ตอนที่ 1394 คนนี้คือศิษย์ชั่วช้า
“ข้าทำไมรึ” ซูหมิงยิ้มเล็กน้อย นัยน์ตาเผยประกายบางๆ ขณะกล่าวราบเรียบยังเดินหน้าหนึ่งก้าว
ชายชราปากแหลมแก้มลงหน้าซีดขาวอย่างยิ่ง เขาถอยไปโดยจิตใต้สำนึกแทบจะล้มลงราวกับเห็นผี แต่เขาเป็นผู้ฝึกฌานเลยควบคุมตัวเองได้เล็กน้อย ตอนนี้ขณะถอยไปยังสูดลมหายใจเข้าลึก รีบเค้นรอยยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มดูย่ำแย่กว่าร้องไห้เสียอีก
“มะ…ไม่มีอะไร ผู้เยาว์ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสลงมา ก่อนหน้านี้ที่เร่ขายยาขยะพวกนั้น หวังว่าผู้อาวุโสจะเมตตา อย่าลงโทษข้าเลย” ชายชรารีบพูดขึ้น ตอนนี้เหมือนจะสงบลงแล้ว จึงพูดอ้อนวอน
“อ้อ?” ซูหมิงมองชายชราตรงหน้าด้วยรอยยิ้มทีเล่นทีจริง ตอนที่เดินไปอีกก้าว ชายชราหน้าเปลี่ยนสี เขารีบถอยไปอีกหลายก้าว
“เจ้าดูออกว่าข้าเป็นผู้อาวุโสจริงๆ หรือว่า…เจ้า…รู้จักข้า!” ดวงตาซูหมิงระเบิดประกายวาวขณะกล่าวขึ้น ตอนที่เดินไปอีกก้าว ชายชราร้องเสียงแหลมเล็ก ไม่ถอยไป แต่คุกเข่าลงตรงหน้าซูหมิง
“ผู้อาวุโสให้อภัยด้วย ผู้เยาว์ขอชีวิต ข้าน้อยไม่รู้จักผู้อาวุโสมาก่อน เพียงแค่เมื่อครู่…เมื่อครู่พบว่าใต้เท้าผู้อาวุโสไม่มีเงา เลยเข้าใจว่าที่แท้ท่านก็เป็นผู้อาวุโสที่สำเร็จ วิชาเจ็ดชะตา” ชายชราตัวสั่น ตอบกลับด้วยน้ำเสียงร้อนรน
ซูหมิงขมวดคิ้ว เขาพิจารณามองชายชราตรงหน้าแวบหนึ่ง หน้าตากับคำพูดการขายเม็ดยาของอีกฝ่ายทำให้ความทรงจำซูหมิงเกิดการย้อนกลับ เหมือนกลับไปใน เผ่าร่องลมตอนนั้น ได้พบกับชายชราที่มีนามว่าเป้ยฉยง!
นอกจากอาภรณ์แล้ว เขาเหมือนกับชายชราคนนั้นทุกประการ ตอนนั้นก็เคยขายเม็ดยาให้ซูหมิง ทั้งยังให้ถุงเก็บวัตถุพังๆ มาด้วยหนึ่งใบ
เดิมทีตอนที่สังเกตอีกฝ่ายซูหมิงไม่ได้แปลกใจอะไรนัก เพราะในโลกประหลาดสำหรับเขานี้ ชายชราตรงหน้าไม่ใช่คนคุ้นเคยคนแรกที่เขาพบ ไม่ว่าจะเป็นเทียนเสียจื่อหรือเต๋อซุ่นที่หน้าตาไม่คล้ายเดิม หรือจะเป็นหญิงนามหลันหลัน ล้วนแล้วแต่เคยทำให้ ซูหมิงเกิดความรู้สึกพิเศษ
ดังนั้นแม้ซูหมิงจะพบชายชรา แต่หน้ากลับไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย ระลอกคลื่นในใจ ก็ไม่มาก เพียงแต่วางไว้ในใจ คอยจับตาดู
แต่ว่า…ทันทีที่ชายชราเห็นหน้าซูหมิงชัด…กลับเกิดความตื่นกลัวอย่างควบคุมไม่ได้เช่นนี้ นี่ทำให้ซูหมิงเกิดความสนใจอย่างมาก
เพราะตอนนี้เขาไม่ได้มีหน้าตาเดิม แต่เป็นหวังเทา หากชายชราคนนี้รู้จักหวังเทาก็ช่าง แต่ต่อให้ก่อนหน้านี้รู้จักหวังเทาก็ไม่มีทางพบแล้วมีสีหน้าตกตะลึงเช่นนี้
เว้นแต่…คนนี้จะเคยข้องเกี่ยวกับการตายของหวังเทา แต่เรื่องนี้ผ่านมาแปดปีแล้ว ต่อให้ข้องเกี่ยวจริงๆ ด้วยพลังของชายชราก็ไม่มีทางที่จะเสียสติขนาดนี้ ตกใจกลัว ซูหมิงจนหน้าถอดสี
และยังมีอีกความเป็นไปได้หนึ่งที่เขาสนใจมากที่สุด นั่นคือชายชราคนนี้…อาจจะรู้จักตนจริงๆ ไม่ใช่หวังเทา แต่เป็นเขาซูหมิง!
