Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1396

ตอนที่ 1396 เจ้าคือซูหมิง

“ข้าขาดผู้รับใช้หนึ่งคน” ซูหมิงกล่าวราบเรียบอยู่กลางอากาศพลางมองเป้ยฉยงที่ตนจับไว้ในมือขวา ตอนนี้เป้ยฉยงหน้าซีดขาวแล้ว มองซูหมิงด้วยสีหน้าสิ้นหวังและอ้อนวอน

“ผู้อาวุโสหวังถูกใจคนนี้ นั่นก็ถือว่าเป็นโชควาสนาของเขา ก่อนหน้านี้เข้าใจผิดไป หวังว่าผู้อาวุโสหวังจะไม่ถือสา” บัณฑิตชุดคลุมขาวยืดตัวขึ้นกล่าวกับซูหมิงด้วย ความเคารพ เขาไม่สงสัยฐานะซูหมิง ที่นี่คือสำนักเจ็ดจันทรา ยังไม่เคยมีใครกล้าหาญถึงขั้นปลอมตัวเป็นผู้อาวุโส

อีกอย่างในมุมมองบัณฑิตชุดคลุมขาว ถึงอย่างไรซูหมิงก็เป็นคนสำนักเจ็ดจันทรา การปลอมตัวเป็นผู้อาวุโสที่นี่จะต้องถูกเปิดโปงแน่ อีกอย่างตรานั้นยังแผ่ระลอกคลื่น ทว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้อาวุโสคนใดมา นี่จึงไขข้อสงสัยนี้ไป

“หวังว่าผู้อาวุโสหวังจะให้อภัยด้วย เรื่องนี้ผู้เยาว์บุ่มบ่ามเอง ศิษย์ตัวน้อยโชคดีที่ได้เป็นรับใช้ผู้อาวุโสหวัง นั่นคือโชควาสนาครั้งใหญ่ของเขา” ชายชราแซ่เฉินรีบพูดขึ้น เค้นรอยยิ้ม นัยน์ตามีความตื่นกลัว เขาตกใจกลัวซูหมิงอย่างสุดขีดแล้ว ไม่ใช่ตกใจพลัง แต่เป็นฐานะในสำนักของอีกฝ่ายที่ทำให้เขาไม่คิดจะล่วงเกินแม้แต่น้อย ถึงขั้นตอนนี้ความสำนึกเสียใจภายหลังยังทำให้เขาใจสั่น

ซูหมิงส่ายหน้า ช่วงที่คนโดยรอบใจเต้นระรัว เขามองชายชราแซ่เฉินด้วยสีหน้ายิ้มทีเล่นทีจริง

“เป็นผู้รับใช้ข้าเป็นโชควาสนารึ?”

“ขอรับ…แน่นอนว่าต้องเป็นโชควาสนาครั้งใหญ่ ทุกคนล้วนปรารถนาจะได้รับ เป้ยฉยง จากนี้ติดตามผู้อาวุโสหวังให้ดี จะต้องเป็นแบบอย่างให้กับศิษย์พี่ศิษย์น้อง คนอื่นๆ ของเจ้า!” ชายชราแซ่เฉินรีบตอบกลับ

“เช่นนั้น…เจ้าก็ติดตามข้าเถอะ ข้าไม่เลือกเป้ยฉยงเป็นผู้รับใช้แล้ว แต่เลือกเจ้า” คำพูดซูหมิงเรียบนิ่ง แต่เมื่อเข้าหูชายชราแซ่เฉินกลับเหมือนเป็นฟ้าผ่าในยามฟ้าใส ทำให้เขาอึ้งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรงอีกครั้ง ถอยหลังไปโดย จิตใต้สำนึก

“เอ่อ…เรื่องนี้…เอ่อ…” เขาแทบจะพูดจาสลับมั่วไปหมด

“ผู้อาวุโสหวัง ข้าเป็นผู้ดูแลใหญ่สำนักฝ่ายนอก เรื่องนี้…เรื่องนี้…” ชายชรา แซ่เฉินมีเหงื่อผุดบนหน้าผากจำนวนมาก ก่อนพูดต่ออย่างรีบร้อน

“เจ้าสำนักสวี่ ข้ารู้กฏสำนักไม่มาก เจ้าจัดการเรื่องนี้ให้ด้วย” ซูหมิงยังคงยิ้ม ในเมื่อชายชราแซ่เฉินใช้กฏสำนัก เช่นนั้นซูหมิงก็จะใช้กฏสำนักบ้าง

