ตอนที่ 159 อาคมเคลื่อนย้ายทำลายผนึก
ท้องฟ้าขมุกขมัว ดาราแปลกตาขยับแสงในความมืด รอยแยกยักษ์จำนวนมากฉีกยาว บอกกับทุกคนที่แหงนหน้ามองฟ้าว่า ท้องฟ้าผืนนี้เป็นของปลอม
ภายใต้ท้องฟ้า ณ ที่ราบใจกลางหุบเขาจำนวนมาก มีสิ่งก่อสร้างยักษ์แห่งหนึ่ง หากมองไกลๆ จะดูเลือนราง มีหมอกโอบล้อม บดบังการมองเห็น
หากเข้าไปใกล้จะพบว่าสิ่งก่อสร้างดังกล่าวมีลักษณะเหมือนกระบี่เอียงแทงลงสู่ผืนดิน ส่วนที่เผยให้เห็นสูงราวหลายร้อยจั้ง ทุกส่วนเป็นสีดำ ไม่ทราบว่าสร้างขึ้นจากวัตถุชนิดใด ด้านบนอัดแน่นไปด้วยวัตถุคล้ายเกล็ดปลา ทว่ารอบตัวกระบี่มีหอคอยบวงสรวงสูงตระหง่านสามแห่ง แบ่งเป็นสีดำขาวแดงอย่างชัดเจน พวกมันมอบความรู้สึกผ่านกาลเวลาต่างจากกระบี่ยักษ์ เห็นได้ชัดว่าสร้างขึ้นทีหลัง
ยามนี้บนหอคอยสีขาวไม่มีผู้คน หอคอยสีดำก็เช่นกัน มีเพียงหอคอยสีแดงประดุจแสงสีแดงมหาศาล ลำแสงเด่นชัดทะลวงผ่านหมอกปกคลุมโดยรอบ หากมองไกลๆ สายตาจะเหมือนถูกย้อมด้วยสีแดง
รอบหอคอยสีแดงมีเงาคนลอยอยู่หลายสิบคน หนึ่งในนั้นคือเหยียนหลวน
นางสวมเสื้อสีแดง เส้นผมปลิวไสว ดวงตาขยับประกายมองกระบี่ยักษ์ ด้านหลังนางเป็นหานเฟยจื่อติดตามอย่างสงบนิ่ง มีผ้าบางปิดบังใบหน้าทำให้มองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง เห็นเพียงดวงตาของนางกำลังเป็นประกาย
โดยรอบเงียบสงัด ทว่ามีเสียงระเบิดดังแว่วมาไกลๆ หากมองไปตามเสียงจะพบว่ามีสองจุดห่างจากตรงนี้ไปค่อนข้างไกล มีชาวเผ่าบูรพาสงบ ผู่เชียงและเหยียนฉือกำลังต่อสู้กันอยู่
“บูรพาสงบกับผู่เชียง คงปิดบังพวกเขาไม่ได้แล้ว ตอนนี้พวกเขาน่าจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ…เวลาของพวกเรามีไม่มาก…” หานเฟยจื่อกล่าวเสียงเบา
“แม้ผู้แข็งแกร่งรุ่นเดียวกับจ้าวหมานและจ้าวเผ่าเข้าไปถ่วงเวลาหานชางจื่อกับผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่าผู่เชียงได้…ทว่าถึงอย่างไรนางก็เป็นคนของสำนักเหมันต์สวรรค์จะสังหารไม่ได้” หานเฟยจื่อกวาดสายตามองเหยียนหลวนตรงหน้า
“ข้ารู้ว่าควรทำอะไร ไม่ส่งผลถึงเรื่องเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์ของเจ้าแน่นอน” เหยียนหลวนยิ้ม หันกลับไปมองหานเฟยจื่อแวบหนึ่ง
“ข้ากลับแปลกใจนัก แขกพิเศษเผ่าบูรพาสงบคนนั้นมีอะไรดึงดูดเจ้ากันแน่ ถึงทำให้เจ้าใช้ข้อเสนอสุดท้ายมาทำให้ข้าเลิกสนใจเขา” แม้รอยยิ้มเหยียนหลวนงดงามนัก ทว่าความเย็นชาภายในดวงตากลับมีเพียงนางที่เข้าใจและพบเห็น
