Skip to content

สู่วิถีอสุรา 160

ตอนที่ 160 หานคง

สิ่งก่อสร้างลักษณะกระบี่ยักษ์เอียงปักบนพื้น บนตัวมันเปล่งแสงอ่อนประดุจน้ำหลาก ในช่วงที่ปะทะกับใบหน้าสตรียักษ์จากเทวรูปหมาน แสงอ่อนบนตัวมันพลันสั่นไหว ค่อยๆ หยุดโคจรเหมือนจะแข็งตัว

ทว่าขณะเดียวกัน สีสันมันวาวบนใบหน้าสตรียักษ์อ่อนลงอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจก็ราวกับเสียพลังงานไปมากกว่าครึ่ง จากความเร็วนี้คงไม่อาจทำให้แสงอ่อนจากกระบี่ยักษ์หยุดโคจรได้อย่างสมบูรณ์

ยามนี้แสงอ่อนบนลำกระบี่เริ่มเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้า กระทั่งมีบางจุดโคจรต่อเหมือนจะหวนคืนสภาพเดิม

นัยน์ตาของเหยียนหลวนที่อยู่ตรงระหว่างคิ้วใบหน้าสตรียักษ์เป็นประกาย ฉายแววเสียดาย ยกสองมือขึ้นก่อนกดไปบนใบหน้าสตรียักษ์

ทันใดนั้น ใบหน้าสตรีพลันเปล่งแสงสีแดงเด่นชัด พุ่งทะยานขึ้นท้องฟ้ากระจ่างดาว กลายเป็นระลอกคลื่นมหึมาแผ่กระจายเป็นวงกว้าง พริบตาเดียวแทบปกคลุมทั้งผืนฟ้า

เสียงหัวเราะลากยาวดังแว่วเข้ามา ภายในแสงสีแดงบนท้องฟ้าปรากฏเงาคนเลือนรางก่อตัวอย่างรวดเร็ว แทบจะเด่นชัดในชั่วพริบตา เขาเป็นชายชราเสื้อคลุมแดงก้าวเดินมาจากในแสงสีแดง เส้นผมขาวทั้งศีรษะ ทว่าใบหน้าเต็มไปด้วยสีแดง ด้านหลังเป็นน้ำเต้ายักษ์

ในช่วงที่เขาปรากฏตัว ฟ้าดินพลันสั่นสะเทือน ท้องฟ้าดาวทอประกายราวกับไม่อาจรับไหวเหมือนใกล้ถล่มทลาย ผืนดินกว้างใหญ่สั่นสะท้าน หุบเขาจำนวนมากโดยรอบถล่มลงมาไม่น้อย

“เหยียนหลวนเข้าพบอาจารย์โจว!” เหยียนหลวนกล่าวด้วยความเคารพ ในช่วงที่ชายชราปรากฏตัว ใบหน้าสตรียักษ์ที่หลอมรวมกับเหยียนหลวนเลือนหายไป

“อาคมเคลื่อนย้ายทำลายมิติระดับสี่ ยอดเยี่ยมจริงๆ! เผ่าเหยียนฉือเข้าใจถึงหลักการนี้อย่างถ่องแท้ มอบมันให้ข้าเสีย แล้วเผ่าของเจ้าได้สร้างคุณูปการครั้งใหญ่!” ชายชราหัวเราะเสียงดัง แววตาเป็นประกาย จ้องสิ่งก่อสร้างลักษณะกระบี่ยักษ์

“หานคง เจ้าคิดว่าซ่อนตัวอยู่ในนี้แล้วสำนักเหมันต์สวรรค์ของข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้รึ! เจ้าคิดว่าผนึกมิติระดับสี่ ชาวเผ่าหมานของข้าจะไม่เข้าใจ? และต่อให้รู้ว่าเจ้าอยู่ในนี้ก็สังหารเจ้าไม่ได้อย่างนั้นรึ?” ชายชราเสื้อคลุมแดงหัวเราะลากยาว ก่อนเดินไปทางกระบี่ยักษ์บนพื้น

“หากเป็นมิติระดับสี่สมบูรณ์ข้าย่อมไม่อาจทำลายได้ ทว่าเผ่าเหยียนฉือเข้าใจมิติของเจ้าอย่างถ่องแท้ ทำให้มิติเกิดช่องโหว่ วันนี้ข้า…จะเปิดมัน!” ชายชราเสื้อคลุมแดงเข้าประชิดกระบี่ยักษ์ ใช้มือขวาสะบัดอากาศ พบว่าเหนือกระบี่ยักษ์ปรากฏกรงเล็บมารสีแดงคว้าไปทางกระบี่