จริงๆ แล้วการเล่นงานชายชราคนนี้ไม่ใช่นิสัยซูหมิงเลย ตามนิสัยเขาแล้วควรจะสังหารเลยต่างหาก แต่ตอนที่ซูหมิงยึดร่าง เขารู้สึกถึงความแค้นของหวังเทาต่อ ชายชราคนนี้ นั่นคือความแค้นที่แม้แต่การสังหารอีกฝ่ายก็ยังลบล้างไม่ได้ มีแต่ต้องทรมานไปเรื่อยๆ เท่านั้น

ในเมื่อยึดร่างหวังเทาแล้ว ซูหมิงก็จะทำตามความประสงค์ของคนที่ตายไปแล้วอย่างไม่ถือสา

“เรื่องนี้…เรียนผู้อาวุโสหวัง ตามกฏสำนักแล้ว ผู้อาวุโสตัดสินชะตาทุกอย่างของสำนักฝ่ายนอกรวมถึงศิษย์ในสำนักได้ตามอำเภอใจ รวมถึงผู้ดูแลด้วย หากมีการคัดค้านจะสังหารได้ทันที! แต่ว่าเรื่องนี้หากมีผู้อาวุโสท่านอื่นมาขวาง ก็ต้องให้ผู้อาวุโสตัดสินกันเอาเอง” บัณฑิตชุดคลุมขาวรีบตอบกลับ ขณะพูดยังมองชายชราแซ่เฉินอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง

ซูหมิงพยักหน้า หลับตาลง ผ่านไปสิบกว่าลมหายใจถึงลืมตาขึ้น ยิ้มให้ชายชราแซ่เฉินเล็กน้อย

“ดูท่าคงไม่มีผู้อาวุโสท่านอื่นมาขวางแล้ว ส่วนเจ้า…จะเป็นผู้รับใช้ของข้า หรือ…อยากถูกลบหายไป?” น้ำเสียงซูหมิงราบเรียบ แต่ในมุมชายชราแซ่เฉินกลับเหมือนเสียงระฆังมรณะ เขาตัวสั่นมองไปรอบๆ จากนั้นกัดฟัน

“ผู้เยาว์ยินยอมเป็นผู้รับใช้ผู้อาวุโส!” ขณะกล่าว ความขมขื่นในใจเขาไม่อาจบรรยายแล้ว แต่ไม่ทำแบบนี้แล้วจะทำอะไรได้อีก เขาเห็นจิตสังหารของซูหมิง กลัวว่าแค่ตนปฏิเสธก็จะถูกสั่งประหารทันที

หากตนคัดค้านก็จะตายอนาถายิ่งกว่า!

นี่ก็คือผู้อาวุโสของสำนักเจ็ดจันทรา นั่นคือดวงจิตสูงสุดที่กดขี่อยู่เหนือทุกอย่าง!

“เช่นนั้นก็ตามข้ามา” ซูหมิงพยักหน้าให้บัณฑิตชุดคลุมขาวด้วยสีหน้าดังเดิม ก่อนมองชายชราแซ่เฉินแล้วหมุนตัวคว้าเป้ยฉยงที่หน้าซีดขาวเป็นสายรุ้งบิน ไกลออกไป

ชายชราแซ่เฉินมีสีหน้ากังวลและตื่นกลัว เขาต้องบินขึ้นตามหลังซูหมิงไป ระหว่างทางปลอบใจตัวเองไม่หยุด ขั้นพลังตนเหนือกว่าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ที่นี่มีคนมาก หากเป็นที่คนน้อย หากอีกฝ่ายจะทำอะไร อย่างน้อยตนก็มีพลังไว้ปกป้องตัวเอง

ความคิดนี้ทำให้เขาหาความมั่นใจในตัวเองเสี้ยวหนึ่งพบในความตึงเครียด

จนกระทั่งซูหมิงจากไป ผู้คนที่นี่ยังคงตกตะลึงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ผ่านไปพักใหญ่กลุ่มคนถึงกระจายกันช้าๆ ทว่าเรื่องเกี่ยวกับหวังเทากลับแพร่สะพัดไปในสำนัก ฝ่ายนอกราวกับพายุคลั่ง

ส่วนฐานะซูหมิง เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในสำนักเจ็ดจันทรารู้เรื่องนี้นานแล้ว เพียงแต่ไม่กระจายข่าวออกไป เรื่องนี้เลยเป็นความลับ

ซูหมิงเผยฐานะตัวเอง ตอนที่ใช้อำนาจผู้อาวุโส ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ย่อมไม่อยากขวางเพราะเรื่องเล็กแบบนี้อยู่แล้ว ถึงอย่างไร…ตั้งแต่อดีตจนมาถึงตอนนี้ ผู้อาวุโสใหญ่ มีกี่คน ผู้อาวุโสก็จะมีตามนั้น เรื่องนี้ไม่เคยเกิดการเปลี่ยนแปลงมาก่อนตั้งแต่โบราณ