ซูหมิงเดินไปอีกหลายก้าวด้วยความสงสัยแบบนี้ แผ่แรงกดดันไปที่ชายชราหมายจะบีบให้จิตใจอีกฝ่ายพังลง แบบนี้จะได้พูดความจริงออกมา แต่ซูหมิงไม่นึกเลยว่า เมื่อเขาบีบเค้น ชายชรากลับอธิบายเช่นนี้ ฟังทีแรกก็สอดคล้องกัน ต่อให้ทบทวนอย่างถี่ถ้วนก็ค่อนข้างตรงกับสถานการณ์ก่อนหน้า
ดังนั้นซูหมิงถึงขมวดคิ้ว
อีกทั้งชายชราคนนี้คุกเข่าลง รีบกล่าวขึ้นด้วยเสียงดัง จึงดึงดูดความสนใจของศิษย์สำนักเจ็ดจันทราที่อยู่ไกลๆ ทันที ยามนี้มีคนมองมาไม่น้อย ถึงขั้นมีคนวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เรื่องนี้พัวพันถึงความเป็นส่วนตัวของซูหมิง เขาไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด มิหนำซ้ำคำอธิบายชายชราก็ไม่มีพิรุธใดๆ ซูหมิงพิจารณามองชายชราแวบหนึ่ง ก็ยังเห็นถึงความตื่นกลัว นอกจากนี้แล้วไม่มีสีหน้ามีพิรุธอื่นๆ เลย
“เจ้าไปได้แล้ว” นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายบางจนตรวจไม่พบ ก่อนพูดขึ้นเรียบๆ
ชายชรามีเหงื่อซึมออกมาจากหน้าผาก ก่อนหน้าที่ซูหมิงจะกล่าว เขาไม่กล้ายืนขึ้นเลย แต่ตอนนี้เมื่อซูหมิงพูดขึ้น แรงกดดันพลันหายไป เขาจึงรีบยืนขึ้นด้วย สีหน้าเคารพ และยังมีสีหน้าดีใจที่รอดมาได้ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเสียใจที่ทำผิดลงไปเสี้ยวหนึ่ง ราวกับว่าเสียใจภายหลังที่ก่อนหน้านี้ไปเร่ขายเม็ดยาให้ซูหมิง
สีหน้าเหล่านี้สอดคล้องกับคำพูดเขาก่อนหน้านี้เช่นกัน เวลานี้เมื่อยืนขึ้นแล้วจึงรีบประสานมือคารวะซูหมิง
“ขอบคุณผู้อาวุโสมากๆ” เขากล่าวพลางหมุนตัวกลับเดินไกลออกไปอย่างรวดเร็ว
“เป้ยฉยง” ซูหมิงมองเงาแผ่นหลังชายชรา ดวงตาขยับประกายวาวเล็กน้อยก่อนพูดขึ้น
สิ้นเสียง ชายชราคนนั้นเหมือนไม่ได้ยิน จังหวะก้าวไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ตอนที่เขาจะเดินไกลออกไปนั้น ซูหมิงยิ้มเล็กน้อย
“ข้ายังเก็บถุงเก็บวัตถุของเจ้าในตอนนั้นอยู่ ถุงนั้นเคยเป็นของเจ้า ต่อให้ผ่านมาหลายพันปี ข้าก็ยังมีวิธีหากลิ่นอายพลังของเจ้าจากในนั้น เจ้า…หนีไม่รอดหรอก”
คำพูดซูหมิงส่งไปที่ชายชราคนเดียว ทันทีที่ชายชราได้ยิน จังหวะก้าวสับสนเล็กน้อย แม้จะกลับมาเป็นปกติในพริบตา แต่ชายชราหน้าเปลี่ยนสีแล้ว เขารู้ว่าช่วงที่จังหวะก้าวตนสับสนได้เผยพิรุธแล้ว ขณะกำลังลังเลนั้น…
