Skip to content

สู่วิถีอสุรา 14

ตอนที่ 14 แปรเปลี่ยน

ตีกลองครั้งแรกเป็นดั่งความกล้าของนักรบ ตีครั้งที่สองความกล้าลดลง และครั้งที่สามจึงดับสูญ กฎเกณฑ์ก็เป็นเช่นนี้ ซูหมิงติดตามท่านปู่มาแต่เยาว์วัย ได้อ่านตำราหนังสัตว์หลายเล่มของท่านปู่จบนับครั้งไม่ถ้วน ในนั้นมีสิ่งที่น่าพิศวงมากมาย

สติปัญญาของบรรพบุรุษเหล่านี้ซึมซับไหลผ่านตามกาลเวลา ค่อยๆ สลักลงในห้วงความคิดซูหมิง ทว่าตลอดมาเขาไม่อาจสัมผัสได้ราวกับหลับลึก จนถึงตอนนี้ หลังจากซูหมิงสังหารและไล่ล่า สติปัญญาที่ซึมซับรับอิทธิพลมากลับถูกปลุกขึ้นทีละน้อย

อวี้ฉื่อค่อนข้างกังวลใจ เดิมทีเขาคิดว่าคงหนีไม่พ้นแน่ จึงยอมเสี่ยง หันไปเตรียมประมือกับอีกฝ่ายอย่างสุดชีวิต ทว่าหลังจากเห็นอีกฝ่ายห่างออกไปไกล พลันโกรธจนตาแดงก่ำ กลับเป็นเช่นนี้ไปได้

เป็นแบบเดิมหลายต่อหลายครั้ง จนเขาไม่มีความคิดยอมทุ่มสุดชีวิตเหมือนก่อนหน้านี้อีก

ในความคิดของซูหมิง นักรบหมานจากเผ่าภูผาดำเบื้องหน้าเป็นเพียงเหยื่อที่ตื่นกลัวของตนเท่านั้น เขาทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ายังมีความหวัง จะได้สังหารมันอย่างเชื่องช้า

ซูหมิงค่อยๆ ทำลายความกล้าและความมั่นใจของอวี้ฉื่อด้วยวิธีเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ระหว่างไล่ล่า บางครั้งเขาก็ตั้งใจทิ้งระยะห่างเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลายจากความตึงเครียดสูง

ซูหมิงพอจำได้ว่าในตำราหนังสัตว์เคยกล่าวไว้ เมื่อตึงเครียดเป็นเวลานาน หากได้รับการผ่อนคลาย ความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่จะเผยออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ความรู้สึกเช่นนั้นเพียงพอจะทำให้จิตใจจมดิ่งลงลึกได้

เรื่องราวเหล่านี้ซูหมิงเคยเข้าใจเพียงทฤษฎี ทว่ายามนี้พอได้ไล่ล่าจริงๆ จึงเริ่มเปลี่ยนจากความเข้าใจเป็นสัญชาตญาณ กระทั่งลงมือโดยไม่ต้องไตร่ตรอง บรรลุถึงผลลัพธ์ที่เข้าต้องการด้วยตัวมันเอง

สำหรับเขาแล้ว วันนี้สังหารคนเป็นครั้งแรก และไล่ล่าผู้อื่นเป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกในชีวิตเขา

ทว่าน่าเสียดาย การแปรเปลี่ยนครั้งนี้มีเพียงอวี้ฉื่อคนเดียวที่ได้สัมผัสมันกับตัว

ความรู้สึกของอวี้ฉื่อดำดิ่งสู่ห้วงลึก เพียงแต่เขาไม่แน่ใจว่าสาเหตุมันมาจากอะไร เขารู้สึกเพียงว่าความกล้าและความมั่นใจของเขาลดลงหลังจากเห็นภาพการสังหารเมื่อก่อนหน้านี้ ในระหว่างถูกไล่ล่าก็ค่อยๆ หายไปจนหมด

กระทั่งความคิดหันกลับไปสู้สุดชีวิตก็หายไปด้วย แม้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในลำดับสองขั้นรวมโลหิตเช่นเดียวกัน แต่เขากลับรู้สึกว่าหากหันกลับไปจะต้องสิ้นชีพลงอย่างแน่นอน แต่หากหนีต่อไปอาจพอมีโอกาสรอด

สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือความรู้สึกเหนื่อยล้าทวีคูณเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่รู้สึกว่าเด็กหนุ่มทิ้งระยะห่างจนไม่เห็นเงา ความเมื่อยล้าทำให้ขาทั้งสองข้างสั่นไหวแทบจะทรุดลง ทว่าเขาไม่อาจหยุดพัก กัดฟันยืนหยัดต่อไป

ยืนหยัดสู้ต่อได้ไม่นาน เงาด้านหลังปรากฏขึ้นอีกครั้ง ตอนที่มองกลับไปพลันดูเหนื่อยล้ามากขึ้น ทำให้อวี้ฉื่อรู้สึกแทบจะกลายเป็นบ้า

“หมานชั่วร้าย! มันต้องเป็นหมานชั่วร้ายแน่!” อวี้ฉื่อใจสั่นสะท้าน ระหว่างนั้นมีทางแยกอยู่เบื้องหน้า ทางซ้ายมุ่งหน้าไปยังป่าเขาลึก ออกนอกเขตยอดเขาเพลิงทมิฬ ส่วนทางขวาอ้อมยอดเขานี้เชื่อมไปถึงเผ่าภูผาดำ

ซูหมิงที่ไล่ตามไปทราบก่อนแล้วว่าจะมีทางแยกเช่นนี้ ดวงตาพลันเป็นประกาย กดความเหนื่อยล้าพลันเพิ่มความเร็ว พุ่งทะยานไปเบื้องหน้า ก่อนทะลุป่าตรงดิ่งไปทางแยกด้านขวา

ดูท่าเขามั่นใจแล้วว่าอวี้ฉื่อจะต้องไปทางขวาแน่นอน จึงตั้งใจจะไปให้ถึงก่อนแล้วย่นระยะห่าง

เขากระโดดขึ้นพร้อมหยิบคันศรเล็งธนูใส่ทางแยกด้านขวาอย่างต่อเนื่อง ลูกธนูทั้งหมดปักลงบนต้นไม้ตรงทางแยกด้านขวา ทะลวงเข้าลึก ปลายลูกธนูสั่นไหว

เสียงสั่นไหวของปลายลูกธนูเหมือนมีพลังประหลาด แล่นเข้าสู่โสตประสาทของอวี้ฉื่อ ทำให้ขณะก้าวเท้าเกิดความลังเลชั่วขณะ

ตอนเห็นซูหมิงถือคันศรตามเข้ามาอีกครั้ง อวี้ฉื่อร้องคำรามเตรียมมุ่งหน้าไปทางขวา ทว่าความเร็วของซูหมิงเพิ่มขึ้นไม่น้อย ทำให้อวี้ฉื่อเกิดหลงผิดบางอย่าง

เขาคิดว่าหากตนหนีไปทางขวา เป็นไปได้สูงที่จะถูกตามล่าต่อทันที ทว่าหากหนีไปทางซ้าย ตนอาจทิ้งระยะห่างไปได้เพราะการตัดสินใจผิดพลาดของอีกฝ่าย

เสียงปลายลูกธนูยังคงดังข้างหู อวี้ฉื่อกัดฟันพลันหมุนตัวเปลี่ยนทิศทาง พุ่งตรงไปฝั่งซ้าย ด้วยความเร็วของเขา พริบตาเดียวก็หายวับไปในป่าทึบ

ซูหมิงตาเป็นประกาย เผยความเย็นชาท่ามกลางความอ่อนล้า มุมปากยกขึ้นยิ้มเยาะ ก่อนร่างจะสั่นไหว พุ่งเข้าไปเก็บลูกธนูบนต้นไม้อย่างรวดเร็ว แล้วตามล่าชายร่างกำยำจากเผ่าภูผาดำต่อ

“ควบคุมทิศทางการหนีของศัตรูได้ ก็เท่ากับควบคุมร่างกายของมันได้”

