Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1392

ตอนที่ 1392 วิชาเจ็ดชะตา

ขณะเดียวกับที่ซูหมิงมองสำนักเจ็ดจันทราใต้ภูเขา บนแผ่นดินแคว้นกู่จั้ง ตอนนี้…ภายในเจ็ดสำนักสิบสองฝ่าย มีหนึ่งสำนักหนึ่งฝ่ายเกิดการสั่นสะเทือนและเสียงดังสนั่นอย่างไร้รูป

นั่นคือ สำนักเอกะเต๋า และยังมีฝ่ายอสุรา!

สำนักเอกะเต๋านี้ ตำนานกล่าวไว้ว่าทั้งแคว้นกู่จั้ง นอกจากจักรพรรดิแล้วเป็นสำนักที่เก่าแก่ที่สุด มีเบื้องหลังหยั่งลึก สำนักอื่นๆ ยากจะเทียบได้ โดยเฉพาะที่ตั้งสำนักยังมีน้อยคนที่จะหาพบ

นั่นคืออารามโบราณ ในอารามโบราณมีรูปปั้นตั้งตระหง่านอยู่สามรูป หน้าตารูปปั้นราบเรียบ ผ่านกาลเวลามาแล้วไม่รู้กี่ปี ทำให้รูปปั้นสามรูปเกิดรอยร้าว

รอยร้าวนั้นมีเยอะมาก ตัดสลับกันเหมือนจะเป็นภาพวาดหนึ่ง ตอนที่มองไปจะอดคิดไม่ได้ว่าในภาพที่เกิดจากรอยร้าวเหล่านี้มีโลกอยู่หรือไม่

สำนักเอกะเต๋านี้อยู่ในโลกที่เกิดจากรอยร้าวตัดสลับกันของสามรูปปั้นนี้!

กระทั่งให้พูดจริงๆ คือสำนักเอกะเต๋าอยู่ระหว่างฟ้าดิน จะอยู่ในรอยร้าวทั้งหมด ขอเพียงเป็นจุดที่มีรอยร้าวก็จะมีสำนักเอกะเต๋า

ดังนั้นความลับและความประหลาดของมันจึงน่ากลัวสำหรับคนนอก…ตอนนี้ ผู้อาวุโสใหญ่สิบสองท่านในสำนักเจ็ดจันทราตื่นขึ้นแล้ว ทันทีที่วางวงแหวนอาคม พื้นที่ทั้งหมดในแคว้นกู่จั้งที่มีรอยร้าวล้วนเกิดเสียงดังกึกๆ รอยร้าวเพิ่มมากขึ้นอีกเล็กน้อย

โดยเฉพาะมีภูเขาลูกหนึ่ง มองไกลๆ เป็นสีแดงเข้ม ด้านบนมีรอยแยกนับไม่ถ้วน แต่กลับไม่พังทลายลง ในตัวภูเขานั้นมีบึงน้ำระอุแห่งหนึ่ง ไอความร้อนน่าตกใจ หากตกลงไปจะถูกเผาจนสิ้นสูญไปในพริบตา

กลางบึงระอุนั้นมีหินยักษ์ก้อนหนึ่ง หินยักษ์นั้นก็เต็มไปด้วยรอยร้าว ด้านบนมีชายเปลือยกายครึ่งหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ผิวหนังทั่วร่างเขาแตกระแหง ไม่มีส่วนใดสมบูรณ์ เส้นผมสีแดงฉาน ตอบสนองกับบึงระอุนี้

ยามนี้เขาลืมตาขึ้นเผยลูกตาภายใน แม้แต่ลูกตายังเต็มไปด้วยรอยแตก มองแวบแรก…เหมือนเส้นเลือดฝอย

‘องค์ชายเล็กน้องข้า…เจ้าเองก็เข้าสำนักเหมือนกันรึ…ดูจากระลอกคลื่นนี้แล้ว มาจากสำนักเจ็ดจันทรา!’ ชายคนนั้นแสยะยิ้ม นัยน์ตาเผยจิตสังหาร

‘ไม่รู้ว่าเจ้าตื่นแล้วหรือยังสับสนอยู่…หากเจ้าตื่น ทุกคนในใต้หล้าจะมึนเมา ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีเพียงเจ้าตื่นคนเดียวเป็นอย่างไร…หากเจ้ายังสับสน ทุกคนใน ใต้หล้าจะตื่น และความรู้สึกที่มีเพียงเจ้าคนเดียวที่สับสนจะเป็นอย่างไร…

ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะเป็นสิ่งงดงาม เหมือนอย่างที่ข้าเคยพูดเอาไว้…การต่อสู้ระหว่างพวกเราเพียงแค่เพิ่งเริ่มต้น’ ชายคนนั้นหัวเราะเสียงดัง หัวเราะไปหัวเราะมา เส้นผมแดงที่ปิดใบหน้าเกือบครึ่งแกว่งไกว เผยเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแตก

หากซูหมิงอยู่ที่นี่จะต้องจำได้ในแวบแรกว่าคนนี้…เหมือนกับเหลยเฉิน ทว่าก็เหมือน…ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงที่หนุ่มขึ้นมากกว่า!

ขณะเดียวกันตอนนี้เอง ทางตะวันตกของแคว้นกู่จั้ง ที่นี่เป็นทะเลทราย มีศิลาหินยักษ์ตั้งตระหง่าน บนศิลาหินนั้นไม่มีอักษร แต่หากมีคนที่มีพลังไม่ธรรมดามาถึง พอเห็นศิลาหินนี้แล้วจะต้องใจสั่นสะท้านอย่างแน่นอน เพราะเหมือนกับเห็นทะเลโลหิต เห็นสัตว์ร้ายนับไม่ถ้วน

ศิลาหินนี้คือฝ่ายหนึ่ง มีนามว่าอสุรา เชื่อมประตูแห่งโลกอสุรา!

โลกอสุราคือโลกที่ถูกสร้างขึ้น ในโลกนั้นมีฝ่ายที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ นามว่า…อสุรา!

ตอนนี้ในโลกอสุรา มีสัตว์ร้ายยักษ์ขนาดหมื่นจั้งตัวหนึ่งกลางฟ้าดินยามโพล้เพล้ มันเป็นร่างคน มีเพียงหัวที่มีเขาเป็นเกรียวสามเขา มันนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น โดยรอบเป็นโครงกระดูกทับถมกัน…

บนหัวสัตว์ร้ายยักษ์เหมือนคนนี้มีชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง สวมชุดคลุมขาว หน้าตาเรียบนิ่ง เส้นผมดำแกว่งไกว ลืมตาขึ้นเล็กน้อย เผยประกายคุกคาม

เห็นรางๆ ว่าในดวงตาขวาเขาเหมือนยังมีร่างเงาหนึ่ง นั่นคือชายสวมเสื้อคลุมจักรพรรดิ!

‘ฝึกฝนมาสามพันปี ไม่รู้ว่าเจ้าในตอนนี้ต่างจากในตอนนั้นหรือไม่ จะยังเป็น องค์ชายเล็กที่โง่เขลาไปชั่วชีวิตเพื่อมิตรภาพอยู่หรือไม่…หากเจ้ายังเป็นอย่างนั้น เช่นนั้น…อาจจะถูกคัดออกก่อนสามพันปี’ ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย ทว่าตอนที่ยิ้ม ร่างเงาสวมเสื้อคลุมจักรพรรดิในดวงตาขวาเผยแววตาเย้ยเยาะ

พริบตาที่เผยความเย้ยเยาะ รอยยิ้มชายหนุ่มแข็งค้าง

“เจ้าก็คือข้า เจ้าคือวิญญาณแยกที่ตอนนั้นข้าส่งไปรบกวนการฝึกของเสวียน แต่ตอนนี้เจ้ากลับมาแล้วยังไม่ยอมหลอมรวม!” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเย็นชา เหมือนพูดกับตัวเองเนิบๆ

“น่าหัวร่อ ข้าคือตี้เทียน เป็นสิ่งมีชีวิตที่กำเนิดในยุคที่เก้าร้อยหกสิบเจ็ดใน โลกซางเซียง เกี่ยวอะไรกับเจ้า น่าหัวร่อที่เจ้ายังไม่รู้ตัวเองอีก!” ร่างเงาในดวงตาขวา ชายหนุ่มก็คือ ตี้เทียน รอยยิ้มเยาะของเขาเด่นชัดกว่าเดิม