“เป็นเจ้าจริงๆ!” ซูหมิงตะโกนเสียงต่ำ
ชายชราตกใจราวกับลูกนกตกใจธนู เขาขยับวูบไหวตัวอย่างรวดเร็วหมายจะหนีไปข้างหน้า แต่ซูหมิงก็ยังคงนิ่งมาตลอด ตอนนี้เห็นชายชราหนีไปอย่างรวดเร็วแล้วจึงยิ้มเยาะมุมปาก
ซูหมิงยิ้มพร้อมกับก้าวเดิน แต่พริบตาที่เดินหน้า ไกลออกไประหว่างหอตรงหน้าชายชราพลันมีร่างเงาหลายคนตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ที่นี่บินไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่ ห้อวิ่ง คนนำหน้าสุดเป็นชายชราชุดคลุมดำ ข้างหลังมีผู้ฝึกฌานเจ็ดแปดคนติดตาม
“หาญกล้านัก ใครกันที่กล้ารังแกศิษย์ข้าเช่นนี้!” ชายชราชุดคลุมดำยิ้มเยาะพลางสะบัดแขนเสื้อ เขาพุ่งตรงมาที่นี่ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้มีคนไปรายงานว่า เป้ยฉยงคุกเข่าคารวะ ตอนนี้เข้ามาใกล้ เป้ยฉยงจึงรีบอ้อนวอนเสียงดัง
“อาจารย์ช่วยด้วยๆ…เขา…ศิษย์ชั่วช้าคนนี้จะแย่งเม็ดยาของศิษย์!” พูดจบ ชายชราคนนั้นมีสีหน้าปกติ คนที่ติดตามข้างหลังต่างมีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย
คนสำนักฝ่ายในสำนักเจ็ดจันทราของชั้นแรกส่วนใหญ่รู้นิสัยของเป้ยฉยงดี หากมีศิษย์ชั่วร้ายจริงๆ เป้ยฉยงดูจะเหมือนกว่าอีก
“ข้าอยากรู้นักว่าศิษย์คนใดหาญกล้าเช่นนี้ กล้าทำร้ายคนอื่นในสำนัก นี่ถือว่า ผิดกฏสำนัก ต้องถูกขับไล่ออกจากสำนัก!” ชายชรายิ้มเยาะพลางพูดขึ้น ก่อนเดินออกมาจากข้างเส้นทางหินสีดำระหว่างหอ มองซูหมิงในแวบแรก
มองไปแวบแรกนี้เขาพลันหน้าเปลี่ยนสี สูดลมหายใจเข้า ถอยซวนเซไปหลายก้าว แม้แต่คนข้างหลังที่เขาพามายังมีสีหน้าอึ้งงัน พวกเขาไม่รู้จักซูหมิง ที่พวกเขาอึ้งเป็นเพราะตอนนี้ชายชราชุดคลุมดำหน้าเปลี่ยนสีและถอยไปโดยจิตใต้สำนึก
ชายชราร้องทุกข์ในใจ ก่อนหน้านี้เขาเดินอยู่บนเส้นทางหินสีดำระหว่างหอจึงมองไม่เห็นซูหมิง คิดว่าเป็นศิษย์ที่ไม่รู้สูงต่ำมารังแกศิษย์ของตน ดังนั้นจึงโกรธ อย่างยิ่ง แต่ตอนนี้เดินออกมาแล้วเห็นซูหมิง ในใจพลันเต้นระรัว คนอื่นไม่รู้จักซูหมิง แต่เขาจะไม่รู้จักได้อย่างไร
เพราะเขาก็คือ ชายชราแซ่เฉินที่ชี้นำการฝึกของหวังเทาคนที่ซูหมิงยึดร่าง!
