Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1391

ตอนที่ 1391 โอกาสของปรมาจารย์ชะตา

ซูหมิงที่นั่งฌานบนวงแหวนอาคมที่มีไข่มุกหลากสีของสำนักเจ็ดจันทราลืมตาขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกถึงระลอกคลื่นกลิ่นอายพลังอย่างหนึ่งจากในไข่มุกนั้น

ระลอกคลื่นนี้เป็นของสตรีคนนั้น หลังเขาสัมผัสระลอกคลื่นได้หลายลมหายใจแล้ว เปลือกนอกไข่มุกถึงค่อยๆ มีใบหน้าหลันหลันลอยออกมา

“ไม่ต้องกังวล อาจารย์ข้า…อยากพบเจ้า…” สิ้นเสียงหลันหลัน มีของเหลวหยดหนึ่งออกมาจากไข่มุกยักษ์นั้น ลอยมาทางซูหมิงช้าๆ

ซูหมิงมีสีหน้าปกติ เขาตรึกตรองในใจอยู่เล็กน้อยก่อนยกมือขวากดบนของเหลว พริบตาเดียวหยดน้ำปกคลุมมือขวา หลังปกคลุมทั่วร่างในทันใดแล้วก็กลายเป็นแรงดูดกระชากร่างซูหมิงหลอมรวมเข้าไปในไข่มุก

ขณะเดียวกันใบหน้าหลันหลันหายไปช้าๆ

ภายในโลกไข่มุก ซูหมิงปรากฏกายกลางฟ้าของแผ่นดินสิบสามแห่ง ขณะที่กวาดสายตามองไปรอบๆ ดวงตาเขาหรี่ลงเล็กน้อยจนไม่สังเกตเห็น ก่อนมองไปยังแผ่นดินที่สามข้างล่างตรงๆ

มองผ่านหมอกหลายชั้นไปจะเหมือนเห็นว่าบนยอดเขาสูงสุดบนแผ่นดินที่สาม มีชายวัยกลางคนสวมจีวรเต๋าโบราณและเรียบง่ายสีฟ้าครามยืนอยู่ รวมถึงหลันหลันข้างกาย

ทันทีที่เห็นชายคนนี้ชัดเจน ซูหมิงหรี่ตาลงเล็กน้อย คนนี้ให้ความรู้สึกที่น่าตกใจยิ่ง เหมือนว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นทั้งโลกต้องก้มหัว ราวกับว่าการปรากฏตัวของเขาทำให้ ฟ้าดินมัวหมองลงในพริบตา มีเพียงร่างเงาเขาที่สูงตระหง่านบนฟ้าได้

แม้จะยืนบนที่ราบก็มากพอจะทำให้ที่ราบนี้อยู่เหนือกว่าภูเขาสูงทั้งหมด!

ขณะเดียวกับที่ซูหมิงมองชายวัยกลางคนผู้นี้ไกลๆ ชายวัยกลางคนจีวรเต๋าโบราณสีฟ้าครามก็มองซูหมิงเช่นกัน ทันทีที่เห็นซูหมิงชัด ชายวัยกลางคนดวงตาวาววับ ยิ้มมุมปากอย่างมีความหมายลึกซึ้ง

“มา” ช่วงที่เขาพูดขึ้นเรียบๆ น้ำเสียงดังก้องมวลอากาศเข้าถึงหูซูหมิง ทั้งยังปรากฏน้ำวนตรงหน้าซูหมิง ในน้ำวนนั้นคือยอดเขาที่ชายวัยกลางคนอยู่

ซูหมิงเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าไปกลางน้ำวน มาปรากฏอีกทียืนอยู่บนยอดเขา ยืนอยู่ตรงหน้าชายวัยกลางคน

‘ชะตารุ่งเรืองหรือเสื่อมถอยเพียงหนึ่งความคิด น่าสนใจๆ…’ ชายวัยกลางคนเพ่งมองซูหมิงด้วยรอยยิ้ม ในรอยยิ้มเหมือนมีความเข้าใจบางอย่าง เขาส่ายศีรษะพลางสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นมีตราสีฟ้าชิ้นหนึ่งพุ่งไปหาซูหมิง

“ช่างเถอะ ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์อีกคน…” ชายวัยกลางคนเพิ่งกล่าวจบก็ หน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน เขามองฟ้า ดวงตาเกิดเส้นเลือดฝอย มีสีหน้าลังเล แต่ก็กลายเป็นเด็ดขาดในฉับพลัน

“ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์สายตรง เรื่องเกี่ยวกับการฝึกฝน…หลันหลัน เจ้ารับผิดชอบทั้งหมด หวังเทา…ไม่ใช่ศิษย์น้องของเจ้า แต่เป็นศิษย์พี่เจ้า ข้าอนุญาตให้เจ้าใช้กฏสำนักทุกอย่างให้ศิษย์พี่หวังเทาของเจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในสายเลือดข้า!” ชายวัยกลางคนจีวรเต๋าโบราณสีฟ้าครามไม่กล่าวอย่างเนิบช้าอีก แต่รีบพูดขึ้น หลันหลันได้ยินแล้วถึงกับเบิกตาโต มีสีหน้าตกใจระคนสงสัย

เดิมทีนางคิดว่าอาจารย์จะรับซูหมิงเป็นศิษย์ในนาม แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็น ศิษย์สายตรง กระทั่ง…ยังเป็นศิษย์พี่ในสายเลือด นี่ไม่ตรงกับที่นางคาดการณ์ไว้ ก่อนหน้านี้ แต่ด้วยเหตุนี้เองนางจึงเข้าใจทันทีว่าหวังเทาตรงหน้าคนนี้ ในสายตาอาจารย์แล้ว เกรงว่าคงจะสำคัญกว่าที่นางคาดการณ์ไว้!

“ไป! ฝ่าหวัง ส่งพวกเข้าออกไปทันที!” ตอนนี้ชายวัยกลางคนจีวรเต๋าโบราณสีฟ้าครามหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง เขากล่าวเสียงทุ้มต่ำพลางยกมือขวาสะบัดแขนเสื้อ พลันเกิดพายุคลั่งขึ้น ก่อนเห็นว่าคนยักษ์ที่มีขนทั้งตัวข้างหลังยอดเขาบินขึ้นมา คว้าซูหมิงกับหลันหลันพุ่งขึ้นฟ้าไป

พริบตาที่คนยักษ์มีขนทั่วตัวพุ่งขึ้นฟ้า มวลอากาศพลันถูกฉีก ชั่ววูบเดียวก็หายวับไป ก่อนหน้าที่จะหายไป ซูหมิงก้มหน้าลงมอง ดวงตาแวววาว เขาเห็นว่าชายวัยกลางคนผู้นั้นมีโลหิตไหลตรงมุมปาก

แทบเป็นตอนที่ซูหมิงถูกคนมีขนทั่วร่างพาออกจากโลกนี้ ชายวัยกลางคนจีวรเต๋าโบราณสีฟ้าครามบนยอดเขากระอักเลือดออกมา

จากนั้นร่างกายเขาแก่ชราลง ทั้งยังแห้งเหี่ยว ทำให้เขาถอยไปต่อเนื่องกันหลายก้าว ตอนที่เงยหน้าขึ้นยังมีสีหน้าเหี้ยมโหด แต่กลับหัวเราะเสียงดัง

‘ชะตาแห่งการช่วงชิงดวงชะตาฟ้าดิน กดขี่อยู่เหนือจุดสูงสุดทั้งหมด เขาคือ องค์ชายสามแห่งแคว้นกู่จั้ง แต่ว่า…ก็ไม่ใช่! แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนนี้สูงส่งจน ไม่อาจกล่าว ข้าได้เป็นอาจารย์เขา ย่อมมีหวังได้บรรลุถึงมหาเต๋าสูงศักดิ์ กระทั่ง… การเป็นเทพเต๋าก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีก!

เพียงแต่ว่า…ชัยชนะแห่งชะตาของคนนี้ ด้วยพลังข้าก็ยังไม่อาจรับการกัดกินรูปแบบชะตาที่เป็นอาจารย์เขาได้…’ ชายผู้แก่ชราแล้วเงยหน้าหัวเราะเสียงดังก่อนกระอักเลือดอีกครั้ง เขาถอยไปอีกรอบ ครั้งนี้ใบหน้าขาวซีดอย่างยิ่ง พลังชีวิตทั่วร่างเหมือนจะถูกตัดขาด

‘รุ่งเรืองหรือเสื่อมถอยเพียงหนึ่งความคิด บางทียุครุ่งเรืองของสำนักเจ็ดจันทรา…อาจจะใกล้มาถึงแล้ว! สหายสิบเอ็ดท่าน พวกเจ้าไม่ต้องหลับใหลแล้ว ตื่นมาเถอะ…’ ยามนี้ชายผู้กลายเป็นชายชรายกมือขวาขึ้นกดลงตัวภูเขาใต้เท้า

