Skip to content

สู่วิถีอสุรา 13

ตอนที่ 13 หมานชั่วร้าย

“นักรบหมานจากเผ่าอื่นหรือว่าพวกพลัดกลุ่ม! ดูจากโลหิตที่แผ่ขยายคงอยู่ในลำดับสองขั้นรวมโลหิตเท่านั้น…หากจะฆ่าก็ง่ายดายนัก! อีกทั้งที่นี่ยังใกล้เผ่า พวกเรามีกันสองคน ไม่ต้องกลัวว่ามันจะมีหลุมพรางอะไร ในเมื่อมันมาท้าสู้ เช่นนี้แล้วก็ต้องมีความมั่นใจอยู่บ้าง ทว่าก็ไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังลำดับสามของข้า”

ชายรูปร่างเตี้ยจากเผ่าภูผาดำแสยะยิ้ม ไม่แยแสซูหมิงแม้แต่น้อย หากมองเทียบกันแล้ว ทั้งสองคนต่างกันอย่างมาก อีกทั้งซูหมิงยังมีร่างกายผอมบาง ดูไม่น่าจะแข็งแกร่งสักเท่าไร

และที่สำคัญคือชนเผ่าที่อยู่ใกล้ๆ แถบนี้ นอกจากเผ่าร่องลมแล้ว หากพบพวกพลัดกลุ่มจากเผ่าอื่นพวกมันจะสังหารโดยไม่ลังเล ไม่ต้องคุยกันด้วยเหตุผล มีกฎแค่ผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ หากเสี่ยวหงไม่ได้ออกไปเพื่อเบนความสนใจ พวกมันทั้งสองคงเข้าไปในถ้ำภูเขาไฟ และสังหารซูหมิงอย่างโหดเหี้ยมก่อนนำศีรษะของเขาไปแลกเป็นรางวัลเช่นกัน

“อวี้ฉื่อ เจ้านี่ข้าจัดการเอง เจ้ารออยู่ตรงนี้” ชายร่างกำยำกล่าว พร้อมทะยานร่างที่แผดเสียงคำรามดุจราชสีห์คลั่ง เข้าไปใกล้ซูหมิงทุกที

ส่วนชายอีกคนนามอวี้ฉื่อ ในมือจับเจ้าลิงน้อยไม่กล้าปริปากเถียงอะไร แม้จะทราบดีว่าหากสังหารนักรบหมานจากเผ่าอื่นแล้วจะได้รางวัลค่าหัว ทว่าเขากลับไม่กล้าเข้าไปแย่งกับอีกฝ่าย

“ช่างเถิด เจ้านี่อยู่ลำดับสองเหมือนกับข้า หากจะสังหารคงกินเวลาอยู่บ้าง ให้เขาจัดการคงใช้เวลาไม่นาน มีความชอบเช่นนี้ บางทีข้าอาจจะได้ส่วนแบ่งบ้าง”

อวี้ฉื่อกลอกตามอง ในความคิดของเขานี่เป็นการต่อสู้ที่รู้ผลอย่างแจ่มชัดอยู่แล้ว นัยน์ตาเผยความโหดเหี้ยมราวกับนึกเหตุการณ์ล่วงหน้าได้เป็นฉากๆ กลิ่นคาวเลือดทำให้เป็นที่ถูกใจเขายิ่งนัก

ยามนี้ชายร่างกำยำลำดับสามใกล้ซูหมิงเข้ามาเรื่อยๆ ด้วยความคิดเดียวกัน เขาสาวเท้ายาวอย่างว่องไว ไม่นานก็อยู่ห่างจากซูหมิงไม่ถึงร้อยจั้ง

แปดสิบจั้ง เจ็ดสิบจั้ง หกสิบจั้ง!

ยิ่งใกล้เข้ามา ชายร่างกำยำยิ่งเห็นลักษณะของซูหมิงชัดเจนขึ้น เขาแสยะยิ้มคำรามเสียงต่ำ กองหิมะโดยรอบพลันสั่นสะเทือน เกล็ดหิมะลอยขึ้นกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ก่อนระเบิดเป็นหมอกหิมะบดบังทัศนวิสัย

ในช่วงนั้นเอง ชายร่างกำยำใช้มือขวาดึงหอกยาวจากด้านหลัง

ก่อนขว้างเข้าใส่ซูหมิงที่อยู่ห่างเพียงหกสิบจั้งอย่างเต็มแรง

เสียงหวีดร้องแหลมดังขึ้น ซูหมิงพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังแหลมคมตรงเข้าใส่ เขาตอบสนองอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดคิด เบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง ก่อนได้ยินเสียงสวบดังขึ้นข้างหู หอกยาวด้ามนั้นแทบจะแนบกับจอนผมของเขาและลอยผ่านไป