ตั้งแต่ที่ซูหมิงเข้าสำนักฝ่ายใน ช่วงหลายปีแรกๆ แม้ชายชราจะมีความแค้นอยู่บ้าง แต่ก็กังวลในใจมาตลอด กลัวว่าซูหมิงจะกลับมาสร้างปัญหาให้ ถึงสองฝ่ายจะมี ขั้นพลังต่างกันมาก แต่ซูหมิงเป็นสำนักฝ่ายในแล้ว ฐานะจึงต่างกัน เลยมีวิธี สร้างปัญหาให้มากมาย…
แต่ผ่านไปหลายปีดีกักเขาก็ยังไม่เจอปัญหาอะไร จึงเริ่มอวดบารมีอีกครั้ง โดยเฉพาะแปดปีผ่านไป ด้วยความที่ซูหมิงถูกลืม เขาเลยลืมไปบ้างแล้วเช่นกัน
แต่ในใจก็ยังคงมีหนามอันหนึ่งอยู่ตลอด มันทำให้เขากังวลอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะจากที่เขาได้ยินมาว่าซูหมิงเหมือนจะเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสท่านหนึ่ง นี่ยิ่งทำให้เขาตกใจไปช่วงหนึ่ง
แต่ถึงอย่างไรแปดปีก็ไม่มีข่าวคราว เขาจึงฝังเรื่องนี้ไว้ในก้นบึ้งหัวใจทีละน้อย
ยามนี้ได้พบซูหมิงอีกครั้ง ทุกอย่างเมื่อแปดปีก่อนพลันลอยขึ้นมาในความคิด ทำให้ความโกรธพลันกลายเป็นตึงเครียด แม้เขาจะไม่กลัวพลังซูหมิง แต่ก็ยำเกรง ผู้อาวุโสท่านนั้นที่อยู่เบื้องหลังซูหมิงยิ่งนัก ไม่ว่าเขาจะสืบเสาะอย่างไรก็ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสท่านนั้นเป็นใคร เขาจึงกังวลยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าจะไล่ข้าออกจากสำนักรึ?” ซูหมิงมองชายชราแซ่เฉินพลางถามขึ้นเรียบๆ
ชายชราแซ่เฉินหน้าเปลี่ยนสี ยังไม่ทันตอบ ในเจ็ดคนข้างหลังเขามีชาย วัยกลางคนผู้หนึ่งยิ้มเยาะ ชี้หน้าซูหมิงพร้อมตะโกนเสียงต่ำ
“เห็นท่านผู้ดูแลเฉินแล้วยังไม่คุกเข่าคารวะอีก เจ้าเป็นศิษย์ของใครกัน เรียกอาจารย์ของเจ้ามา จะต้องจัดการเรื่องนี้ มิเช่นนั้น…” เห็นได้ชัดว่าชายร่างกำยำอวดบารมีจนเป็นนิสัยแล้ว ยามนี้กล่าวด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด แต่ยังพูดไม่จบ ชายชราแซ่เฉินข้างๆ เดินเข้ามาตบหน้าไปทีหนึ่ง จนชายร่างกำยำถอยไปสิบกว่าจั้ง
“สมควรตาย ช่างกล้านัก ใครใช้ให้เจ้าพูดกัน” ชายชราแซ่เฉินโมโหเป็นอย่างยิ่งแล้ว เขากล่าวขึ้นทันที จากนั้นมองซูหมิงแล้วรีบเค้นรอยยิ้ม ประสานมือคารวะ
“ที่แท้ก็สหายหวัง ฮ่าๆ ไม่เจอกันแปดปีสหายหวังดูสง่ากว่าเมื่อก่อนอีก ฮ่าๆ ตอนแรกจำไม่ได้ สหายหวังอย่าได้ถือสา” ชายชราแซ่เฉินกล่าวขึ้นพร้อมประสานมือคารวะ
การกระทำแบบนี้ คำพูดแบบนี้ ทำให้คนโดยรอบพากันอึ้งงัน มองซูหมิงพร้อมกัน เป็นที่รู้กันว่าผู้อาวุโสแซ่เฉินบ้าอำนาจมากในสำนักฝ่ายนอก โดยเฉพาะตอนนั้นที่ หวังเทาได้เข้าสำนักฝ่ายใน เขาจึงได้เลื่อนเป็นผู้ดูแลใหญ่ตามกฏของสำนัก จากนั้นยิ่งมีน้อยคนนักในสำนักฝ่ายนอกที่จะกล้าล่วงเกินเขา
แต่ตอนนี้…เขากลับมีท่าทีเช่นนี้ ศิษย์โดยรอบจึงอดคาดเดาฐานะซูหมิงกันในใจมิได้