ตอนที่ 149 บรรพบุรุษเขาหานยังไม่ตาย
“จ้าวเผ่า เป็นเขา! ช่วยข้าแก้แค้นด้วย!” ชายร่างกำยำเสื้อคลุมแดงกล่าวประโยคสุดท้ายจบก็ไม่อาจทนไหวอีก สิ้นใจล้มลงกับพื้น ร่างกายแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดกลายเป็นฝุ่นละอองปลิวหายไปกับสายลมบนหอคอย
“ข้าจะแก้แค้นให้เจ้า” เหยียนหลวนมองเงาโลหิตของซูหมิงกลางอากาศ ก่อนพยักหน้ารับ
หานเฟยจื่อขมวดคิ้ว เพ่งสมาธิมองไปยังเงาโลหิต นางรู้สึกคุ้นกับบุคคลนี้เล็กน้อย ทว่าก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ใด
“จ้าวเผ่า คนผู้นี้ให้หานเอ๋อร์จัดการเอง เขาสังหารชาวเผ่าของเรา ข้าจะไปจับเขามา” หานเฟยจื่อกล่าวเสียงเบา น้ำเสียงยังคงเย็นเยือกเหมือนแต่ก่อน
“ก็ดี แต่ว่าเจ้ามีเวลาแค่สองวัน ห้ามมาสายเด็ดขาด” จ้าวเผ่ายิ้ม ม้วนผมที่กำลังปลิวไสวจากสายลมครู่หนึ่ง พร้อมกล่าวเสียงเบา
ท่าทางของนางเต็มไปด้วยเสน่ห์ไม่อาจบรรยาย ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ข้างหานเฟยจื่อตาค้างเล็กน้อย ทว่าก็ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ามอง
“เหยียนก่วง เจ้าตามไปด้วยเถอะ แขกพิเศษคนใหม่ของบูรพาสงบสังหารหลินตงได้ในชั่วพริบตา แสดงว่าพอมีความสามารถอยู่” เหยียนหลวนหันกลับไปมองชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้า ใช้มือขวาลูบใบหน้าเขาเบาๆ
เหยียนก่วงตัวสั่น รีบยืนขึ้นกล่าวขานรับ
“ไปเถอะ เงาโลหิตจะพาพวกเจ้าไปหาเขา”
ซูหมิงมองลมพายุห่างไกล มองสิ่งก่อสร้างยักษ์ที่ถูกลมพายุปกคลุมจนเลือนราง แม้มองไม่เห็นลักษณะอย่างละเอียดและเห็นเพียงเค้าโครงก็ตาม แต่ตรงนั้นมีแรงกดดันมหาศาลกำลังเคลื่อนตัวพร้อมกับลมพายุ
เขาใช้มือขวากดไปตรงหน้าอก ร่างกายเขาพลันสั่นไหว หมอกทึบเส้นหนึ่งถูกบีบมาจากในร่างกาย กลายเป็นคนเล็กขนาดเท่าฝ่ามือตรงหน้า เขาคือเหอเฟิง
“เจ้าไม่รู้?” ซูหมิงละสายตาจากลมพายุมามองเหอเฟิง ดวงตาเป็นประกาย ทว่าช่วงที่มองเหอเฟิงกลับทำให้เขาจิตใจสั่นไหว เขาทราบดีว่าตนร้อนรนมากเกินไปจนทำให้ซูหมิงสงสัย
อีกทั้งหลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆ กับซูหมิงมา เขาไม่ดูแคลนซูหมิงเหมือนตอนพบกันครั้งแรกอีก แต่เป็นเคารพยำเกรง ทั้งยังเกิดความรู้สึกเหมือนตนถูกมองทะลุปรุโปร่งตามการพัฒนาด้านสติปัญญาของซูหมิง
“ข้าน้อยไม่…” เหอเฟิงตอบอย่างระมัดระวัง ทว่ากล่าวได้เพียงครึ่งเดียว ภายใต้สายตาสงบนิ่งของซูหมิง เหอเฟิงไม่อาจกล่าวต่อ
“เป้าหมายของเผ่าเหยียนฉืออาจเป็นมรดกของบรรพบุรุษเขาหาน ทว่าที่มากกว่าคือ…เพื่อปลดตราประทับทาส เผ่าผู่ชียง เผ่าบูรพาสงบ หลายร้อยปีแล้วที่พวกเขายอมแลกทุกสิ่งเพื่อเข้ามาที่นี่หลายครั้ง และเป้าหมายก็คือสิ่งนี้ คนอื่นมองไม่ออกว่าข้าเข้าใจ ทว่าหากเจ้าไม่รู้…” ซูหมิงยิ้ม เพียงแต่ดวงตาภายใต้รอยยิ้มมีความเย็นชา