หลังจากปาหอกไปแล้ว ชายร่างกำยำไม่ได้มองดูผลลัพธ์ ทว่าเท้าทั้งสองข้างกลับมีไอสีดำเป็นเส้นๆ วนรอบ ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า จากระยะห่างหกสิบจั้งในตอนแรก ยามนี้เหลือเพียงสามสิบจั้ง

“ตายซะ!” ชายร่างกำยำยกมือขวาขึ้นดึงหอกเล่มที่สอง ในช่วงที่กำลังจะปาหอก หมอกหิมะที่ลอยอยู่พลันหายไป ทำให้การมองเห็นค่อนข้างชัดเจนขึ้น ทว่าในตอนนั้นมีลูกศรดอกหนึ่งพุ่งผ่านหมอกหิมะ ตรงเข้าใส่ชายร่างกำยำดุจสายฟ้า

ชายร่างกำยำหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ใช้หอกในมือปัดลูกศรที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่ใส่ใจนัก เสียงกระทบดังขึ้น ลูกศรดอกนั้นหักออก ทว่าตอนนั้นกลับมีเสียงสวบๆ ดังขึ้นหลายครั้ง พร้อมกับลูกศรอีกสามดอกตรงเข้ามา

ลูกศรพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเลือกตำแหน่งฉลาดยิ่งนัก ทำให้ชายร่างกำยำขมวดคิ้วเป็นปม ทว่าเขากลับหัวเราะเยาะ ก่อนไอดำมหาศาลใต้เท้าถูกปลดปล่อย หมุนวนเป็นเกลียวขึ้นโอบทั้งตัวในชั่วพริบตา ลักษณะคล้ายกับหมอก เมื่อลูกศรทั้งสามพุ่งเข้ามากระทบกับไอดำ เห็นกับตาเลยว่าพวกมันละลายเป็นน้ำสีดำอย่างรวดเร็ว

แม้จะกล่าวเช่นนั้น ทว่าไอดำก็หายไปไม่น้อย เผยให้เห็นชายร่างกำยำชัดเจนขึ้น

“เป็นเพียงลำดับสองแต่กล้าต่อกรกับข้า” ชายร่างกำยำกระโดดขึ้น ระยะห่างจากซูหมิงเหลือเพียงยี่สิบจั้งเท่านั้น

ใบหน้าซูหมิงซีดขาว ทว่าขาทั้งสองข้างยังคงยืนนิ่ง แววตาไม่มีความตื่นตระหนกใดๆ เรียบเฉยและเย็นชา

เขาหยิบลูกศรและง้างคันธนูยิ่งใส่ชายร่างกำยำอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ยิงติดต่อกันห้าดอกด้วยความเร็วสูง!

ลูกศรห้าดอกแทบจะต่อกันเป็นเส้นตรง ส่งเสียงหวีดหวิวคล้ายเต็มไปด้วยพลังอานุภาพมหาศาล ตรงดิ่งเข้าหาชายร่างกำยำ เมื่ออีกฝ่ายเห็นภาพดังกล่าว ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ในเผ่าของเขาคนที่ทำได้ถึงขนาดนี้มีไม่มากนัก

“ธนูติดกันห้าดอก!” ชายร่างกำยำชูหอกขึ้นปัดป้อง ในช่วงที่ธนูดอกแรกเข้าปะทะจนเกิดเสียงกระทบกัน หอกยาวในมือเขาพลันแตกกระจายพร้อมกันกับลูกธนูนั้น

ธนูดอกที่สองไวปานลมกรด ชายร่างกำยำคำรามเสียงต่ำ ไอดำปกคลุมรอบตัว ทำให้ยามปะทะ ธนูดอกที่สองพลันละลายหายไป

ธนูดอกที่สามพุ่งมาดุจสายฟ้า ทว่าชายร่างกำยำเอี้ยวตัวหลบไปได้ ครั้นธนูดอกที่สี่ดิ่งเข้ามา เขาคำรามเสียงต่ำสีหน้าดุร้าย กำมือขวาแน่นก่อนชกเข้าใส่ลูกธนูจนมันแตกกระจาย ทว่ามือขวาของเขาก็มีบาดแผลเล็กน้อยเช่นเดียวกัน

