Skip to content

สู่วิถีอสุรา 312

ตอนที่ 312 พายุแห่งจิตใจ

งานประมูลสำนักทะเลตะวันออกสิ้นสุดลงแล้วในวันนี้ แม้ของประมูลชิ้นสุดท้ายจะดึงดูดใจยิ่งนัก กลับไม่ได้รับความสนใจอะไรมาก งานประมูลสามวันติดกันนี้ การกระทำของซูหมิงสามครั้งเป็นที่สนใจของผู้คนจำนวนมาก

โดยเฉพาะเหตุการณ์เกี่ยวกับวิญญาณกลางหินในช่วงสุดท้าย ทำให้หลายคนเกิดความคิดต่างกันไป หากชาวเผ่าตี๋หลัวผู้นั้นพูดความจริง เช่นนั้นมูลค่าของมันคงประเมินมิได้

ต่อให้เป็นเท็จ ทว่านึกถึงท่าทางฮึกเหิมของเขาในตอนนั้นแล้ว สิ่งนี้จะต้องเป็นสมบัติอัศจรรย์เป็นแน่ เพียงแต่ว่าวิธีการใช้มันจริงๆ กลับเป็นปริศนา

หากแต่คนที่อยากรู้อยากเห็นก็มีไม่น้อย แม้ชาวเผ่าตี๋หลัวผู้นั้นจะถูกสำนักทะเลตะวันออกควบคุมตัวเอาไว้ ไม่ให้จากไป และกลับเผ่าตี๋หลัวพร้อมกับชายฉกรรจ์หยาบกร้านเจ้าของหินก้อนนี้รวมถึงคนสำนักทะเลตะวันออก เพื่อพิสูจน์ความจริงก็ตาม ทว่าก่อนหน้านี้ก็ยังมีหลายคนเดินทางไปยังเผ่าตี๋หลัวในยามค่ำคืนก่อน เพื่อใช้วิธีการของพวกเขาค้นหาความจริง

ถึงอย่างไรหากไม่มีข้อมูลที่แน่นอน คนส่วนใหญ่จะไม่กล้าล่วงเกินสำนักเหมันต์สวรรค์ โดยเฉพาะข่าวลือของยอดเขาลำดับเก้า ยิ่งเป็นสาเหตุทำให้พวกเขาระวังตัว

หลังจากซูหมิงกลับถึงกระโจมแล้วก็ขบคิดเล็กน้อย ก่อนให้จื่อเชอเก็บสัมภาระ ในตัวเขามีสมบัติล้ำค่าสองชนิด อีกทั้งยังเป็นที่สนใจ ฉะนั้นควรออกเดินทางก่อนจะดีกว่า

ทว่าเขาไม่คิดจะเดินทางเพียงลำพัง ด้วยความช่วยเหลือของเทียนหลันเมิ่งในงานประมูล จึงทำให้ทั้งสองคนบรรลุถึงจุดที่เรียกว่ารู้ใจกันโดยไม่ต้องกล่าว อีกทั้งซูหมิงยังมิได้รู้สึกรังเกียจแม่นางผู้นี้มาก

‘บางทีการร่วมมือกับนางสักครั้งในสงครามหมอกนภาล่าเชมัน ก็ใช่ว่าจะไม่ดีเสียทีเดียว’ ขณะจื่อเชอกำลังเก็บสัมภาระ ซูหมิงยืนอยู่บนหิมะ ขบคิดแล้วพยักหน้า

บางทีอาจรู้ใจกันทางความคิดจริงๆ หรือบางทีอาจเป็นเพราะซูหมิงกับเทียนหลันเมิ่งรู้จักกันจากการวาดภาพ จึงทำให้ทั้งสองคนเชื่อมต่อกันผ่านวิชาการสร้างภาพวาด

ขณะซูหมิงกำลังขบคิด ท่ามกลางพายุหิมะตรงหน้าเขามีสตรีชุดคลุมขาวเส้นผมดำพาดบ่าเดินย่ำบนหิมะอย่างช้าๆ การเดินอ่อนช้อย อาภรณ์ปลิวไสวดังพึ่บพั่บ

สตรีผู้นี้งดงามยิ่งนัก ดวงตาใส ฟันขาวสะอาด เงาร่างท่ามกลางพายุหิมะมาพร้อมกับความงามสง่า แฝงไว้ด้วยเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ปานเข้าสู่ภาพวาด

ด้านหลังนางเป็นผู้ติดตามสองคน หนึ่งในนั้นซูหมิงเคยพบมาก่อน ส่วนอีกคนเป็นชายสวมหน้ากากขาวที่มาส่งเหรียญหินให้เขา