และคนที่เป็นผู้อาวุโสได้ล้วนเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสใหญ่สิบสามคนนั้น และก็เป็นผู้ปกครองผู้ฝึกฌานในสายเลือด อย่างเช่นหลันหลันก็เป็นผู้ปกครองของสายเลือดชายจีวรเต๋าฟ้าคราม

มีเพียงเมื่อแปดปีก่อนที่ปรากฏซูหมิงมาอีกคน ทำให้จำนวนผู้อาวุโสของ สำนักเจ็ดจันทราเพิ่มมาเป็นสิบสี่คนทั้งๆ ที่ผู้อาวุโสใหญ่ยังมีสิบสามคนเป็นครั้งแรก

เดิมทีเรื่องนี้เกิดการโต้เถียงอย่างรุนแรงในสำนักเจ็ดจันทรา แต่ที่น่าแปลกคือ… ผู้อาวุโสทุกคนล้วนได้รับข้อมูลจากอาจารย์ที่หลับใหลว่านี่เป็นเรื่องที่ผู้อาวุโสใหญ่ ทุกคนเห็นด้วย!

รวมถึงเต้าหานชายชุดคลุมแดงที่ดูแลสำนักเจ็ดจันทราในหลายยุคมานี้ก็ไม่ออกความเห็นต่างอะไร ทำให้เรื่องนี้เป็นที่ยอมรับโดยนัย ดังนั้นแล้ว การที่ซูหมิงแสดงฐานะผู้อาวุโสเป็นครั้งแรกจึงเป็นเรื่องเล็กที่ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง อีกทั้งคนเหล่านี้ ยังเข้าใจเรื่องในตอนนั้นระหว่างซูหมิงกับผู้ดูแลที่ชี้แนะของเขา แน่นอนว่าไม่มีใครก้าวก่าย ไม่อยากล่วงเกิน…ซูหมิงกับหลันหลันผู้อาวุโสสองคนพร้อมกัน!

ซูหมิงหิ้วเป้ยฉยงเป็นสายรุ้งยาวตรงไปยังยอดเขา ชายชราแซ่เฉินอยู่ข้างหลัง ไม่นานสามคนนี้ก็มาถึงฟ้าเหนือฟ้าชั้นหนึ่ง ซึ่งตรงกับหน้าผาบ้านไม้ของซูหมิงบน ฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า

ซูหมิงยกเท้าขึ้นเหยียบลงพื้น ร่างเงาเขาพลันขยายออกเป็นเงามืดปกคลุมเป้ยฉยงกับชายชราแซ่เฉิน ก่อนพุ่งขึ้นฟ้าหายไป มาปรากฏอีกทีอยู่ฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า ก็ยังคงเป็นหน้าผา ตอนที่เป้ยฉยงกับชายชราแซ่เฉินปรากฏกาย พวกเขาเห็นซูหมิงอีกคนกำลังนั่งฌานสมาธิ

ขณะเดียวกันก็เห็นซูหมิงที่พาพวกเขามากลายเป็นเงาเดินไปข้างหลังซูหมิง ตอนที่ซ้อนกับเงาซูหมิง ซูหมิงที่นั่งฌานอยู่ลืมตาขึ้นช้าๆ

ทันทีที่ลืมตา เขายกมือขวาชี้ชายชราแซ่เฉิน ชายชราพลันร้องโหยหวนเสียงแหลม ทั่วร่างอัดแน่นไปด้วยเปลวเพลิง ภายใต้การถาโถมของเปลวเพลิง มันกลายเป็นเตาหลอมสีแดงยักษ์คลุมชายชราแซ่เฉินเอาไว้

เสียงกรีดร้องยังคงอยู่ แต่ความหวาดกลัวในใจทำให้ชายชราแซ่เฉินในเตาหลอมเกิดความกลัวมากกว่าความเจ็บปวด พริบตาก่อนหน้านี้ เขาต่อต้านการลงมือของ ซูหมิงไม่ได้แม้แต่น้อย เหมือนว่าเทียบกับซูหมิงแล้ว ราวกับความต่างระหว่างเด็กน้อยกับคนโตเต็มวัย นี่ทำให้เขาหวาดกลัวและเจ็บปวด กลายเป็นการทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ

ที่หวาดกลัวไม่ใช่แค่ชายชราแซ่เฉิน แต่ยังมีเป้ยฉยงที่หน้าซีดขาว ภาพนี้ทำให้เขาหรี่ตาลง กำลังจะถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว แต่ข้างหลังเขาเป็นเหวลึกจึง ถอยไม่ได้ ได้แต่ตัวสั่น รีบเค้นสีหน้าประจบสอพลอ

