ตอนที่ 1369 ภัยพิบัติสามรกร้าง 1
เวลาห้าปี อย่าว่าแต่ผู้ฝึกฌาน ต่อให้เป็นคนธรรมดาห้าปีก็ไม่ได้นานนัก แม้ไม่อาจใช้คำว่าผ่านไปในพริบตามาบรรยายได้ แต่ก็มักจะผ่านไปห้าปีไม่รู้กี่รอบโดย ไม่รู้ตัวแล้ว
แต่เมื่อห้าสิบปีก่อน สี่สิบปีจากที่ซูหมิงเริ่มแสดงอำนาจ พูดได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สงบที่สุดในร้อยปีก่อนภัยพิบัติไม่รู้กี่ครั้งของทั้งโลกซางเซียง
ไม่มีการเข่นฆ่าอย่างในอดีต ไม่มีความบ้าคลั่งก่อนภัยพิบัติอย่างในอดีต แต่หวนคืน สู่ความสงบ ผู้แข็งแกร่งยุคก่อนเหล่านั้นส่วนใหญ่เงียบ กระทั่งมีไม่น้อยเลือกจากไป ถึงอย่างไรซูหมิงก็ได้กลายเป็นเงามืดและความน่าสะพรึงสำหรับพวกเขาแล้ว
ภายใต้อันตรายแบบนี้ ต่อให้พวกเขาบ้าคลั่งกว่านี้อีก ให้ปลดปล่อยกว่านี้อีก ก็ยากจะอยู่ได้นานนัก เพราะมักจะรู้สึกไม่ปลอดภัยเล็กน้อย สำหรับพวกเขาแล้ว สี่สิบกว่าปีนี้พูดได้ว่าจืดไร้รสชาติ แต่ในทางกลับกัน ผู้ฝึกฌานที่หนีเข้ามาใน โลกแท้จริงดาราสัจธรรมเหมือนหาความสงบในอดีตพบ เงื่อนไขคือหาก…ไม่มีการสั่นสะเทือนของทั้งมหาโลกสามรกร้าง ไม่มีระลอกคลื่นดั่งมหาสมุทร
สี่สิบกว่าปีมานี้ แรงสั่นสะเทือนของมหาโลกสามรกร้างมากขึ้นเรื่อยๆ ระลอกคลื่นของผืนฟ้าปกคลุม ทำให้ยามที่ผู้คนเงยหน้าขึ้น ท้องฟ้าไม่มีสีครามอย่างเมื่อ สิบกว่าปีก่อน แต่เป็นขุ่นมัว ดวงตะวันไม่ปรากฏมาสิบปีแล้ว แสงจันทร์ก็หายไปเมื่อแปดปีก่อน
เพราะว่าดาวแต่ละดวง แผ่นดินใหญ่ทุกแห่ง ขอไม่บอกว่าทั้งหมด แต่เกือบครึ่งจมอยู่ในมวลอากาศภายใต้การสั่นสะเทือนของสามรกร้าง เห็นแค่เพียงเงามายา มองไม่เห็นทั้งหมด ราวกับว่าผืนฟ้านี้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
ส่วนหนึ่งคือระลอกคลื่นไม่มีที่สิ้นสุด อีกส่วนเป็นฟ้ากระจ่างดาวปานกระจกภายใต้ระลอกคลื่น ที่บอกว่ามันเป็นกระจก นั่นเป็นเพราะว่าหลายปีมานี้ หากเดินทางในผืนฟ้าจะมองเห็นเหมือนว่าในมวลอากาศใต้ดวงดาวและแผ่นดินยังมีอีกโลกหนึ่ง
ปีกอีกข้างของซางเซียงมาใกล้จนทำให้คนจำนวนมากเห็นแล้ว!