ชายคนนั้นก้มหน้า ในตัวไม่มีระลอกขั้นพลังแม้แต่น้อย ดูเหมือนคนธรรมดาผู้หนึ่ง ทว่ายามซูหมิงมองไปกลับรู้สึกอึดอัดเหมือนตอนยืนอยู่บนกำแพงหมอกนภาแล้วมองแผ่นดินเชมัน

“ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดอยู่ว่าเจ้าจะไปแล้วหรือไม่” เมื่อใกล้เข้ามา เสียงนุ่มนวลของเทียนหลันเมิ่งล่องลอยผ่านพายุหิมะ

“เจ้าจะไปเมื่อไร?” ซูหมิงหันหน้าไปมองสตรีผู้นั้น ความงามของนางมีเสน่ห์มากขึ้นเล็กน้อยเมื่ออยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ราวกับว่านางดึงดูดพายุหิมะให้เข้ามาโอบล้อมตัวและส่งเสริมความงาม

“ข้าเสียเหรียญหินไปกับเจ้าหลายสิบล้านก็ต้องพร้อมเดินทางทุกเมื่อ มิเช่นนั้นแล้วหากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา เหรียญหินข้าคงสูญเปล่า” เทียนหลันเมิ่งยกมุมปากเผยรอยยิ้มสดใส รอยยิ้มนางปานดอกไม้เบ่งบาน ทำให้ผู้พบเห็นเป็นต้องหวั่นไหว

ซูหมิงดูเก้อเขินอย่างที่พบเห็นได้ยาก เขาไม่ชินกับการสนทนาแบบนี้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะตอนเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้

“พวกเราไม่ต้องรีบไปหรอก งานประมูลครั้งนี้ยังไม่จบ อีกประเดี๋ยวจะเป็นงานประมูลแท้จริง…เจ้าไม่อยากไปดูหน่อยรึ?” เทียนหลันเมิ่งขยิบตา รู้สึกสนใจท่าทางของซูหมิงในยามนี้ยิ่งนัก

“ดูไปก็ซื้อไม่ได้อยู่ดี….” ซูหมิงยิ้มฝืดเฝื่อน

“ไม่เป็นไร มีข้าอยู่ด้วย เจ้าติดเหรียญหินข้าไม่น้อยแล้ว ข้าไม่ถือสาหากเจ้าจะติดเพิ่มอีกสักเล็กน้อย อีกอย่างความรู้สึกตอนเป็นเจ้าหนี้ก็ไม่เลว”

ในรอยยิ้มเทียนหลันเมิ่งมีความรู้สึกลำพองใจที่เห็นได้น้อยครั้ง

เพียงแต่ว่าเด็กสาวด้านหลังนาง สายตายามมองซูหมิงเหยียดหยามและดูถูก มองค้อนซูหมิงแวบหนึ่งแล้วจึงมองไปทางอื่น

“แต่ข้าไม่ได้รับเชิญ” ซูหมิงลังเลครู่หนึ่ง เขาเคยได้ยินว่างานประมูลของผู้แข็งแกร่งนี้ เทียบกับงานประมูลสามวันติดกันแล้วเป็นงานประมูลขนาดเล็ก และเป็นจุดสำคัญอีกอย่างของการแลกเปลี่ยนกันระหว่างสองสำนักในทุกหนึ่งร้อยปี

ขณะลังเล ซูหมิงพลันเปลี่ยนสีหน้า เงยหน้ามองทอดไกล เทียนหลันเมิ่งก็มองตามไปเช่นกัน

พบว่าชายร่างกำยำสีหน้าเย็นชาในชุดคลุมดำผู้หนึ่งเดินมาทีละก้าว ตรงจุดที่เขาเดินผ่านไม่มีรอยเท้าแม้แต่น้อย ทว่าสองเท้าเหยียบบนพื้นหิมะจริงๆ

ห่างจากตรงหน้าซูหมิงไปสิบจั้ง ชายเสื้อคลุมดำผู้นั้นหยุดนิ่ง มองซูหมิงด้วยความเย็นชารอบหนึ่ง แรงกดดันจากในแววตาเขาเป็นของขั้นเซ่นไหว้กระดูก

ภายใต้แรงกดดันนี้ หิมะโดยรอบเหมือนถูกพายุคลั่งพัดผ่าน ลอยขึ้นบดบังการมองเห็นของซูหมิง

“เจ้านายข้าเรียนเชิญ” ชายชุดคลุมดำกล่าวเพียงเท่านั้น น้ำเสียงราวพายุหิมะ ตอนที่กล่าวเขาหยิบตราไม้หนึ่งชิ้นมาจากอกเสื้อ โยนให้ซูหมิงแล้วหมุนตัวจากไป