ซูหมิงกล่าวพึมพำ คำกล่าวนี้เขาเคยอ่านเจอในตำราหนังสัตว์เล่มหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ประสา ทว่าตอนนี้เข้าใจมันอย่างแจ่มชัดแล้ว

ระหว่างการตามล่า เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไม่นานก็เข้าสู่กลางดึก ดวงจันทร์ลอยสูง เปล่งแสงขาวสาดส่องบนพื้นหิมะ แม้ในป่าจะมืดทึบ ทว่าก็ยังมีแสงเงินสะท้อนจนเห็นได้ชัด

ตลอดการตามล่า ซูหมิงเปลี่ยนทิศทางการหนีของอวี้ฉื่อไปแล้วสามครั้ง ค่อยๆ ควบคุมร่างกายของอีกฝ่ายให้ไปตามทางที่ใจคิด

ซูหมิงคลำตรงหน้าอก ในแววตาเหนื่อยล้าที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยเผยความอ่อนโยน ในอ้อมอกมีเจ้าลิงน้อยนอนสลบไสล ตอนที่เขาควบคุมทิศทางของอวี้ฉื่อครั้งล่าสุด มันโยนเจ้าลิงน้อยไปอีกทางเพื่อทิ้งระยะห่างอีก

วิธีของเขาได้ผลจริงๆ ซูหมิงตรงเข้าไปที่เจ้าลิงน้อย ทำให้อวี้ฉื่อถอนหายใจโล่งอก ทว่ากลับเพิ่มความเร็วยิ่งขึ้น

เพียงแต่ไม่นาน อวี้ฉื่อก็พบว่าด้านหลังของตนมีลูกธนูตรงเข้ามาอีกหลายดอก นี่ทำให้เขาแทบคลุ้มคลั่ง

ความมืดยามค่ำคืนปกคลุม ดวงดาวบนท้องฟ้าส่งแสงระยิบระยับ ราวกับดวงตานับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองการล่าสังหารในป่าทึบเบื้องล่าง

อวี้ฉื่อหมดเรี่ยวแรง ขาทั้งสองข้างซวนเซ ความรู้สึกของร่างกายยังเป็นรอง ที่สำคัญที่สุดคือจิตใจของเขาตอนนี้ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก ส่งผลให้เขารู้สึกสำนึกเสียใจอย่างไร้ที่สิ้นสุด

เขาเสียใจที่ไปเจอถ้ำเล็ก เสียใจที่ไปตามล่าวานรเพลิง ถ้ามิเช่นนั้นแล้ว ทุกอย่างคงไม่เป็นเช่นนี้

เบื้องหน้าเขาเป็นป่าทึบมีวัชพืชอยู่จำนวนมาก แม้จะกล่าวว่าเป็นฤดูหนาว ทว่าที่แห่งนี้ยังคงเหมือนไร้พรมแดน ครั้นอวี้ฉื่อเข้าไปในป่าทึบโดยขาดการไตร่ตรอง ผ่านไปไม่นาน เงาของซูหมิงมาปรากฏอยู่นอกป่าทึบ

เขายืนนิ่งหอบหายใจแรง ไอขาวจำนวนมากถูกพ่นจากปาก ทว่าดวงตาทั้งสองข้างกลับเย็นเยือก เขาไม่ได้ไล่ตามต่อ แต่ยังคงรออยู่เงียบๆ ณ ที่เดิม

“ที่นี่เป็นสุสานฝังเจ้าที่ข้าชี้ทางให้! หากเจ้ารอดมาได้ถือว่ามีวาสนาดี!”

ซูหมิงกล่าวพึมพำ ค่อยๆ หายใจเป็นปกติ

เมื่อกล่าวจบ ในค่ำคืนเงียบสงัดพลันเกิดเสียงกรีดร้องน่าเวทนาดังมาจากในป่าทึบ เสียงร้องดังก้องทำให้ผู้ที่ได้ยินต้องตื่นกลัว

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงร้องค่อยๆ เบาลง มีเสียงโหยหวนแทรกขึ้นบ้าง

ซูหมิงเดินเข้าไปในป่าทึบอย่างช้าๆ ทุกฝีก้าวรอบคอบพร้อมมองไปรอบด้านโดยละเอียด บ้างถอย บ้างเดินอ้อม บ้างกระโดดข้าม