เพราะสี่ปีกนี้เข้าใกล้กันจนเป็นรอยแยกที่มองด้วยตาเนื้อไม่เห็นแล้ว มีแต่ขยายใหญ่มันจนใหญ่ไม่รู้กี่เท่าแล้วเท่านั้นถึงเห็นการซ้อนทับระหว่างพวกมันอย่างชัดเจนว่าใกล้จะสมบูรณ์แบบแล้ว
สี่สิบกว่าปีมานี้ซูหมิงลืมตาขึ้นสามครั้ง ครั้งแรกคือสิบปีแรก ร่างกายที่อยู่ใน วิหารเหล่าเทพสำเร็จการยกระดับวิญญาณครั้งสุดท้ายแล้ว ระดับชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นเทพบรรพชน ระหว่างร่างกายหล่อหลอม เขาลืมตาขึ้นเห็นความวิตกและหวาดกลัวของสิ่งมีชีวิตจากในอีกโลกของซางเซียง
ลืมตาครั้งที่สองคือสิบปีที่สอง เขาเหมือนตื่นจากการหลับใหล เห็นดวงจิตสามรกร้าง เห็นดวงจิตซางเซียง เห็นซูเซวียนอีและก็เห็นตี้เทียน
ซูหมิงคาดเดาแผนการของคนเหล่านี้ได้เล็กน้อย แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็เข้าใจบ้างเล็กน้อย สายตาเขากว้างไกลกว่าเดิม มองไปยังฟ้ากระจ่างดาวข้างล่างจนกระทั่งตอนที่ใกล้จะหลับตา เขาเหมือนกวาดสายตามองมวลอากาศข้างบนโดยไม่รู้ตัว ก่อนยิ้มมุมปากด้วยความเข้าใจ
ลืมตาครั้งที่สามคือตอนนี้ ในช่วงเวลาห่างจากภัยพิบัติมาเยือนอีกห้าปี ซูหมิง ลืมตาขึ้น…และไม่ได้หลับตาลงอีก
เขามองโลก มองผืนฟ้า มองมวลอากาศ มองทุกชีวิตในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ในแววตาเขามีการอาลัยอาวรณ์ มีความทรงจำในอดีต มีความงดงามตอนยังเยาว์วัยในภูเขาทมิฬ และยังมีการถอนหายใจลึกๆ ต่อโลกนี้และบ้านของเขา
เขารู้ว่าทุกอย่างจะจบลงแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ต่อให้เขาบรรลุพลังอย่างตอนนี้ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ได้ ขนาดพลังในการปกป้องตัวเองยังขาดแคลน จะอยู่รอดหลังภัยพิบัตินี้หรือไม่ จะมีโอกาสได้พบพวกศิษย์พี่กับชางหลันหรือไม่ เขาเองก็ยังไม่รู้
เขามองไปครั้งนี้สี่ปี สี่ปีนี้ซูหมิงไม่ได้หลับตาลง ราวกับจะจดจำฟ้ากระจ่างดาว ทุกแห่งที่นี่ ดาวทุกดวง ทุกแผ่นดิน ถึงขนาดทุกใบหน้า
เพราะซูหมิงเข้าใจว่าหลังจากครั้งนี้ไป หากเขาอยากมองสิ่งเหล่านี้อีก ก็มีแค่… ในความฝัน ในความทรงจำ
ไม่ใช่ทุกคนที่ยืนยันการดับสูญของโลกได้ และก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นแสงสว่างพร่างพราวในการดับสูญ ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ทุกคนที่ปลงอนิจจังต่อชีวิตก่อนภัยพิบัติ
ในทางตรงข้ามซูหมิงโชคดี เพราะเขานั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่มองการดับสูญของโลกได้ มองความงดงามทุกอย่างกลายเป็นอากาศธาตุ มองบ้านของเขานับจากนี้ไปกลายเป็นดินแดนความฝัน
จนกระทั่งเขาเงยหน้าขึ้นมองมวลอากาศข้างบน เห็นรางๆ ว่าในมวลอากาศไม่มีสิ้นสุดข้างบนมีน้ำวนหนึ่ง กลางน้ำวนนั้นมีแม่น้ำนามว่าลืมเดินทางสายหนึ่ง อีกฝั่งของแม่น้ำเรียกว่าอีกฟาก
ที่นั่นคือที่ที่เขาส่งญาติพี่น้องทุกคนไปพร้อมกับคำอวยพร เขาหวังว่าพวกเขาจะอยู่นอกเหนือจากภัยพิบัติ เลี่ยงภัยที่แม้แต่เขายังไม่มั่นใจในครั้งนี้ไปได้
มองไปมองมาซูหมิงยิ้มมุมปาก รอยยิ้มมีการชื่นชม มีความพอใจ เขาให้ความสำคัญกับความรักมาตลอดชีวิต การได้ส่งคนเหล่านั้นไปอีกฝากคือสมบัติล้ำค่าของชีวิตนี้
เป็นแบบนี้ ซูหมิงมองอยู่ครึ่งปี จนกระทั่งเขารู้สึกถึงเสียงระเบิดของมหาโลกสามรกร้าง ในครึ่งปีสั้นๆ ก็ดังกว่าเสียงในอดีตทั้งหมด กระทั่งทั้งมหาโลกสั่นไหว ระลอกคลื่นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซูหมิงรู้แล้วว่าภัยพิบัติ…ได้เริ่มขึ้นแล้ว
แต่ช่วงที่เขาจะละสายตากลับ จะจัดระเบียบทุกอย่างเพื่อดำเนินการต่อสู้ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับเขา ทันใดนั้น ซูหมิงตัวสั่น
การสั่นครั้งนี้ทำให้เขาหรี่ตาลงในฉับพลัน จ้องมวลอากาศข้างบนตาเขม็ง จ้องอีกฟากตรงนั้น เขาเห็นชัดว่าแม่น้ำลืมเดินทางที่นั่น…ไหลย้อนกลับ!