ซูหมิงรับตราไม้เอาไว้ ตัวมันไม่มีพลังแม้แต่น้อย เพียงลอยเข้ามาอยู่ในมือเบาๆ ทว่าจากนั้นกลับมีพลังสะท้อนปล่อยออกมา พลังสะท้อนนี้หลั่งไหลเข้าสู่กายซูหมิง ทำให้ใต้เท้าเขาเกิดเสียงอึกทึกติดกันหกครั้ง เกล็ดหิมะลอยขึ้นอีกครา

ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ถือตราไม้แล้วมองแวบหนึ่ง

เทียนหลันเมิ่งข้างกายซูหมิงนัยน์ตาเปล่งประกาย หลังมองใต้เท้าเขา รอยยิ้มมุมปากก็เด่นชัดยิ่งขึ้น

“หนึ่งลมหายใจเป็นเก้าทะลวง นี่คือหนึ่งในไม่กี่วิชาที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ บุคคลนี้มาจากเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ เป็นผู้รับใช้บุตรชายคนที่สองของจ้าวหมาน” คนที่กล่าวเป็นชายสวมหน้ากากขาวด้านหลังเทียนหลันเมิ่ง

น้ำเสียงบุคคลนั้นแก่ชรา ดูเหมือนชายชราผู้หนึ่ง

“คนห้องหมายเลขสามคือท่านชายรองแห่งเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ ตอนนี้เจ้าได้รับคำเชิญแล้ว พวกเราไปกันเถอะ” เทียนหลันเมิ่งยิ้มบาง น้ำเสียงไพเราะยิ่งนัก

นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ก่อนพยักหน้า

เทียนหลันเมิ่งยิ้ม จากนั้นทั้งสองคนเดินผ่านพายุหิมะมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของชนเผ่านี้ ที่นั่นเป็นกระโจมสีทองขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ตรงใจกลางเผ่า

ด้านหลังทั้งสองคนเป็นจื่อเชอกับเด็กสาวคอยติดตามอยู่ เด็กสาวผู้นี้ไม่ชอบซูหมิง แม้แต่ยามมองจื่อเชอก็เช่นเดียวกัน ทำสีหน้าโอหังอยากจะเดินอยู่หน้าจื่อเชอ

ส่วนชายชราสวมหน้ากากขาวเดินอยู่หลังสุด และจะมองเทียนหลันเมิ่งด้วยความรักใคร่เอ็นดูบ่อยครั้ง บ้างก็มองพิจารณาซูหมิง

“จริงสิ แล้วเด็กสาวที่ติดหนึบเจ้าไปไหนแล้ว? ข้าจำได้ว่านางมาพร้อมกับเจ้านี่” ขณะเทียนหลันเมิ่งเดินกับซูหมิง นางยิ้มมองเขา น้ำเสียงยังดังอ้อยอิ่ง

“ติดหนึบข้า?” ซูหมิงงุนงง ตรงหน้าผุดขึ้นมาเป็นภาพไป๋ซู่และใบหน้าซีดขาวนั้น

“นางไปแล้ว” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นช้าๆ

“นางไปก็ดี นางหลงใหลซือหม่าซิ่นเลยถูกหลอกใช้ให้มาอยู่ข้างเจ้า สำหรับนางแล้วก็เป็นความเจ็บปวดเหมือนกัน…แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่รู้ตัวเอง” เทียนหลันเมิ่งไม่ยิ้มอีก แต่เอ่ยเบาๆ

ซูหมิงมองเทียนหลันเมิ่ง ไม่กล่าวสิ่งใด

“เจ้าคงสงสัยว่าข้ารู้ได้อย่างไร เล่ห์เหลี่ยมกระจอกๆ ของซือหม่าซิ่นก็คิดได้เท่านั้นแหละ จิตใจคนต่างกันเพราะเต๋า ผู้มีมหาเต๋าจะมองเห็นฟ้าดิน ผู้มีเต๋าเล็กจะเห็นเพียงตัวเอง” เทียนหลันเมิ่งรวบเส้นผมเบาๆ พร้อมกล่าวเรียบๆ

“เจ้าดูเข้าใจมากกว่าตอนพบกันครั้งก่อนเล็กน้อย” ซูหมิงเดินไปบนพื้นหิมะ ได้ยินเสียงย่ำหิมะลอยมา เสียงนี้เขาชอบมันยิ่งนัก

“ต้องขอบคุณนกกระเรียนสานที่เจ้าปล่อยให้ ข้ารู้สึกได้ว่าตอนบินอยู่มันมองเจ้าแวบหนึ่ง” เทียนหลันเมิ่งยิ้ม เพราะใบหน้างามมีเกล็ดหิมะติดอยู่ ผิวจึงเหมือนเกลี้ยงเกลา มีความรู้สึกงดงาม