เมื่อกดไปยอดเขาพลันเกิดเสียงดังสนั่น แม้แต่ทั้งแผ่นดินยังสั่นไหวอย่างรุนแรง การสั่นไหวยังส่งผลไปถึงทะเลอากาศธาตุ ส่งผลไปถึงแผ่นดินอื่นๆ โดยรอบ ทำให้ที่นี่นอกจากแผ่นดินที่สิบสามตรงขอบที่ไม่ขยับไหวแล้ว แผ่นดินทั้งหมดล้วนสั่นสะเทือน

ในเวลาเดียวกันระหว่างที่แผ่นดินสิบเอ็ดแห่งสั่นสะเทือน พลันมีกลิ่นอายพลัง สิบเอ็ดสายปะทุมาจากทุกแผ่นดินอย่างรุนแรง

“นี่คือโอกาสที่จะได้เป็นปรมาจารย์ชะตา นี่คือโอกาสจะได้เป็นราชครูของจักรพรรดิ โอกาสนี้…คือโอกาสสุดท้ายของพวกเราสิบสองคน!” หลังคำพูดชายชรา ดังก้อง กลิ่นอายพลังสิบเอ็ดสายนั้นปะทุขึ้น!

กลายเป็นสายรุ้งยาวสิบเอ็ดสายตรงมาที่ยอดเขาของชายชราในพริบตา ก่อนกลายเป็นบุรุษและสตรีที่ร่างกายแห้งเหี่ยวกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

พวกเขาไม่พูดอะไร เมื่อปรากฏกายแล้วก็นั่งขัดสมาธิลงพร้อมกัน ล้อมรอบ ชายชราจีวรเต๋าโบราณสีฟ้าคราม…เป็นวงแหวนอาคมหนึ่ง

วงแหวนอาคมนี้เปล่งแสงสีขาวสว่างจ้า แสงสีขาวพลันส่องไปรอบๆ ปกคลุมทั้งโลก ราวกับเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นมวลอากาศสีขาว…

ขณะเดียวกันในสำนักเจ็ดจันทรา กลางวงแหวนอาคมนั้น นอกไข่มุก ช่วงที่ซูหมิงกับหลันหลันปรากฏกายขึ้น หลันหลันมองซูหมิงอย่างตั้งใจหลายทีแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเบา

“ศิษย์พี่มีโชควาสนาจริงๆ ในเมื่ออาจารย์รับศิษย์พี่เป็นศิษย์สายตรงแล้ว ก็ควรจะกลับสำนักภูเขาสายเลือดอาจารย์” หลันหลันกล่าวขึ้นพลางยกมือขวา ในมือมีตราสีฟ้าชิ้นหนึ่ง

บนตรานั้นเป็นภาพหมอกล้อมรอบเทือกเขา เมื่อนางสัมผัสเบาๆ แล้ว ร่างเงานางพลันหายไปในตรานั้น แม้แต่ตรายังขยับแสงหายไปด้วย

ซูหมิงเหมือนมีความคิดบางอย่าง เขาหันไปมองไข่มุกที่ตอนนี้ไม่เปล่งแสงหลากสีอีก ระหว่างตรึกตรองยังหยิบตราสีฟ้าของตนออกมา มองมันแวบหนึ่งแล้วตบเบาๆ

ร่างเงาเขาพลันหายไปในสำนักเจ็ดจันทราเช่นกัน

มาปรากฏอีกทีอยู่กลางภูเขาสูง ความสูงของภูเขาเสียดเมฆ ดูเหมือนกับภูเขาที่ชายวัยกลางคนบนแผ่นดินที่สามอยู่ทุกประการ

เว้นแต่บนยอดเขามีหอสวยงามอยู่ไม่น้อย…กลางหอเหล่านี้มีผู้ฝึกฌานมากมาย มองยอดเขาไกลๆ จะเห็นเป็นหมอกขาว ตรงนั้นมีวิหารยักษ์อยู่แห่งหนึ่ง

ซูหมิงมองวิหารนั้นอยู่พักหนึ่งก่อนละสายตากลับมองลงไปใต้ภูเขา เขาเห็น สำนักเจ็ดจันทราใต้ภูเขานี้ เพียงแต่ว่าตอนที่มองไปมีความขมุกขมุวขวางเอาไว้ ราวกับว่าสำนักเจ็ดจันทราเลือนรางในสายตา กระทั่งหากพูดให้ชัดนั่นคือการซ้อนทับ ประหนึ่งว่ามีสิ่งก่อสร้างสำนักเจ็ดจันทราหลายแห่งซ้อนทับกับทั้งหมด