“นายท่าน…เหนือชั้น! หลักแหลม! เรื่องพวกนี้ข้าน้อยได้แต่คาดเดาเท่านั้น เอ่อ…เพราะไม่มั่นใจก็เลยไม่กล้าพูด…” เหอเฟิงเลียริมฝีปาก มองซูหมิงด้วยความเคารพยำเกรงพลางเอ่ยตอบ
ซูหมิงมองเหอเฟิง อีกฝ่ายกล่าวแบบนี้ มีสีหน้าแบบนี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ภายใต้สายตาของซูหมิง เหอเฟิงดูตึงเครียดยิ่งนัก กะพริบตาปริบๆ ขณะกำลังจะกล่าว
“ความจริงแล้วข้ารู้ว่าเจ้าปิดบังอะไร” ซูหมิงพลันกล่าวขึ้นก่อน คำพูดของเขาทำให้เหอเฟิงใจสั่น
ซูหมิงละสายตาจากเหอเฟิง มองไปยังสิ่งก่อสร้างยักษ์ภายในพายุหมุนบนที่ราบดินทรายซึ่งโอบล้อมด้วยหุบเขา ตรงนั้น เขาไม่ได้ยินเสียงลมพายุ แต่กลับสัมผัสได้ถึงพลังน่าสะพรึงในนั้น
“ข้าน้อยไม่ได้ปิดบังจริงๆ นายท่านไม่จำเป็นต้องสงสัย คือว่า…ข้าไม่ได้ปิดบังจริงๆ สิ่งที่รู้ข้าก็บอกนายท่านไปหมดแล้ว อีกอย่างชีวิตของข้าอยู่ในกำมือท่านแล้ว ข้ามิกล้าปิดบังท่านหรอก มิหนำซ้ำนายท่านเป็นยอดยุทธ์หลักแหลม ข้าคิดอะไรนายท่านก็มองออกในแวบเดียว ข้าจะไปกล้าได้อย่างไร…” เหอเฟิงรีบยิ้มเฝื่อน ทว่าในใจกลับทำเสียงหึเย็นชา ตนสั่งสมประสบการณ์มาหลายปี พบเจอมาทุกรูปแบบ คิดหรือว่าคำพูดหยั่งเชิงของโม่ซูน้อยคนนี้จะทำให้เขาติดกับ
“บรรพบุรุษเขาหานยังไม่ตาย” ซูหมิงมองทอดยาวไปทางสิ่งก่อสร้างในลมพายุพร้อมกล่าวพึมพำ
จิตใจเหอเฟิงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เดิมทีเขาคิดจะปิดบัง แต่คำพูดของซูหมิงประดุจสายฟ้าฟาดตรงเข้ามาทำลายทุกอย่างที่เขาเก็บซ่อนไว้ เผยให้เห็นความลับแท้จริงภายในจิตใจ
ความลับนี้เป็นทั้งหมดของเขา เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ทว่ายามนี้ซูหมิงกลับกล่าวพึมพำออกมาอย่างหน้าตาเฉย และที่สำคัญกว่าคือน้ำเสียงของซูหมิงมิใช่การถาม แต่เป็นการพูดกับตัวเอง
“นาย…นายท่านพูดหยอกเล่นแล้ว…มะ…มันจะเป็นไปได้อย่างไร” เหอเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึก แม้สีหน้าเปลี่ยนทว่าก็ยังไม่เสียความมั่นใจ ใช้ความเหลือเชื่อเข้ามาปิดบังได้
“บรรพบุรุษจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? หากเขายังไม่ตาย เหตุใดสามชนเผ่าถึงกล้าทรยศ หากเขายังไม่ตาย สามชนเผ่าคงหวาดกลัวและไม่กล้าอยู่ในเมืองเขาหานอีกต่อไป…” เหอเฟิงมีสีหน้าเหลือเชื่อ เห็นซูหมิงไม่สนใจ ยังคงมองสิ่งก่อสร้างภายในลมพายุห่างไกลอยู่ตลอด เขาทราบดีว่านั่นคือสุสานของบรรพบุรุษ