ขณะทั้งสองสนทนากันก็มาถึงนอกกระโจมสีทองตรงใจกลางเผ่า ช่วงที่เดินเข้าไป มีระลอกคลื่นไร้รูปบังอยู่หนึ่งชั้น เมื่อตราไม้ในมือซูหมิงสัมผัสโดน ระลอกคลื่นนั้นถึงกระเพื่อม ซูหมิงตาพร่ามัว ตอนที่สายตากลับมาชัดอีกครั้ง เขามาปรากฏอยู่ในห้องลับขนาดสิบกว่าจั้ง

ภายในห้องสองข้างมีโต๊ะยาวหลายตัว ยามนี้มีคนนั่งอยู่สิบกว่าคน มองไม่เห็นใบหน้า เห็นเพียงเลือนรางเท่านั้น คนเหล่านี้ไม่มีใครคุยกัน ล้วนนั่งอย่างเงียบๆ ตอนซูหมิงกับเทียนหลันเมิ่งมาถึงก็กวาดสายตามองมา

ซูหมิงใจเต้น ทุกสายตาที่มองมา ส่วนใหญ่มอบแรงกดดันมหาศาลให้เขา แรงกดดันแบบนี้มิใช่ของขั้นเซ่นไหว้กระดูกธรรมดา กระทั่งบางสายตาทำให้จิตใจเขาตื่นตะลึงอย่างยิ่ง สายตาแบบนี้เป็นของ…ขั้นวิญญาณหมาน!

แต่ก็มีบางสายตาดูธรรมดามากเช่นกัน

“พวกเราเห็นพวกเขาเป็นอย่างไร พวกเขาก็เห็นพวกเราเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เว้นแต่จะตั้งใจเปิดเผยขั้นพลัง มิเช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มองขั้นพลังแท้จริงของเจ้าไม่ออก” มีเสียงนุ่มนวลดังขึ้นในจิตใจซูหมิง นั่นเป็นเสียงของเทียนหลันเมิ่ง นางยืนอยู่ข้างซูหมิง หน้าตาเลือนรางเช่นกัน

ซูหมิงเงียบงัน มองเทียนหลันเมิ่งแวบหนึ่งแล้ว ทั้งสองคนก็นั่งบนเก้าอี้ด้านขวา รอคนอื่นๆ มา

ผ่านไปไม่นานก็มีคนปรากฏตัวในห้องนี้อย่างต่อเนื่อง ทุกคนส่วนใหญ่เข้าใจกฎดี เดินมานั่งบนเก้าอี้ทีละคน ครึ่งชั่วยามต่อมาก็นั่งจนเก้าอี้เต็ม ภายในห้องมีทั้งหมดเกือบยี่สิบคน ทันใดนั้นเสียงเทียนหลันเมิ่งดังก้องในใจซูหมิงอีกครั้ง

“เริ่มแล้ว”

แทบจะเป็นช่วงที่เสียงเทียนหลันเมิ่งดังในใจซูหมิง เสียงหัวเราะสบายๆ ดังแว่วในห้องค่อนข้างมืดทึบ

หลังจากเสียงหัวเราะดังขึ้น ตรงกำแพงหน้าสุดของห้องเหมือนมีเด็กชายคนหนึ่งเดินทะลุกำแพงออกมา!

เด็กชายดูอายุเพียงเจ็ดแปดขวบ ทว่าน้ำเสียงปานน้ำหลาก คำพูดแฝงไว้ด้วยความชั่วร้าย

“ทุกท่านล้วนเป็นสหายเก่า แม้บอกว่ามีสหายใหม่บ้าง ทว่าคนที่มาที่นี่ได้จะต้องรู้กฎแน่นอน ข้าจะไม่พูดให้มากความ ตามธรรมเนียมแล้ว สำนักทะเลตะวันออกของข้าต้องขอเริ่มก่อน!”

“ของประมูลชิ้นแรกเป็นสิ่งมีชีวิต!” ขณะเด็กชายกล่าวก็ยกมือขวาขึ้นสะบัดแขนเสื้อ พลันมีโซ่สีดำลากยาวออกมา ปลายอีกด้านหนึ่งของโซ่ล่ามสิ่งมีชีวิตเอาไว้ตัวหนึ่ง มันเคลื่อนไหวเร็วยิ่งนัก เมื่อปรากฏตัวก็ห้อวิ่งเหมือนอยากจะหนีทันที ทว่าถูกโซ่ล่ามคอเอาไว้

ยามที่หนีมาถึงซูหมิง โซ่ดึงเอาไว้แน่น มัดคอมันเอาไว้ ทำให้มันร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

ตอนที่ซูมิงเห็นสิ่งมีชีวิตนั้น เขาเหมือนถูกสายฟ้าผ่านับแสนเส้น มีเสียงอื้ออึงดังในความคิด พริบตาเดียวทุกอย่างตรงหน้าหายไป เว้นแต่สิ่งมีชีวิตตัวนั้น!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version