“ท่านมีที่ปรึกษาแล้ว แต่ข้ายังไม่มี” หานเฟยจื่อกล่าวอย่างสงบนิ่ง แม้น้ำเสียงสั่นเครือ ทว่ายังคงแฝงไว้ด้วยความรู้สึกหนาวเยือก
“ที่ปรึกษา? หรือว่าเจ้าคิดจะ…” เหยียนหลวนใช้มือปิดปากอมยิ้ม ไม่กล่าวต่อ แต่มองหานเฟยจื่ออย่างมีความหมายลึกซึ้ง
“ถึงเวลาแล้ว ท่านรีบเปิดผนึกเถอะ ทำลายผนึกทาสสำเร็จข้าจะได้ไปอย่างสบายใจ” หานเฟยจื่อหลับตา กล่าวเสียงเบา
เหยียนหลวนยิ้ม หันกลับไปมองกระบี่ยักษ์ นัยน์ตาสองข้างฉายประกาย นางใช้มือขวากดตรงหน้าอก คุกเข่าลอยอยู่กลางอากาศ สีหน้าไม่หยิ่งยโสอีก แต่เต็มไปด้วยความจริงใจ
“วางอาคม!” เหยียนหลวนกล่าวเสียงเบา
กล่าวจบ เสียงฟ้าร้องดังขึ้น พบว่ามีสายฟ้าสีแดงจำนวนมากผ่าลงกลางอากาศตัดสลับกันไม่หยุด ขณะเดียวกัน ชาวเผ่าเหยียนฉือหลายสิบคนด้านหลังเหยียนหลวนล้วนมีสีหน้าเคารพ ราวกับถูกแรงดึงดูดจากสายฟ้า นั่งขัดสมาธิลอยอยู่กลางอากาศ
เดิมทีสายฟ้าตัดสลับกันมั่วเล็กน้อย ทว่าหลังจากชาวเผ่าเหยียนฉือหลายสิบคนลอยอยู่กลางอากาศ สายฟ้าเหล่านั้นโอบล้อมกลุ่มคนเชื่อมต่อกับพวกเขา กลายเป็นภาพสัญลักษณ์ซับซ้อน ภาพดังกล่าวคืออาคมเคลื่อนย้าย
“หานเฟยจื่อ!” เหยียนหลวนตะโกนเสียงเบา
หานเฟยจื่อเงียบขรึม ทะยานตรงเข้าไปทางภาพสัญลักษณ์ นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงใจกลางแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก หลับตาลง
“อัญเชิญเทวรูปหมานเผ่าเหยียนฉือ!”
“อัญเชิญเทวรูปหมานเผ่าเหยียนฉือ!”
“อัญเชิญเทวรูปหมานเผ่าเหยียนฉือ!” เสียงดังอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มคนบนท้องฟ้า กลายเป็นเสียงคำรามหนักแน่นก้องกังวานโดยรอบ ขณะเดียวกันด้านนอก ข้างเมืองเขาหานบนแดนอรุณใต้ ณ ยอดเขาเผ่าเหยียนฉือ ชาวเผ่าเหยียนฉือต่างพากันนั่งขัดสมาธิ ตรงกลางมีนักรบหมานและชาวเผ่าธรรมดา
พวกเขาหลับตาลงพร้อมกับกัดปลายลิ้นพ่นโลหิต โลหิตของพวกเราลอยขึ้นฟ้า ทุกหยดรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เค้าโครงโลหิตขนาดยักษ์พลันปรากฏบนยอดเขาเหยียนฉือ มันเป็นใบหน้าสตรียักษ์เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ในช่วงที่นางปรากฏ รอบใบหน้าสตรียักษ์พลันขยับแสงของอาคมเคลื่อนย้าย ทำให้ใบหน้าค่อยๆ เลือนราง