“ข้ารู้แล้ว นายท่านคิดว่าสามชนเผ่าเป็นทาส จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น ก็เลยเดาได้จากตรงนี้ใช่หรือไม่? หากเป็นเช่นนั้น ข้าทราบมาจากคัมภีร์ว่าตอนนั้นบรรพบุรุษนำสายเลือดสามชนเผ่ามารวมกันไว้บนเสาหินสามต้น หากเสาหินไม่พังทลาย สามชนเผ่าก็ต้องเป็นทาสตลอดไป เสาหินสามต้นนี้อยู่กับบรรพุบุรษ…หากเขายังไม่ตาย เพียงใช้ความคิดก็สามารถบดขยี้สายเลือดสามชนเผ่าได้ จะเหลือรอดมาจนถึงวันนี้ได้หรือ” สีหน้าเหอเฟิงดูไม่แน่ใจ รีบอธิบายอย่างลังเล เขาราวกับอธิบายพลางขบคิด ไม่ได้กล่าวปฏิเสธตรงๆ แต่ใช้คำพูดเพื่อวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้
“เหอเฟิง ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของเขา…” ซูหมิงหลับตา กล่าวเรียบๆ
เขาไม่ได้หลอกเหอเฟิง ในช่วงที่ยืนอยู่ตรงนี้และมองไปยังสิ่งก่อสร้างในพายุ เขาสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณเข้มข้นปลดปล่อยมาจากในสิ่งก่อสร้าง
พลังวิญญาณดังกล่าว ก่อนที่เขาเปิดเส้นทางเลือดลมจะไม่อาจสัมผัสได้ ทว่ายามนี้ความรู้สึกมันชัดเจนยิ่งนัก รวมถึงกระบี่เล็กในตัวเขาที่มีบางอย่างแปลกไปเมื่ออยู่ตรงนี้
ภายในพลังวิญญาณมหาศาลเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตไม่ขาดสาย มันไม่เหมือนกับหลุมฝังศพ!
คำพูดของเขาทำให้เหอเฟิงใจสั่นอย่างรุนแรงอีกครั้ง เหอเฟิงเงียบไม่กล่าวสิ่งใด
“เจ้าจะปิดบังข้าไปถึงเมื่อไร!” ซูหมิงลืมตาขึ้นทันใด ภายในเต็มไปด้วยความเย็นชา จ้องมองเหอเฟิงที่ลอยอยู่ตรงหน้า พลันก้าวเดินบีบเข้าไป
เหอเฟิงตัวสั่นเทา ขณะกำลังถอยพบว่ามีแสงดำวูบวาบ กระบี่เล็กพลันลอยมาจากระหว่างคิ้วซูหมิง บินวนรอบเหอเฟิงขวางไม่ให้เขาถอยหนี ในช่วงที่เหอเฟิงชะงัก ปลายกระบี่จ่อไปตรงหน้าผากของเขา
ไอหนาวเยือกแผ่กระจาย เหอเฟิงลนลานทั้งยังหวาดกลัวกระบี่เล็ก ค่อยๆ เผยรอยยิ้มแห้ง
“นายท่านเหนือชั้น ตอนข้าน้อยร้อนรนคงจะเผยช่องโหว่…บรรพบุรุษยังไม่ตายจริงๆ” สีหน้าเหอเฟิงซับซ้อน กล่าวเสียงเบาด้วยความขมขื่น
“นี่เป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าเขาหาน ตอนนั้นระดับพลังของบรรพบุรุษเกิดปัญหา เขาสร้างสุสานแห่งนี้จากนั้นก็ปิดด่านฝึกพลังอยู่ที่นี่…ตอนนั้นเขาเคยบอกว่า หากในหนึ่งร้อยปีเขาเปิดด่าน นั่นหมายความว่าเขาทะลวงขั้นพลังแล้ว แต่หากยังไม่ออกมา ห้ามใครเข้าไปรบกวนเด็ดขาด
เวลาผ่านไป เริ่มมีข่าวลือว่าบรรพบุรุษสิ้นลง หลังจากสามชนเผ่าลองหยั่งเชิงหลายครั้ง ด้วยการที่มีคนนอกช่วย ก็เลยสามารถยับยั้งตราประทับทาสแล้วครองเมืองเขาหานแทน
แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วบรรพบุรุษสิ้นลงหรือยัง หลายร้อยปีมานี้พวกเขาเปิดแดนแห่งนี้หลายต่อหลายครั้งก็เพื่อลบตราประทับทาสจริงๆ และมีอีกหนึ่งเป้าหมายคือดูว่าบรรพบุรุษสิ้นลงแล้วหรือไม่…..
