Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1404

ตอนที่ 1404 วงแหวนอาคมจิตเต๋าสยบเงา 6

“เจ้าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสมู่ก็ได้ ข้าคือผู้ดูแลยอดเขาสายเลือดที่สิบเอ็ดแห่งสำนักเจ็ดจันทรา มู่เจิน!” ขณะเสียงผ่านโลกมาเนิ่นนานดังก้อง ชายชราคนนั้นมีสีหน้า สงบนิ่ง เดินหน้าหนึ่งก้าวไปทางซูหมิง ใต้ร่างเขาไม่มีเงา เป็นอย่างที่เขาว่าไว้ ตัวเขาที่นี่เป็นเพียงเงา

“วิชาเจ็ดชะตาเป็นวิชาที่มีเพียงสายตรงแห่งสำนักเจ็ดจันทราเท่านั้นถึงจะฝึกได้ แต่ความจริงขีดจำกัดสูงสุดของวิชานี้คือรวมเงาเต๋า ร่างเงาของเต๋า” ชายชรามอง ซูหมิงพลางพูดขึ้นเรียบๆ

“แต่เงาเต๋า ด้วยคุณสมบัติเจ้าตอนนี้ยังไม่เข้าใจ ผู้อาวุโสหวัง เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ข้า ข้าแนะนำให้เจ้ายอมแพ้จะดีกว่า” ชายชรามีสีหน้าราบเรียบ แต่ความโอหังในน้ำเสียงกลับมีอยู่อย่างไร้รูป ทำให้คนรู้สึกได้อย่างชัดเจน

ความโอหังนี้ดูปกติมากในมุมมองศิษย์สำนักเจ็ดจันทรา จึงไม่เกิดความรู้สึกด้านลบ แต่ซูหมิงกลับขมวดคิ้ว

“เห็นแก่ที่เจ้าเองก็เป็นผู้อาวุโส ข้าจะไม่ให้เจ้าเสียหน้ามากนัก และยังมีหน้า ผู้อาวุโสหลัน ช่างเถอะ ข้าจะรับหน้าที่เอง ข้าจะไม่ลงมือ เจ้ามีโอกาสลงมือสามครั้ง ขอเพียงให้ข้าถอยไปได้จะถือว่าผ่านวงแหวนอาคมนี้

แต่ว่าผู้อาวุโสหวัง ข้าให้ได้แค่ครั้งนี้เท่านั้น หากเจ้าบุกวงแหวนอาคมที่สิบสามต่อไปก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า” ตั้งแต่เริ่มชายชราชุดคลุมขาวพูดกับตัวเอง มาตลอด ทุกคำพูดจะให้ความรู้สึกสูงส่ง โดยเฉพาะคำพูดตอนสุดท้ายยังแฝงไว้ด้วยความโอหังที่เด่นชัดกว่าเดิม

เดิมทีซูหมิงขมวดคิ้ว แต่ยามนี้คลายออก ยิ้มทีเล่นทีจริง มองชายชราแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้นเรียบๆ

“แบบนี้ก็ต้องขอบคุณผู้อาวุโสมู่ เช่นนั้นแซ่หวังจะรับฟัง เจ้า…เตรียมตัวพร้อมแล้วรึยัง?”

“ข้าไม่ต้องเตรียมตัว เจ้าลงมือได้ทุกเมื่อ” ชายชราตอบกลับ แม้จะมีสีหน้าราบเรียบ แต่ความอวดดีในน้ำเสียงยังคงอยู่ตลอด ความจริงเขาก็มีสิทธิ์ที่จะอวดดี ร่างจริงเขามีขั้นพลังจิตเต๋าขั้นสอง ต่อให้เป็นร่างแยกก็มีพลังขั้นไม่อาจกล่าว ตอนปลาย ประกอบกับฐานะผู้อาวุโสอันสูงส่งในสำนักเจ็ดจันทราจึงทำให้ความถือดีของเขาเป็นความเคยชิน แม้แต่เขายังชินกับสภาพการณ์นี้ จึงไม่รู้สึกไม่สบายตัว แม้แต่น้อย