ในขณะนั้นเอง ธนูดอกที่ห้าตรงเข้ามาราวทะลวงกระดูก เขาเบี่ยงตัวหลบ ทว่าก็ยังถูกธนูดอกนี้แฉลบผ่านหัวไหล่จนเป็นแผลยาว เลือดไหลซึม

“ข้าจะฉีกหัวเจ้า!” ชายร่างกำยำไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อย สำหรับเผ่าหมานแล้วถือเป็นเรื่องปกติ เขาแสยะยิ้มย่างสามขุมเข้ามา พริบตาเดียวก็ห่างจากซูหมิงเพียงสิบจั้ง

ตอนนี้ชัยชนะอยู่ในกำมือเขาแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อย่างมากก็แค่มีลูกธนูพวกนั้นมากวนใจ

อวี้ฉื่อที่ยืนมองอยู่ไกลๆ เลียริมฝีปาก เขาค่อนข้างชอบดูเรื่องเกี่ยวกับกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้ มันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นไปทั้งตัว

ตอนที่ชายร่างกำยำสาวเท้าตรงเข้ามา ใบหน้าซูหมิงขาวซีด ทว่าแววตาทั้งสองข้างยังคงเรียบเฉย ก่อนทำสิ่งที่ชายร่างกำยำและอวี้ฉื่อที่มองอยู่ไกลๆ ต้องตกตะลึง

เขาวางคันศรลง แล้วกำหมัดขวาแน่น ก่อนตรงเข้าใส่ชายร่างกำยำ

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ายามนี้ในมือขวาของซูหมิงมีเม็ดโอสถสีแดงที่ถูกบี้จนเป็นผงอยู่!

“หาที่ตาย!” ทั้งสองห่างกันเพียงไม่กี่จั้งเท่านั้น สามจั้ง สองจั้ง หนึ่งจั้ง….

ชายร่างกำยำกำหมัดขวา โลหิตทั่วร่างปะทุ ส่งพลังมหาศาลอัดแน่นอยู่ภายในกำปั้น ก่อนพุ่งเข้าใส่ส่วนศีรษะของซูหมิง หากถูกโจมตีเขาไม่อาจต้านทานได้ ต้องตายอย่างแน่นอน!

ช่วงจังหวะนั้นเอง ซูหมิงพลันแหงนหน้า แววตาเย็นชาเรียบเฉยหายไป แทนที่ด้วยจิตสังหารชั่วร้าย ความเข้มข้นของมันทำให้ชายร่างกำยำตะลึงไปชั่วขณะ

ทว่ายามนี้จะตื่นตะลึงคงสายไปแล้ว เห็นซูหมิงแหงนหน้าขึ้น มือขวาที่กำแน่นสะบัดเข้าใส่ชายร่างกำยำเบื้องหน้าพร้อมกับผงสีแดงกระจายกลางอากาศ ส่วนหนึ่งตกใส่บาดแผลตรงมือขวาของเขา และยังมีอีกส่วนที่ตกบนแผลเล็กๆ ตรงหัวไหล่

ชายร่างกำยำตัวสั่นสะท้าน ไม่มีเสียงร้องน่าเวทนาและการดิ้นรนใดๆ ร่างของเขาเบื้องหน้าซูหมิงราวกับกำลังเดือนพล่าน คลับคล้ายถูกฟ้าดินทำลายทั้งเป็น ก่อนร่างจะแตกเป็นหมอกแดงลอยหายไปกลางอากาศ เหลือเพียงโครงกระดูกบนพื้น เพียงลมพัดผ่านก็เป็นฝุ่นผงปลิวหายไป ในฝุ่นผงเถ้ากระดูก มีใบสมุนไพรพิลึกสีขาวดำกำลังขับแสงอ่อน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้อวี้ฉื่อตะลึงค้าง เขาไม่อาจยอมรับได้ กระทั่งไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตนเห็น สีหน้าดูไร้จิตวิญญาณ มองใบหน้าเย็นชาและแววตาที่เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บของเด็กหนุ่มต่างเผ่าร่างผอมบางที่กำลังใกล้เข้ามา

“ศพวานรเพลิงหลังใช้เป็นวัตถุดิบหลอมแล้วถือเป็นอาหารเสริมชั้นดี มันเป็นของข้าแล้ว!” นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย กล่าวพร้อมทะยานเข้ามา