ยอดเขาเผ่าบูรพาสงบ ยอดเขาเผ่าผู่เชียงเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้ ล้วนเงียบขรึมอย่างประหลาด ไม่มีใครไปสืบหาร่องรอยใดๆ ยามนี้บนยอดเขาเผ่าบูรพาสงบตรงปลายยอดเขา จ้าวเผ่าบูรพาสงบกับจ้าวหมานและยังมีผู้แข็งแกร่งบูรพาสงบจำนวนมาก กระทั่งด้านในยังมีชายชราที่เหมือนกับเพิ่งลุกมาจากโลงศพสามคน ส่งกลิ่นเหม็นเน่า กำลังยืนอย่างสงบนิ่ง
พวกเขาไม่ได้มองไปทางเผ่าเหยียนฉือ แต่มองไปตรงหน้า เห็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมฟ้า เส้นผมยาว เขาเอามือไขว้หลัง บนเสื้อคลุมปักเป็นลายภูเขาน้ำแข็ง
“ข้ารู้ว่าในใจพวกเจ้าไม่ยินยอม…” ชายวัยกลางคนมีใบหน้าหล่อเหลา เขามองไปทางเผ่าเหยียนฉือ กล่าวเรียบๆ
“ทว่านี่เป็นข้อตกลงของผู้อาวุโสซุนในสำนัก พวกเจ้าไม่ยินยอมได้ แต่ก็ต้องปฏิบัติตาม”
“มิกล้า ท่านทูตมาเยือน ข้าเผ่าบูรพาสงบจะต้องปฏิบัติตามอย่างแน่นอน ทว่าหานชางจื่อยังอยู่ในนั้น…..” คนที่กล่าวคือหนึ่งในสามชายชราเหม็นเน่า สีหน้าเขาสงบนิ่ง กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า
“มีใครกล้าทำอันตรายนางรึ?” ชายวัยกลางคนยิ้ม
ยามนี้ บนยอดเขาเผ่าผู่เชียงก็เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกัน ผู้นำเผ่าจำนวนมากยืนอยู่หลังชายหนุ่มเสื้อคลุมดำด้วยความนอบน้อม บนใบหน้าชายหนุ่มมีลวดลายแมงป่องราวกับเป็นของจริง
“ผู้อาวุโสหวังมีคำสั่ง พวกเจ้าเผ่าผู่เชียงห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้!”
ขณะเดียวกัน ณ แดนลับเมืองเขาหาน แสงสีแดงมหึมาภายในอาคมเคลื่อนย้ายที่ก่อขึ้นจากสายฟ้าสีแดงผ่านพวกหานเฟยจื่อ เกิดเป็นแรงกดดันประหลาด พบว่ามีใบหน้าสตรียักษ์จากยอดเขาเหยียนฉือค่อยๆ ปรากฏบนท้องฟ้าตามแสงวูบวาบของอาคมเคลื่อนย้าย
การปรากฏตัวของมันทำให้ท้องฟ้าเกิดเป็นลวดลายผืนใหญ่แผ่ขยายไปรอบแปดทิศ ฟ้าดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ไม่นานเมื่อแสงจากอาคมเคลื่อนย้ายบรรลุถึงขีดสุด ใบหน้าสตรียักษ์พลันปรากฏอย่างสมบูรณ์ มันมีขนาดใหญ่หลายร้อยจั้ง มองลงมาด้วยความเย็นชา
“เปิดประตูแห่งบูรพาสงบ!” เหยียนหลวนมีสีหน้าเคารพยิ่งกว่าเดิม ใช้มือขวาชี้ไปทางหอคอยบวงสรวงสีขาวของเผ่าบูรพาสงบ ทันใดนั้นพบว่านอกหอคอยเผ่าบูรพาสงบมีแสงสีแดงขยับวูบวาบ มีเงาคนเสื้อคลุมแดงสี่คนลอยออกมา
ในมือพวกเขาทั้งสี่ถือศีรษะมนุษย์ดวงตาเคียดแค้นหลายคน ก่อนโยนศีรษะเหล่านั้นไปบนหอคอยบวงสรวง แล้วตบไปบนหอคอยหนึ่งครั้ง ศีรษะมนุษย์ทั้งหมดพลันระเบิดกระจุยกลายเป็นโลหิตมหาศาล ย้อมหอคอยสีขาวกลายเป็นสีแดง!