“ผู้อาวุโสหวังมีพลังสูงส่ง ข้าน้อย…”

“ก่อนหน้าเจ้า ข้าฟังคำพูดแบบนี้มาพอแล้ว” ซูหมิงกล่าวราบเรียบพลางมองเป้ยฉยง

“เอ่อ…” เป้ยฉยงตึงเครียดกว่าเดิม

“พูดมาเถอะ” ซูหมิงพูดขึ้นนิ่งๆ

“ข้า…ข้าไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ ผู้อาวุโสหวัง ทุกอย่างเป็นความผิดข้าเอง ข้าไม่ควรขายยาปลอมกับท่าน ข้าผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วจริงๆ…” เป้ยฉยงร้องโหยหวน คุกเข่าลงอีกครั้งด้วยสีหน้าสำนึกเสียใจถึงขีดสุด

“บอกมาว่าข้าเป็นใคร?” ซูหมิงมีสีหน้าปกติ เขายกมือขวาชี้เป้ยฉยง พลันเกิดพายุสีดำขึ้นรอบตัวเป้ยฉยง ภายใต้การหมุนวนอย่างรวดเร็ว พายุนั้นจึงเหมือนกับดาบคมกริบทำให้เป้ยฉยงร้องโหยหวนเสียงแหลม ตามตัวเกิดบาดแผลเล็กๆ นับไม่ถ้วน โดยเฉพาะเมื่อเกิดแผลแล้ว ตอนที่พายุสีดำผ่าน บาดแผลเหล่านั้น เน่าเปื่อยทันที เงามืดมรณะพลันปกคลุมในใจเป้ยฉยง

“ข้าให้เวลาเจ้าคิดสิบลมหายใจ เจ้ากับข้าไม่มีความแค้นต่อกัน ข้าก็ไม่อยาก ค้นวิญญาณทำอันตรายกับชีวิตเจ้า แต่หากเจ้ายังยึดมั่นไม่ยอมพูด…” ซูหมิงมีสีหน้าราบเรียบอ่านไม่ออกว่าโกรธหรืออย่างไร ยังพูดไม่จบ แต่เป้ยฉยงกลับสัมผัสถึง ความหนาวเยือกในน้ำเสียงได้อย่างชัดเจน

“หนึ่ง” ซูหมิงกล่าวขึ้นเรียบๆ

“สอง…” เป้ยฉยงในพายุสีดำมีสีหน้าว้าวุ่น ชั่วขณะที่เขากรีดร้อง บาดแผลตามตัวเยอะขึ้นกว่าเดิม โลหิตสาดกระจาย ทำให้พายุสีดำค่อยๆ เกิดเป็นสีม่วง

“สาม…”

“ข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ผู้อาวุโสหวังไว้ชีวิตด้วย ทะ ทะ…ท่านคือผู้อาวุโสหวัง ข้ารู้แค่ว่าท่านคือผู้อาวุโสหวัง…”

“หก…” ซูหมิงไม่หน้าเปลี่ยนสีแม้แต่น้อย มองพายุดำนิ่งๆ น้ำเสียงปาน ระฆังมรณะดังในใจเป้ยฉยง

“เจ็ด…”

“ข้าเห็นว่าท่านไม่มีเงาเลยหน้าเปลี่ยนสีจริงๆ ข้าไม่ได้หลอกท่าน ผู้อาวุโสหวังฟังข้าอธิบายก่อน ขะ..ข้า…” เป้ยฉยงกรีดร้องดังขึ้นเรื่อยๆ พายุดำนั้นกลายเป็น สีม่วงมากกว่าครึ่ง ตอนที่หมุนโคจร กระทั่งขาสองข้างของเป้ยฉยงยังเห็นกระดูกเล็กน้อยแล้ว!

“เก้า…” ซูหมิงยังมีมีสีหน้าดังเดิม เขากล่าวพลางยกมือขวาขึ้นคว้าพายุดำนั้น เป้ยฉยงที่กรีดร้องในพายุเอียงตัวลงมา กลางกระหม่อมจึงชี้ไปยังซูหมิง ตอนที่ซูหมิงคว้ามือขวามานั้น เขาพูดขึ้นเรียบๆ

“สิบ!” สิ้นเสียงพายุดำเกิดเสียงดังครึกโครม เป้ยฉยงในนั้นพุ่งมาหาซูหมิง พริบตาที่จะถูกซูหมิงคว้ากลางกระหม่อมเพื่อค้นวิญญาณนั้น…

“ซูหมิง ซูหมิง เจ้าคือซูหมิง!” เป้ยฉยงเหมือนใช้แรงทั้งหมดพูดเสียงแหลมเล็กดังขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version