เหตุการณ์นี้หายไปในพริบตา กระทั่งตอนที่ซูหมิงมองไปอีกครั้งแม่น้ำลืมเดินทางยังคงไหลปกติ ทว่าการไหลทวนก่อนหน้านี้กลับทำให้จิตใจเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
เขาลุกพรวดขึ้น มีสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การไหลย้อนในพริบตานั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก หากแม่น้ำลืมเดินทางไหลย้อนได้ เช่นนั้น…คนที่อยู่อีกฝากก็จะ ถอยกลับมาเช่นกัน หากเปรียบเป็นการย้อนเวลา เช่นนั้นก็อาจจะมีคนใช้การ ย้อนเวลาหมายจะให้คนที่ซูหมิงส่งไปกลับออกมาจากในกาลเวลาอีกครั้ง!
ดีที่การย้อนกลับเกิดขึ้นพริบตาเดียวแล้วก็หายไป มีคำอวยพรของซูหมิงอยู่ มีอภินิหารของเขา เขาจึงทำการต่อสู้อย่างไร้รูปแบบนี้ได้ ให้แม่น้ำลืมเดินทางไหลต่อไป ไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดใดๆ
ขณะเงียบอยู่นี้ ดวงตาซูหมิงแวววาว เขายกมือขวาขึ้นตบตรงระหว่างคิ้ว อ้าปากพ่นโลหิตออกมา เมื่อคว้าโลหิตด้วยมือซ้ายเอาไว้แล้วก็บีบมือ ไม่ได้สะบัดออกไปยังมวลอากาศไม่มีสิ้นสุดข้างบน แต่…โบกลงไปยังผืนฟ้าข้างล่าง โลหิตนั้นพลันกลายเป็นอักขระสีโลหิตเก้าตัวหลอมรวมเข้าไปในผืนฟ้าข้างล่าง
“วิชาผนึกการย้อนเวลา!” ทันทีที่ซูหมิงกล่าวขึ้น ดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วเป็นสีแดงโลหิต เกิดเสียงครึกโครมทั้งมวลอากาศ ส่งเสียงดังสนั่นฟ้า
คนที่ถูกส่งไปเหล่านั้นคือเส้นตายของซูหมิง แต่ยามนี้ต่อให้มีโอกาสเพียงเสี้ยวเดียวที่จะมีคนแตะเส้นตายของเขา เรื่องนี้…เขายอมรับไม่ได้
ระหว่างที่หมุนตัวกลับ ซูหมิงมีสีหน้าเย็นชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตลอดหลายปีนี้ ทำให้ร่างกายเขาแผ่กระจายไอหนาวในฉับพลัน ทำให้ผืนฟ้าเกิดเค้ารางถูกแช่แข็ง เขามองไปแวบแรกคือที่โลกปีกที่สี่ มีเพียงผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเท่านั้นที่มีคุณสมบัติแตะ เส้นตายของซูหมิงได้
แต่ยามที่มองไป เขา…ไม่เห็นผู้เฒ่าเมี่ยเซิง และก็ไม่เห็นร่องรอยว่ามีคนย้อนเวลาในโลกปีกที่สี่
ซูหมิงขมวดคิ้ว หรี่ตาแคบลง มีสีหน้าครุ่นคิด ทันใดนั้นเองฟ้าดินเกิดเสียงดังสนั่นราวกับจุดเริ่มต้นของผืนฟ้า ชั่ววูบเดียวพลันดังก้องในฟ้ากระจ่างดาว
เสียงดังกึกก้องไปทั้งมหาโลกสามรกร้าง ดังไปถึงทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ไปจนถึงฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน ดังก้องโลกปีกที่สี่ ซ้ำยังดังแว่วไปถึงมหาโลกซางเซียง!
