้เป็นข้าก็รู้แค่ว่าเขาแซ่ซู เล่าลือว่าเป็นชาวเผ่ายมโลกจากโลกแท้จริงที่ห้าในอดีต!
คนนี้ยึดร่างเต้าคง ไปทะเลดาราต้นกำเนิดจิต สองมารอยู่ข้างกาย กวาดล้าง ทะเลดารา เหนี่ยวนำเพลิงเตาหลอม สยบทุกเผ่าพันธุ์ สังหารคนนับไม่ถ้วน ตอนที่เขาออกจากแดนต้นกำเนิดจิต เขาได้ฝากตำนานเกี่ยวกับตัวเขาเอาไว้
ตำนานว่าไว้ว่าเขาจะไปโลกแท้จริงดาราสัจธรรม!” ชายชราพูดถึงตรงนี้ ภายในโรงเตี๊ยมพลันเงียบลง
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับโลกแท้จริงดาราสัจธรรม การล่มสลายของสำนัก ดาราสัจธรรม การปรากฏของช่องโหว่สามรกร้าง กระทั่งผู้ฝึกฌานฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์บุกเข้าในในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต หากมิใช่เพราะที่นี่กันดารยิ่ง เกรงว่าคงจะเข้าไปอยู่กลางเพลิงสงคราม
แต่โลกแท้จริงดาราสัจธรรมกลับดุเดือดที่สุดตอนที่ฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนมาเยือน มีสำนักนามยอดเขาลำดับเก้าผงาดขึ้น เรื่องนี้ผ่านมานานขนาดนี้แล้วย่อมเข้ามาถึงที่นี่
“เล่าลือว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดในสำนักลำดับเก้าก็แซ่ซูเหมือนกัน!” ชายชราพูดถึงตรงนี้ก็กระแอมไอ พนักงานข้างๆ รีบเข้ามาประคอง ก่อนชายชราจะยิ้มขอโทษทุกคน
“ขออภัยทุกท่าน อาการบาดเจ็บข้ากำเริบอีกแล้ว จะพูดนานไม่ได้ วันนี้ขอบคุณทุกท่านที่มายกยอปอปั้น อีกสองวันข้าจะเล่าเรื่องในอดีตเมื่อพันกว่าปีก่อนให้กับ ทุกคนฟังต่อ”
แทบเป็นขณะเดียวกันที่ชายชราคนนี้ยืนขึ้น ซูหมิงยิ้มมุมปาก หน้าตาชายชราทำให้เขานึกถึงคนหนึ่งในอดีต
“ไม่เจอกันนานสหายเก่า…” ซูหมิงวางแก้วสุราลง ยืนขึ้นเดินไปยังประตูโรงเตี๊ยม ตอนที่เขาเดินไป ชายชรากำลังยิ้มขอโทษทุกคนก่อนบังเอิญเห็นร่างเงาซูหมิง ครั้งนี้ไม่มีแสงตะวัน พอเห็นใบหน้าเต็มๆ แล้วชายชราตัวสั่นสะท้านดูเหลือเชื่อ กระทั่งตอนนี้ใบหน้าชายชรายังเปลี่ยนไป ราวกับว่า…เขาไม่ใช่ชายชรา แต่เป็นหญิงชราเส้นผมขาว
เพียงแต่ว่าเพราะเหตุผลบางประการ นางเลยแสดงออกได้แค่รูปลักษณ์ชายชรา
“หญิงงามผมขาว ความทรงจำดั่งการรอคอยพันปี…รวมความคิดแห่งชีวิต รวมความคิดแห่งการพึ่งพาเพื่อฝึกฝน คงอยู่เพื่อเปลี่ยนตะวันจันทราสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และจิต เรื่องนี้ยากจะคงอยู่ได้ยาวนาน…” เสียงปลงอนิจจังจากซูหมิงดังแว่วมาข้างหูหญิงชรา เมื่อซูหมิงจากไปไกล ตอนที่หญิงชรามองโต๊ะที่ซูหมิงนั่งก่อนหน้านี้ นางเห็นข้างแก้วสุราวางยาเม็ดหนึ่ง
จนกระทั่งซูหมิงจากไป คนที่ดูเหมือนชายชราคนนั้นเหม่อมองประตูโรงเตี๊ยมด้วยสีหน้าซับซ้อนอยู่นานมาก ก่อนถอนหายใจเบา ยามที่ยกมือขวาขึ้น เม็ดยานั้นลอยเข้ามาอยู่ในมือ
ตอนนี้ทุกคนในโรงเตี๊ยมก็เริ่มสังเกตเห็นบางอย่าง จึงพากันมองชายชราคนนั้นอย่างประหลาดใจ
“ผู้อาวุโสเฉิน สหายท่านนั้นคือใครรึ?” มีคนรีบถามขึ้น
“เขาคือคนที่ข้าพูดถึงก่อนหน้านี้…” หญิงชราที่แปลงเป็นชายชราตอบกลับเสียงเบา ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพในอดีต นางในตอนนั้นยังมีกาลเวลาและใบหน้า แต่ยามนี้สหายเก่าเป็นดั่งคนใหม่ ส่วนตนยังคงเดิม…