ซูหมิงพยักหน้าก่อนขยับวูบไหวไปข้างหน้า ยกมือขวาขึ้นไม่กำหมัด แต่เมื่อเข้าไปใกล้แล้วกดนิ้วไป พริบตานี้เองชายชราชุดคลุมขาวหรี่ตาลง แต่เพียงแค่นั้น นิ้วซูหมิงพลันกดห่างไปเจ็ดชุ่นตรงหน้าชายชราชุดคลุมขาว

ปรากฏปราการลักษณะโค้งขึ้นขวางนิ้วมือซูหมิง ปราการเกิดระลอกคลื่นอย่างรวดเร็วราวกับกำลังลดแรงกดของซูหมิงอย่างต่อเนื่อง

เดิมทีชายชราหรี่ตาลง แต่ยามนี้ผ่อนคลายลง เขายิ้มเล็กน้อย ขณะกำลังจะกล่าวนั้นเกิดเสียงโครมดังขึ้น ปราการพังทลายลง มือขวาซูหมิงทะลวงผ่านเศษปราการเข้ามากดที่แขนชายชราที่กำลังยกขึ้น

“ไสหัวไป!” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ ในเมื่อเขาบุกวงแหวนอาคมแล้วก็ไม่คิดจะ กักพลังเอาไว้มากนักอีก แต่จะค่อยๆ ปล่อยออกมา ใช้สิ่งนี้ยืนยันการคาดเดาของตน เรื่องที่ผู้อาวุโสใหญ่สายเลือดที่สามผู้สวมจีวรเต๋าฟ้าครามคนนั้นรับตนเป็นศิษย์เมื่อแปดปีก่อน ทำให้ตนเป็นผู้อาวุโสคนที่สิบสี่แห่งสำนักเจ็ดจันทรามีเงื่อนงำอะไรกันแน่

ยามนี้เมื่อกล่าว ชายชราชุดคลุมขาวหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง เขาจะถอยไปโดยจิตใต้สำนึกแต่กลับฝืนเอาไว้ ร่างบิดเบี้ยวเหมือนจะหย่อนยาน

เพียงแต่ว่า…สุดท้ายเขาก็รับพลังจากนิ้วมือซูหมิงไม่ได้ ร่างเซถอยไปมากกว่าหลายสิบก้าวอย่างไร้การควบคุม

ทว่าตอนที่เขาหยุดลงอย่างไม่ง่ายนั้น เขาหน้าเปลี่ยนสีต่อเนื่องกัน บ้างมืดทะมึน บ้างเย็นชา บ้างตกใจกลัว มองซูหมิงด้วยความซับซ้อน สุดท้ายไม่กล่าวอะไร แต่หมุนตัวกลับสะบัดแขนเสื้อ หายไปบนเข็มทิศ

ตอนนี้คนที่เห็นเหตุการณ์บนฟ้าเหนือฟ้าทุกชั้นแห่งสำนักเจ็ดจันทราต่างร้องด้วยความตกใจ แม้พวกเขาจะเฝ้ารอคอยซูหมิงไว้สูงยิ่ง แต่ก็ยังไม่คิดว่าซูหมิงจะผ่าน วงแหวนอาคมที่สิบสามที่คนมากมายพูดว่าเป็นปราการฟ้าดินไปได้สบายๆ แบบนี้

กระทั่งมีไม่น้อยคนที่คาดการณ์ได้ทันทีว่าผู้อาวุโสมู่เจินจงใจให้เป็นเช่นนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกฌานจำนวนหนึ่งของฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่ก็ยังเกิดการคาดเดาแบบนี้ขึ้นในใจ

มีเพียงศิษย์ฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่ที่ผ่านวงแหวนอาคมที่สิบสามเท่านั้นที่ตอนนี้มีสีหน้าจริงจัง ภาพดรรชนีของซูหมิงก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขาทุกคนใจสั่นสะท้าน

โดยเฉพาะศิษย์ใหญ่ที่ดูแลภูเขาเจ็ดคนนั้น ตอนนี้มีสีหน้าจริงจังขึ้นเรื่อยๆ ผ่านวงแหวนอาคมที่สิบสามก็หมายความว่าซูหมิงมีพลังพอๆ กับพวกเขาแล้ว

แต่ว่า…เพราะซูหมิงผ่านวงแหวนอาคมที่สิบสามไปได้สบายๆ นี่จึงสร้างแรงกดดันรุนแรงแก่พวกเขา แรงกดดันไร้รูปทำให้สายตาที่พวกเขามองซูหมิงจริงจังกว่าเดิม