ที่นี่เป็นเขตวางกับดักสัตว์ป่าของกลุ่มล่าสัตว์เผ่าเขาทมิฬ ในป่าทึบแห่งนี้มีกับดักมากมาย อีกทั้งนอกจากเผ่าเขาทมิฬแล้ว ไม่มีเผ่าไหนทราบถึงเรื่องนี้เลย

แม้เป็นซูหมิงก็ยังทราบเพียงตำแหน่งคร่าวๆ และยังมีบางส่วนที่เขาไม่อาจระบุได้

หากเป็นอวี้ฉื่อยามสภาพร่างกายเต็มร้อย บางทีอาจจะรอดออกมาก็ได้ แต่ด้วยสภาพในตอนนี้ ก้าวเข้าสู่ที่นี่ก็เหมือนตรงสู่ยมโลก

ซูหมิงเดินทุกฝีก้าวด้วยความระมัดระวัง เสียงร้องโหยหวนที่ลอยมากระทบหูค่อยๆ เบาลง เขาเดินไปตามทางจนพบเข้ากับอวี้ฉื่อที่ถูกแขวนขึ้น มีซุงไม้ใหญ่ปลายแหลมขนาดหนาเท่าคนจำนวนมากตอกเขาติดกับต้นไม้

·โลหิตอาบไปทั้งตัว ทว่ายังไม่ตายตก เพียงตัวสั่นเทา ร้องเสียงครวญครางอ่อนแรง

ซูหมิงเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ ยืนข้างอวี้ฉื่อ มองอยู่นานก่อนหยิบเขากระดูกขึ้นมาปาดคอเขา

หลังจากอวี้ฉื่อดิ้นทุรนทุรายไม่นานก็หมดลมหายใจ ดวงตาจ้องมองซูหมิง อัดแน่นไปด้วยความโกรธแค้น

ซูหมิงเงียบขรึม ตัดเชือกกับดัก นำร่างอวี้ฉื่อลงมา หลังจากค้นของในศพแล้ว จึงหยิบผงโอสถโลหิตที่เหลืออยู่ไม่มากมาป้ายบาดแผล เปลี่ยนศพให้เป็นโครงกระดูก ก่อนทุบจนเป็นผงปลิวไปตามลม

ซูหมิงหมุนตัวแล้วเดินออกจากป่าทึบไปอย่างเงียบๆ ด้านนอกป่าทึบ เขาเห็นแสงจันทร์ส่องสว่าง แววตาสับสน นี่เป็นการสังหารครั้งที่สอง เขาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร ตื่นเต้น วิตก หรือสับสน….

ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถอนหายใจเบาๆ แม้ว่าเผ่าภูผาดำกับเผ่าเขาทมิฬจะมาจากสายเลือดเดียวกัน ทว่าหลายปีมานี้กลับกลายเป็นความแค้นที่ยาวนานหลายชั่วอายุคน หากมีเผ่าหนึ่งแข็งแกร่ง อีกฝ่ายจะต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติร้ายแน่นอน

เมื่อถึงวาระนั้น ชายทุกคนจะถูกสังหารหมู่ สตรีจะถูกจับไปเป็นแม่พันธุ์เพิ่มทายาทรุ่นหลัง

ดีที่เรื่องราวเช่นนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หลายปีมานี้ ท่านปู่จากทั้งสองเผ่าอยู่ในระดับพลังเดียวกัน จึงไม่อาจทำสงครามขึ้นได้

ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ความรู้สึกเหนื่อยล้าปรากฏไปทั้งตัว เขากัดฟันพาร่างที่ใกล้สลบไสลจากไป…

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยามรุ่งอรุณ แสงตะวันตรงขอบฟ้าโผล่ขึ้น ซูหมิงกลับมาถึงถ้ำหลอมสมุนไพร ณ ยอดเขาเพลิงทมิฬ สีหน้าซีดเหลือง หลังจากมุดเข้ามาในถ้ำภูเขาไฟแล้ว ก็ทิ้งตัวลงสลบไปทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version