“สมัยของซางเซียงถูกทำลายไปไม่รู้กี่ยุคแล้ว ถูกข้าตระกูลเสวียนกินไป จริงๆ แล้วความทรงจำของเจ้าเป็นของปลอม ข้าใส่เข้าไปเพื่อรบกวนการฝึกฝน ของเขา อะไรคือจริง อะไรคือปลอม เจ้ายังไม่เข้าใจอีก!” ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้น กดดวงตาขวาตัวเอง

“ข้าตี้เทียนรู้ว่าอะไรคือความจริง โลกที่ข้าอยู่คือความจริง แต่โลกที่เจ้าอยู่เป็นมายา นี่คือโลกที่เกิดขึ้นตอนซูหมิงกำลังยึดร่าง…นี่คือการยึดร่างของเจ้า!” ตี้เทียนหัวเราะเสียงดัง นัยน์ตาฉายแววยึดมั่น มองนิ้วมือนั้นเข้ามาใกล้ เขาพลันมีสีหน้าเจ็บปวดราวกับถูกผนึกเอาไว้

“ซูหมิง หากเจ้าตื่นได้ เจ้าจะเป็นคนชุดคลุมดำที่นั่งอยู่บนเข็มทิศ หากเจ้าหลงทาง หากเชื่อโลกนี้ เจ้า…จะไม่ใช่เจ้าอีก!” เสียงตี้เทียนเบาลงทีละน้อย ตอนที่ชายหนุ่ม ดึงนิ้วมือกลับ ในดวงตาไม่มีร่างเงาตี้เทียนอีก แต่ถูกผนึกไว้ในร่างกาย

“เจ้าหลงทางแล้ว ดังนั้น…เจ้าก็หล่อหลอมในตัวข้าเถอะ ยึดร่าง…ความคิดเหลวไหลแบบนี้น่าจะเป็นขององค์ชายเล็กน้องข้า…ซูหมิง ที่แท้เขาก็คิดว่าตัวเองชื่อซูหมิง มาตลอด” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นนิ่งๆ ยิ้มเยาะมุมปาก หลับตาลง

ภายในสำนักเจ็ดจันทรา ซูหมิงละสายตาจากสำนักเจ็ดจันทราข้างล่าง ก่อนเลือกบ้านหลังหนึ่งที่เหมือนไม่มีคนอยู่ทางขวาของยอดเขา ตรงหน้าผาที่นูนออกไป

บ้านนี้ธรรมดามาก ไม่มีรูปปั้นแกะสลัก ไม่มีหองดงาม แต่เป็นห้องไม้ธรรมดา ในบ้านนอกจากโต๊ะเก้าอี้และเตียงไม้แล้ว ก็ไม่มีเครื่องประดับอื่นๆ อีก

เรียบร้อย สะอาด เรียบง่าย ซูหมิงกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนยกมือขวาโบกไปข้างนอก ทันใดนั้นปรากฏผนึกขึ้นหนึ่งชั้นรอบๆ เมื่อปกคลุมที่นี่เอาไว้แล้ว เขาจึงนั่งขัดสมาธิอยู่นอกบ้าน นั่งอยู่ใต้บ้านไม้คนเดียวเหมือนที่เคยนั่งข้างแม่น้ำลืมเดินทาง

“วิชาเจ็ดชะตา…” ดวงตาซูหมิงขยับประกายวาว เขาก้มหน้าลงมองตราสีฟ้าในมือ มองภาพเทือกเขาแกะสลักบนตราพลางตกอยู่ในห้วงความคิด

เวลาผ่านไปช้าๆ พริบตาเดียวก็สามเดือน ในสามเดือนนี้ไม่มีใครมารบกวน บ้านไม้ของซูหมิง แต่ผู้ฝึกฌานบนยอดเขานี้ส่วนใหญ่รู้ว่าซูหมิงอยู่ที่นี่ ผู้คนของภูเขานี้ในฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้าไม่ใช่ศิษย์ แต่เป็นผู้ฝึกฌานอิสระ