ถึงขั้นศิษย์ใหญ่สายเลือดที่สองหรือเฉินเถาที่ผ่านวงแหวนอาคมที่สิบเจ็ดยังลืมตาขึ้นจากสมาธิ มองซูหมิงด้วยสีหน้าจริงจังซึ่งเห็นไม่บ่อยนักจากตัวเขา

และยังมีเยวี่ยเยียนศิษย์ของหลันหลันแห่งสายเลือดที่สาม สตรีที่ผ่าน วงแหวนอาคมที่สิบหกตอนนี้ดวงตาแวววาว ซูหมิงสร้างความตื่นตกใจแก่นาง หลายต่อหลายครั้งแล้ว

“วงแหวนอาคมที่สิบสี่!” ซูหมิงพูดเรียบๆ ยกเท้าขึ้นเหยียบบนเข็มทิศ นัยน์ตาฉายแววเฝ้ารอคอย เขาเฝ้ารอวงแหวนอาคมที่สิบสี่มากเพราะจะเกิดการแยกอีกครั้ง เป็นการแยกของเงาวิชาเจ็ดชะตา

วงแหวนอาคมที่สิบสี่เกิดเสียงดังสนั่น ตอนนี้เองอักขระเข็มทิศที่ซูหมิงอยู่ขยับแสงวูบวาบเด่นชัด มันขยายออกเป็นวงกว้าง เพียงพริบตาเดียวอักขระนับไม่ถ้วนนั้นขยับยึกยือ ก่อนกลายเป็นร่างเงาซูหมิง

เหมือนว่าตอนนี้รอบตัวเขามีตัวเองที่ย่อขนาดลงมาก ต่อมามีแรงกดดันที่ต่อให้เป็นเขายังรู้สึกไม่สบายตัวกดลงมา แรงกดดันนี้เหมือนกับฟ้าถล่ม กดมาที่ร่างเขา ทำให้จิตวิญญาณ จิตสำนึก ทุกอย่างในร่างกายจะถูกแยกออกในฉับพลัน

หากเป็นศิษย์คนอื่นบุกวงแหวนอาคมที่สิบสี่ ตอนนี้คงนั่งขัดสมาธิโคจรพลังเพื่อต่อต้านนานแล้ว แต่ซูหมิงกลับเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองฟ้าที่ส่งแรงกดดันลงมา ก่อนกวาดสายตามองร่างเงาตัวเองที่รวมขึ้นจากอักขระนับไม่ถ้วนรอบๆ

‘แรงกดดันยังไม่พอ ยังแยกข้าออกเป็นร่างเงาที่สองไม่ได้’ ซูหมิงขมวดคิ้วด้วย สีหน้าเด็ดขาด ก่อนยกมือขวาขึ้นตบตรงระหว่างคิ้ว

เมื่อตบไปเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วร่าง พลังเกิดความปั่นป่วนในร่างกาย ขณะนี้เองแรงกดดันข้างนอกเพิ่มขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้น เงาใต้เท้าซูหมิงบิดเบี้ยว

‘ยังขาดอีกเล็กน้อย’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายตรึกตรอง ก่อนยกมือขวาขึ้นทำสัญลักษณ์มือกดตรงหน้าอก เกิดลมหมุนในร่างกายเป็นผนึก ผนึกพลังตัวเองไว้ สามส่วน!

เมื่อผนึกพลัง แรงกดดันจากโลกภายนอกจึงรุนแรงขึ้นในความรู้สึก ทำให้ความรู้สึกว่าร่างกายจะถูกแยกออกเด่นชัดกว่าเดิม

‘ยังต้องลองอีกครั้ง’ ซูหมิงไม่เปลี่ยนสัญลักษณ์มือขวา แต่กดไปที่ตันเถียนแทน ลมหมุนเกิดขึ้นในร่างกายอีกครั้ง กลายเป็นผนึกที่สอง

เขาไม่หยุดมือขวา แต่ยกขึ้นกดตรงระหว่างคิ้ว เกิดผนึกที่สามในจิตใจ ผนึกสามอันนี้ผนึกพลังเขาไว้มากกว่าเก้าส่วน ทำให้ร่างกายสั่นไหวเป็นครั้งแรก