เสียงนี้เหมือนกับเสียงแห่งมหันตภัย ฟังครั้งแรกไม่เหมือนเสียงระเบิด แต่เหมือนคนที่กำลังจะตายถอนหายใจเฮือกสุดท้ายของชีวิต!
ผู้ฝึกฌานยุคก่อนที่เคยมีประสบการณ์เหล่านั้น ตอนนี้พากันสงบลง แต่ละคนต่างมองฟ้าด้วยสีหน้าห่อเหี่ยวกันในแต่ละที่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินเสียงแบบนี้ พวกเขาเข้าใจว่านับจากที่เสียงนี้ดังขึ้น…นั่นหมายความว่าภัยมาถึงแล้ว!
ขณะเดียวกัน พริบตาที่เสียงนี้ดังกังวาน ระลอกคลื่นฟ้าในมหาโลกสามรกร้างพลันหายไป แต่ผืนฟ้า…หลังจากระลอกคลื่นหายไปแล้วก็กลายเป็นโปร่งใส ทำให้ผู้คนเห็นได้ว่าใต้ฟ้ากระจ่างดาวนี้ยังมีฟ้าอีกแห่ง!
ยามนี้เองเกิดเสียงพังลายดังต่อเนื่องกัน กลิ่นอายทำลายล้าง พลังแห่งภัยพิบัติ…ลงมาเยือนทุกโลกทั้งซางเซียง
โครม!
ตอนนี้เองเสียงครึกโครมดังเป็นครั้งที่สอง เสียงนี้ดังกึกก้องราวกับเพลงมรณะ เก็บเกี่ยววิญญาณ ทันทีที่เสียงดังขึ้น ผู้ฝึกฌานของสามรกร้างมากกว่าครึ่งมีสีหน้าเหม่อลอย ไม่ว่าพวกเขาทำอะไรอยู่ เวลานี้ยิ้มมุมปาก ก่อนเป็นเถ้าธุลีหายไปทีละคน
“ภัยพิบัติ นี่คือระฆังมรณะภัยพิบัติในตำนาน…ภัยพิบัติ…ฮ่าๆ…” บนยอดเขาของดาวดวงหนึ่งในโลกหนึ่ง ชายชราคนหนึ่งหัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง เขาชี้มือขึ้นฟ้าพลางหัวเราะเสียงแหลมเล็ก
สำนักหนึ่ง ผู้ฝึกฌานหลายพันคนในนั้นกำลังนั่งฌานสมาธิ ทุกคนยิ้มมุมปาก กลายเป็นเถ้าธุลี กลายเป็นน้ำตาในดวงตาเจ้าสำนักตรงหน้าพวกเขา
เหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นในสี่โลกของมหาโลกสามรกร้าง และยังมีในชนเผ่าของทะเลดาราต้นกำเนิดจิต แต่ละเผ่าสูญสลายไป เสียงคำรามแหลมดังก้องก่อนหยุดลงในฉับพลัน นั่นหมายความว่าเผ่าพันธุ์หนึ่งหายไปแล้ว
ผู้แข็งแกร่งยุคก่อนที่อยู่กันอย่างเนืองแน่นในหลายพื้นที่ของมหาโลกสามรกร้าง ตอนนี้พวกเขามองภาพนี้ ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นความเศร้าจากเคราะห์ภัยใน ยุคสมัยที่พวกเขาเคยอยู่ ราวกับว่าพวกเขาในตอนนี้ไม่มีนิสัยชั่วร้ายอีก แต่กลับมาเป็นผู้ฝึกฌานอีกครั้ง ประหนึ่งว่าเสียงครึกโครมดั่งระฆังนั้นทำให้พวกเขาตื่นขึ้นในความหมายแท้จริงของชีวิต