อวี้ฉื่อพลันตัวสั่น ตื่นกลัวจนเหงื่อชุ่มไปทั้งกาย คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขาเลิกคิดเรื่องจับเจ้าลิงน้อยเอาไว้ แต่เกิดความคิดที่ว่าอีกฝ่ายมาเพื่อแย่งชิงของสิ่งนี้แทน

ตอนที่เกิดความคิดนี้ขึ้น เขาพลันหนีไปด้านหลังอย่างคลุ้มคลั่ง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดสหายเขาถึงพ่ายแพ้ โดยเฉพาะการตายที่น่าเวทนาเช่นนั้น ยิ่งทำให้เขารู้สึกกลัวจนมิอาจทนได้

“หมานชั่วร้าย! เจ้าเป็นหมานชั่วร้าย!” อวี้ฉื่อกล่าวเสียงแหลมใบหน้าซีดขาว ถูกความกลัวเข้าครอบงำจนสิ้น เขาไม่อาจยอมรับความจริงนี้ได้ กระทั่งตกใจกลัวจนใจฝ่อไม่กล้าเผชิญหน้ากับซูหมิง และหนีไปอย่างสุดกำลัง จุดที่ซูหมิงอยู่เป็นทางเชื่อมไปยังเผ่าภูผาดำ อวี้ฉื่อจึงไม่อาจกลับเผ่าได้ ทำได้เพียงหนีไปทางยอดเขาเพลิงทมิฬ

ซูหมิงกำลังจะไล่ตาม ทว่ากลับเวียนหัวตาลาย รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง เขาสั่นศีรษะเพื่อเรียกสติกลับมา

ซูหมิงมองกองกระดูกบนพื้น นี่เป็นการสังหารคนครั้งแรกของเขา ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาลังเล เขาไม่ได้ไล่ตามไปในทันที แต่เลือกทำลายหลักฐานบนพื้นก่อน เก็บลูกศรที่ยังใช้ได้และใบสมุนไพรพิลึกบนกองกระดูก เขามองยังทิศทางที่อวี้ฉื่อจากไป แววตาขยับแสงจิตสังหารอีกครั้ง

“เสี่ยวหงยังอยู่ในมือมัน ในเมื่อฆ่าไปแล้วหนึ่ง เช่นนั้นก็ฆ่าอีกหนึ่งจะเป็นอะไรไป ที่หลอมยาเช่นนี้ความถึงจะไม่แตก!” ซูหมิงขบกราม แล้วตามไปด้วยความเหนื่อยล้า

ทั้งสองคนหน้าและหลัง ต่างห้อเหยียดปานลมกรดในป่าเขา อวี้ฉื่อไม่กล้าหันไปมองซูหมิง ทำเพียงหนีอย่างสุดกำลังเท่านั้น เขาตั้งใจจะเพิ่มระยะห่าง แม้ว่าเขาจะชำนาญเส้นทางบนเขามังกรทมิฬ ทว่าก็ยังไม่อาจเทียบกับซูหมิงได้

ส่วนด้านความเร็วก็ยังไม่อาจล้ำหน้าซูหมิงได้เช่นเดียวกัน แม้จะหนีมาก่อน ทว่าซูหมิงกลับค่อยๆ ไล่ตามมาติดๆ ซูหมิงฝืนทนความเหนื่อยล้า ดวงตาทั้งสองข้างจ้องชายร่างกำยำที่กำลังกระโดดไปเบื้องหน้าอย่างว่องไว

เขาทราบดีว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังหวาดกลัวตน จึงไม่กล้าเข้าประมือกับเขา และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนที่เขาวางเอาไว้

มีโอสถโลหิตอยู่ ขอแค่เขาสังหารคนใดคนหนึ่งได้ในชั่วพริบตา อีกคนหนึ่งจะต้องหวาดผวาอย่างแน่นอน ภาพประหลาดเช่นนั้น ถึงอย่างไรคนที่เคยเห็นเป็นครั้งแรกก็ต้องหวาดกลัวเป็นธรรมดา

ซูหมิงไม่ได้เร่งตามจนกระชั้นชิดมากนัก และระหว่างการตามล่า อวี้ฉื่อเจอสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็นบ้างเป็นบางครั้ง ทำให้เขาคิดว่าจะถูกตามทันอยู่ตลอดเวลา ตอนที่ขบกรามหมุนตัวกลับเตรียมจะสู้สุดชีวิต ล้วนเห็นซูหมิงทิ้งระยะห่าง จึงเกิดความลังเลขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version