ผู้ฝึกฌานอิสระบนเขานี้ที่แบ่งตามความอาวุโสอย่างเช่นหลันหลันถือว่าเป็น คนสำนักเจ็ดจันทรา และก็ไม่ถือว่าเป็นเช่นกัน ซูหมิงสังเกตเห็นแล้วว่าบนเขานี้นอกจากหลันหลันแล้วยังมีสตรีอีกคนหนึ่ง นางเป็นศิษย์ของชายวัยกลางคนจีวรเต๋า สีฟ้าครามคนนั้น อยู่ภูเขานี้กับหลันหลัน เพียงแต่ว่าไม่ได้อยู่บนยอดเขา แต่อยู่ตีนเขา

สามเดือนนี้ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่นอกบ้าน ยังคงเพ่งมองตราในมืออยู่ตลอด วิชาเจ็ดชะตานี้ทำให้เขาเกิดความสนใจไม่น้อย เหมือนกับว่านี่คือวิชาแห่งมหาเต๋าที่ยกระดับพลังในขอบเขตพลังเขาตอนนี้ได้

ก่อนหน้านี้แม้ซูหมิงจะบรรลุถึงขอบเขตจิตเต๋าชั้นหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังมึนงงกับวิชาที่ใช้ยกระดับพลังอยู่เล็กน้อย ตอนนี้จากการศึกษาจึงเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย

‘วิชาเจ็ดชะตาดูเหมือนซับซ้อน แต่ความจริงแล้วมีหลักการที่ง่าย เจือจางเงาตัวเองให้เป็นเจ็ดชั้น กลายเป็นเจ็ดชะตา…นี่ต่างกับร่างแยก แต่เป็นวิธีใช้เงาแลกเป็นชะตา’ ผ่านไปอีกเดือน ดวงตาซูหมิงขยับประกายวาว ก้มหน้ามองเงาตัวเองภายใต้แสงตะวันยามอัศดง

เขาตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ก่อนยกมือขวาขึ้นชี้เงาตัวเอง ตอนที่ชี้ไปเงาเขาบิดเบี้ยวเลือนราง ในระหว่างที่เขาลองใช้วิชาเจ็ดชะตาที่ตนเข้าใจ ทันใดนั้นมีเสียงระฆัง ดังก้องฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่

เสียงระฆังดังแว่วมาไกลๆ กึกก้องเทือกเขาก่อเป็นคลื่นเสียงนับไม่ถ้วน สั่นสะเทือนแปดทิศ พร้อมกันนั้นยังเกิดเสียงระฆังที่ฟ้าเหนือฟ้าชั้นสามเช่นกัน จนกระทั่งชั้นสอง กระทั่งชั้นหนึ่งยังเกิดเสียงระฆังแบบนี้ ซูหมิงขมวดคิ้ว ล้มเลิกการทดลองของตนไป ก่อนเงยหน้าขึ้นมองไกลออกไป

เขาเห็นว่าข้างบนสำนักเจ็ดจันทราไกลๆ บนฟ้าสูงปรากฏสัญลักษณ์อักขระนับไม่ถ้วน อักขระเหล่านี้ตัดสลับกันกลายเป็นวงกลม ดูเหมือนกับเข็มทิศยักษ์อันหนึ่ง!

เพียงแต่ว่าเข็มทิศนี้เลือนรางเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะว่ามันไม่ได้อยู่ฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า แต่อยู่ชั้นสี่ ซูหมิงมองไปเลยเลือนราง

ซูหมิงหรี่ตาลงเล็กน้อย ตอนที่เพ่งมองเข็มทิศ เขาเห็นว่าตรงกลางยอดเขาที่อยู่ตรงข้ามกับเขามีสายรุ้งยาวสายหนึ่งพุ่งไปยังเข็มทิษที่รวมจากอักขระ

นั่นคือ เยี่ยหลง!

เยี่ยหลงในชุดคลุมขาวห้อทะยานไปยังเข็มทิศที่รวมจากอักขระยักษ์ พอกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็นั่งขัดสมาธิลง

ตอนที่ซูหมิงมองไป เยี่ยหลงก็เลือนรางเช่นกัน นี่เป็นเพราะโลกที่อีกฝ่ายอยู่ต่างกับซูหมิง เขามองไม่เห็นซูหมิง แต่ซูหมิงเห็นเขา

“ศิษย์เยี่ยหลง รับคำสั่งจากอาจารย์ให้มาท้าประลองกับวงแหวนอาคมจิตเต๋าสยบเงาที่ฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่ของสำนักเจ็ดจันทรา!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version