ศีรษะพวกนี้เป็นของแขกพิเศษบูรพาสงบที่เข้ามา หลังจากถูกชาวเผ่าเหยียนฉือสังหารแล้ว ก็ใช้วิธีการพิเศษบางอย่างนำโลหิตมารวมอยู่ในศีรษะ
หอคอยบูรพาสงบพลันสั่นสะเทือน เกิดรอยร้าวจำนวนมาก มีเสียงคำรามดังสนั่น พลังมหาศาลพลันรั่วไหลมาจากในหอคอยแห่งนี้
ขณะเดียวกันฟ้าดินราวกับเปลี่ยนสี นี่เป็นพลังโลหิตของแขกพิเศษจำนวนมากที่เผ่าบูรพาสงบสั่งสมมาหลายร้อยปีจากการเปิดแดนแห่งนี้หลายต่อหลายครั้ง พลังดังกล่าวเดิมทีเผ่าบูรพาสงบคิดว่าเมื่อรวมจนครบแล้วจะร่วมมือกับอีกสองชนเผ่าเพื่อเปิดกระบี่ยักษ์ ทว่ายามนี้กลับถูกเผ่าเหยียนฉือชิงไปก่อน
ใบหน้าสตรียักษ์บนท้องฟ้าอ้าปากสูบไปทางหอคอยเผ่าบูรพาสงบ ทันใดนั้น พลังงานดังกล่าวตรงเข้ามาทางใบหน้าสตรีและถูกมันสูบกินเข้าไปจนหมด
“เปิดประตูแห่งผู่เชียง!” นัยน์ตาเหยียนหลวนฉายแววตื่นเต้น นางรอวันนี้มานานมากแล้ว เผ่าเหยียนฉือยอมเสียกำลังกายและความคิดไปมากเพื่อวันนี้
หอคอยผู่เชียงเดิมทีเป็นสีดำ ยามนี้พอศีรษะมนุษย์ระเบิดกระจุยกลายเป็นสีแดง เกิดรอยร้าวเหมือนกับเผ่าบูรพาสงบ พลังโลหิตของแขกพิเศษที่สั่งสมมาหลายร้อยปีรั่วไหลออกมา พริบตาเดียวก็ถูกใบหน้าสตรีบนท้องฟ้าสูบกินจนหมด
และสิ่งที่มันจะสูบกินอย่างสุดท้ายคือหอคอยเผ่าเหยียนฉือ เกิดเสียงระเบิดดังก้องกังวาน เมื่อหอคอยทั้งสามแห่งเกิดรอยร้าวและสูญเสียพลังโลหิตที่สั่งสมมาหลายร้อยปีจนพังทลายแล้ว ใบหน้าสตรียักษ์พลันเด่นชัดขึ้นจากเลือนราง
ยามนี้เหยียนหลวนสูดลมหายใจเข้าลึก กระโดดไปยังใบหน้าสตรียักษ์ หลอมรวมเข้าด้วยกันในชั่วพริบตา ก่อนปรากฏอยู่ตรงระหว่างคิ้วของใบหน้า
“อาคมเคลื่อนย้ายทำลายผนึก!”
นัยน์ตาใบหน้าสตรียักษ์เปล่งประกายแสงพุ่งตัวลงมาจากท้องฟ้า แทงเข้าไปในสิ่งก่อสร้างยักษ์คล้ายกระบี่เอียงบนพื้น ขณะเข้าใกล้ด้วยความเร็ว บนตัวกระบี่พลันเปล่งแสงอ่อน แสงอ่อนที่ว่าคือผนึก มันมิได้แผ่ขยายออกมาด้านนอก แต่ไหลเวียนอยู่ในตัวกระบี่ประดุจน้ำหลาก
เสียงระเบิดดังสนั่น เทวรูปหมานเหยียนฉือปะทะเข้ากับกระบี่ยักษ์!
“ผนึกของบรรพบุรุษเขาหาน หากไม่เข้าใจหลักการก็ยากจะทำลาย นี่เป็นพลังที่ต่างจากพลังของเผ่าหมานโดยสิ้นเชิง ต่อให้เผ่าเหยียนฉือข้าเข้าใจอาคมเคลื่อนย้ายและใช้พลังทั้งหมด ก็ยังยากจะทำลายมันได้อยู่ดี แต่ว่า…
ด้วยพลังของเทวรูปหมานและอาคมเคลื่อนย้าย รวมกับสิ่งที่เผ่าเหยียนฉือศึกษามาหลายร้อยปี กลับทำให้รู้ถึงวิธีทำให้ผนึกหายไปชั่วครู่โดยการใช้อาคมปะทะกับอาคม ในช่วงที่ผนึกหายไป พวกเรา…จะเข้าไปได้!”