จากการตรวจสอบของข้าในช่วงเวลาหลายปีมานี้ เบื้องหลังสามชนเผ่าเหมือนว่าจะเป็นเงาของสำนักเหมันต์สวรรค์ การทรยศในครั้งนั้นน่าจะมีสำนักนี้คอยช่วย อีกทั้งสามชนเผ่ายังแบ่งกันครองอำนาจสามส่วนของสำนัก จึงเป็นธรรมดาที่จะขัดแย้งกัน
ครั้งนี้เผ่าเหยียนฉือเข้าใจในอาคมเคลื่อนย้าย ย่อมเกิดความทะเยอทะยานแน่ หากพวกเขาเปิดสุสานบรรพบุรุษสำเร็จ ถ้าบรรพบุรุษสิ้นลงแล้วก็แล้วไป แต่หากเขายังไม่สิ้น…” เหอเฟิงกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าก็มัวหมอง ชะงักไปชั่วครู่
“หากเขายังไม่สิ้น ภารกิจของเผ่าเหยียนฉือในครั้งนี้ กลุ่มอำนาจส่วนหนึ่งของสำนักเหมันต์สวรรค์ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาย่อมรู้อย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะต้องปรากฏตัวและสังหารบรรพบุรุษ” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
เหอเฟิงยอมรับแต่โดยดี ลังเลครู่หนึ่งราวกับตัดสินใจอะไรได้ เขามองซูหมิงพลางกล่าวเสียงเบา
“นายท่าน ข้าน้อยมีวิธีให้นายท่านเข้าไปในสุสานของบรรพบุรุษโดยไม่ต้องทำลายผนึก หากนายท่านเข้าไปก่อน บางทีอาจได้สมบัติที่มากกว่าเผ่าเหยียนฉือ”
ซูหมิงกวาดสายตามองเหอเฟิง ไม่กล่าวสิ่งใด
‘อาของฟางมู่นามชางหลันเป็นศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ แต่มาเผ่าบูรพาสงบในยามนี้ได้….
เช่นนั้นหานเฟยจื่อกับกลุ่มอำนาจสำนักเหมันต์สวรรค์ที่อยู่เบื้องหลังเผ่าเหยียนฉือก็น่าจะส่งคนมาด้วย…มิน่าหานเฟยจื่อถึงได้ขอยืดเวลาเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์ เกรงว่าน่าจะเกี่ยวกับที่นี่’ แววตาซูหมิงขบคิด มองสิ่งก่อสร้างเลือนรางบนที่ราบซึ่งโอบล้อมด้วยหุบเขาจำนวนมาก เขาเคลื่อนตัวไปเบื้องหน้า มิได้ไปทางที่ราบแต่ไปทางด้านซ้ายของเขา
‘แดนแห่งนี้จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน หากไปสุสานบรรพบุรุษเร็วเกินไปอาจเกิดปัญหามากมายได้…อีกทั้งต่อให้บรรพบุรุษเขาหานยังไม่ตาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแผนรับมือหลังจากนั้นของเผ่าเหยียนฉือ เพียงแค่นำคนของพวกนั้นมาเป็นทาสรับใช้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรแล้ว
สู้ไปตามหากิ่งไม้เสียงสวรรค์ก่อนไม่ดีกว่าหรือ หลังจากรวมสมุนไพรสำหรับหลอมโอสถชิงวิญญาณครบแล้ว ค่อยตัดสินใจอีกที’
ซูหมิงเงียบไม่กล่าว เพียงแผ่ขยายเคล็ดวิชาตราประทับในขอบเขตสองร้อยจั้ง ก่อนหายเข้าไปในเทือกเขา
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ภายในหมอกบนท้องฟ้า กลุ่มเมฆขาวพลันปรากฏเด่นชัด ส่งเสียงลากยาวเข้ามา หานเฟยจื่ออยู่บนเมฆขาวมีผ้าคลุมหน้า ดวงตางามอย่างเป็นธรรมชาติ ด้านหลังนางเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่นามเหยียนก่วง ตรงหน้าพวกเขามีเงาโลหิตซึ่งนำทางมาตรงนี้
“เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนเขาหยุดอยู่ตรงนี้…..”