สำนักเจ็ดจันทราอยู่เป็นแอ่ง โดยรอบเป็นเทือกเขา ส่วนยอดเขาที่ซูหมิงอยู่ก็คือหนึ่งในเทือกเขาล้อมรอบ

“สำนักเจ็ดจันทรามีฟ้าเหนือฟ้าทั้งหมดเจ็ดชั้น ชั้นแรกคือโลกสำนักฝ่ายนอก ที่ท่านอยู่ก่อนหน้านี้ รวมถึงลานสำนักฝ่ายในตรงนั้นกับทั้งหมดที่ท่านเห็นตอนนี้ นั่นคือชั้นแรก”

“โลกที่อาจารย์อยู่คือฟ้าเหนือฟ้าชั้นเจ็ด ส่วนชั้นหก มีเพียงผู้อาวุโสใหญ่ที่ดูแลสำนักทุกสมัยเท่านั้นถึงจะได้อยู่ นับได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า

ส่วนโลกที่พวกเราอยู่ตอนนี้คือชั้นห้า จะต้องเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสใหญ่ทั้งหมดเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์อยู่และฝึกฝนที่นี่

ชั้นที่สี่จะแบ่งตามความอาวุโสของศิษย์ในสำนัก แต่ละฝ่ายมีการจัดการและแบ่งจัดสรร เหมือนกับศิษย์ของข้า พวกนางอยู่ชั้นที่สี่ ศิษย์ของผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็เช่นกัน

ชั้นสามกับชั้นสองจะแบ่งตามพลังของศิษย์สำนักฝ่ายใน ส่วนชั้นหนึ่ง นอกจากสำนักฝ่ายนอกแล้วก็เป็นสำนักเจ็ดจันทราที่เชื่อมต่อกับภายนอก” หลันหลันเดินมาข้างกายซูหมิง มองสำนักเจ็ดจันทราข้างล่างพลางพูดนิ่งๆ

“วิชาของสำนักเจ็ดจันทราคือ วิชาแห่งเจ็ดชะตา สำเร็จเจ็ดชะตา จะได้อยู่ ฟ้าเหนือฟ้าชั้นเจ็ด สร้างร่างเงาเจ็ดชั้นข้างนอกได้…เมื่อฝึกถึงจุดสูงสุดจนสำเร็จจิตเต๋าชั้นหนึ่งแล้ว จะซ้อนทับร่างตัวเองได้ รวมจิตเต๋าเจ็ดชั้น!”

“ในตราที่อาจารย์มอบให้ท่านมีวิชาของสายตรงสำนักเจ็ดจันทราอยู่ ศิษย์พี่ฝึกฝนตระหนักรู้เองได้เลย ขั้นพลังท่านยังน้อย หากมีอะไรไม่เข้าใจมาหาข้าได้ ก่อนหน้าที่ศิษย์พี่จะบรรลุถึงขั้นไม่อาจกล่าวก็ให้ศิษย์น้องหญิง…ดูแลสำนัก ภูเขาสายเลือดอาจารย์แทนไปก่อน” หลันหลันมองซูหมิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ก่อนก้มหัวลงโค้งตัวคารวะแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในมวลอากาศ มาปรากฏอีกทีอยู่กลางวิหารที่ปกคลุมด้วยหมอกบนยอดเขา

“หากศิษย์พี่ดูให้ดี ทุกที่บนภูเขานี้ล้วนเป็นถ้ำฝึกฝนได้” มีเพียงเสียงเบาของนางที่ยังคงดังก้องในสายลมหิมะ เข้าถึงหูซูหมิง

ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง เขามองสำนักเจ็ดจันทราใต้ภูเขาซ้อนทับขมุกขมัวนั้น ผ่านไปพักใหญ่ดวงตาขยับประกายวูบวาบ

‘อาจารย์ที่ว่าคนนี้น่าจะพบอะไรบางอย่าง แต่ก็ตรงตามที่ข้าต้องการ หากอยากจะยืนยันความจริง ข้าต้อง…ดูการกระทำของคนอื่นๆ แบบนี้จะได้ยืนยันการคาดเดาของข้าได้’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version