ศิษย์สำนักเจ็ดจันทรารอบๆ เห็นภาพเหล่านี้นานแล้ว พวกเขาแทบจะอึ้งไป ไม่รู้ว่าซูหมิงกำลังทำอะไร มีเพียงเยวี่ยเยียนที่หรี่ตาลง ยืนขึ้นจากการนั่งสมาธิเป็น ครั้งแรก รีบเดินหลายก้าวไปที่หน้าผา จ้องซูหมิงด้วยสีหน้าหวาดกลัวขึ้นทีละน้อย

‘เขา…มีพลังระดับใดกันแน่ วิธีนี้เหมือนกับที่เฟยเฟิงใช้ตอนบุกวงแหวนอาคมที่สิบสี่ทุกประการ ต้องผนึกพลังตัวเองถึงจะแยกเป็นร่างเงาออกมาได้!’

ไม่ใช่แค่นางที่ลืมตัวเสียกริยา แต่ยังมีเฉินเถาแห่งสายเลือดที่สอง เขาหรี่ตาลงเช่นกัน พลันยืนขึ้น แม้ไม่ได้เดินออกจากถ้ำเหมือนกับเยวี่ยเยียน แต่ก็มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย

แม้แต่…ผู้แข็งแกร่งที่สุดของศิษย์รุ่นนี้แห่งสำนักเจ็ดจันทรา สายเลือดที่หนึ่ง ผู้นั่งฌานมาตลอดอย่างเฟยเฟิงยังลืมตาขึ้นเล็กน้อย มีประกายวาววูบวาบ

“หวังเทา…” เขาพึมพำกับตัวเอง

ไม่เพียงแค่สามคนนี้ ตอนนี้ฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า ผู้อาวุโสสิบสามคนและยังมี ผู้ฝึกฌานรุ่นเดียวกันจากหลายหมื่นสายเลือดต่างหน้าเปลี่ยนสี ล้วนสังเกตเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับซูหมิง

“เขาอำพรางพลังหรือไม่ก็…มีคุณสมบัติไม่อาจจินตนาการ ตอนนี้เขามีพลังระดับใด…หรือว่าถึงขั้นไม่อาจกล่าวสมบูรณ์แล้ว!”

“แต่ละสายเลือดล้วนมีคำสั่งจากอาจารย์ของแต่ละคน จึงห้ามรบกวน ห้ามขวางการฝึกของหวังเทา เขาได้รับความสนใจจากผู้อาวุโสใหญ่ทุกท่านแบบนี้ ต่อให้เขาเผยพลังขั้นไม่อาจกล่าวสมบูรณ์ข้าก็ไม่ตกใจ!

แต่ว่ามู่เจิน เจ้าเป็นผู้อาวุโสคนแรกที่เขาลงมือด้วยโดยตรง เจ้าลองวิเคราะห์ดูหน่อย”

“ขั้นไม่อาจกล่าวสมบูรณ์!” มีเสียงหึเย็นชาดังแว่วมาจากยอดเขาที่สิบเอ็ด นั่นคือเสียงของมู่เจิน

ระหว่างที่เสียงทุกคนดังกังวานในฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้าสำนักเจ็ดจันทรา ทางด้านซูหมิง เขาเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า เสียงคำรามดังกึกก้อง เงาใต้ร่างเงาพลันบิดเบี้ยว เกิดการซ้อนทับขึ้น ชั่ววูบเดียว…ปรากฏเงาที่สองใต้ร่าง นั่นคือเงาที่รวมขึ้นมาตอนแรกสุด แต่เมื่อเงานี้ปรากฏ ก็ปรากฏเงาที่สามขึ้นมาทันที!

สามเงาเลือนรางเล็กน้อย แต่ทันทีที่ปรากฏก็เกิดเสียงดังปุงปังในตัวซูหมิง เมื่อผนึกทั้งหมดคลายออก พลังเขาปะทุขึ้น ทำให้เงาเลือนรางนั้นชัดเจน กลายเป็นสมบูรณ์!

“วงแหวนอาคมที่สิบห้า!” เสียงซูหมิงดังกังวาน เวลานี้สะเทือนไปรอบๆ ตอนนี้เองคืนมืดที่ไกลลิบเหมือนใกล้จะผ่านไป ยามรุ่งอรุณ…ใกล้เข้ามา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version