ในช่วงที่กรงเล็บมารปรากฏ เหยียนหลวนมีสีหน้าเฝ้าปรารถนาและเคารพอย่างเห็นได้ชัด มิใช่เพียงแค่นาง หานเฟยจื่อและชาวเผ่าเหยียนฉือเหล่านั้น เมื่อใบหน้าสตรีหายไปก็กลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง ในช่วงที่มองเข้าไปสีหน้าดูเคารพยิ่งนัก

“ขั้นวิญญาณหมาน…สร้างเทวรูปหมานของตัวเอง ข้าคือหมาน หมานก็คือข้า…”

แววตาหานเฟยจื่อเป็นประกายยามกล่าวพึมพำ

กรงเล็บมารเข้าประชิด คว้ากระบี่ยักษ์ไป แสงอ่อนกำลังโคจรพลันหยุดชะงักเกิดเป็นเสียงระเบิด พบว่าแสงอ่อนพังทลายประดุจเศษแก้วล่วงหล่นดังสายน้ำ หลุดจากตัวกระบี่ยักษ์กระดอนไปด้านข้าง ตัวกระบี่สั่นสะเทือนผนึกบนตัวมันคลายออก!

“หานคง เจ้ามาเผ่าหมานของข้าเมื่อแปดพันปีก่อน แต่เทพหมานรุ่นสองจำกัดพลังเจ้าไว้เพียงวิญญาณหมานตอนกลาง นั่นหมายความว่าในแดนเซียนของพวกเจ้า ขั้นพลังของเจ้าคือเปลี่ยนวิญญาณ ติดอันดับหนึ่งร้อยสี่สิบเจ็ดของรายชื่อสังหารในต่างแดน!

วันนี้ข้าโจวซานแห่งสำนักเหมันต์สวรรค์ ผู้ส่งสารเทพหมานรุ่นสามจะมาเอาชีวิตเจ้า!” ชายชราเสื้อคลุมแดงพิพากษาด้วยน้ำเสียงประดุจสายฟ้า ขณะเสียงครึกโครมแผ่กระจายโดยรอบ ตัวเขากลายเป็นสายรุ้งเพลิงตรงไปทางกระบี่ยักษ์

เสียงโครมดังสนั่น ชายชราทะลวงเข้าสู่ด้านใน นัยน์ตาเหยียนหลวนเป็นประกาย ก่อนทะลวงเข้าไปพร้อมกัน จากนั้นหานเฟยจื่อรวมถึงชาวเผ่าเหยียนฉือเหล่านั้นก็ตามเข้าไปทีละคน

ยามนี้ บริเวณใต้แผ่นดินใหญ่ข้างกระบี่ยักษ์ที่ฝังลึกลงดิน มีเส้นทางลากยาวเป็นเส้นตรงอยู่มานานหลายปี เวลานี้ ณ ปลายทางติดกับกระบี่ยักษ์ ผนังหินถล่มลงมากลายเป็นเศษหินกระเด็นกระดอน

“ผนึกเปิดแล้ว!” หนานเทียนตื่นเต้น เขาพลันทะยานไปเบื้องหน้า ดูจากท่าทางของเขาคงอยากเข้าไปเป็นคนแรก ทว่าขณะเพิ่งขยับตัว เสวียนหลุนก็แซงหน้าเขาไปอย่างรวดเร็วและกลายเป็นคนแรกแทน ตามด้วยหนานเทียนกับโฉ่วนู่

ซูหมิงลืมตา ดวงตาเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เขายืนขึ้นอย่างเงียบๆ มองทางเข้าแดนนั่งฌานละสังขารของบรรพบุรุษเขาหาน ใบหน้าภายใต้หน้ากากซับซ้อน มีเสียงร้องเรียกอย่างร้อนรนดังขึ้นข้างหูไม่หยุด

‘เสียงของบรรพบุรุษเขาหานไม่เหมือนกับเสียงตอนเดินบนเส้นทางสีแดง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนเดียวกัน’ ซูหมิงหลับตา สีหน้าลังเลใจ

“ท่านโม่ซู?” ตงฟางหวาข้างกายซูหมิง เดิมทีคิดจะเข้าไป ทว่าเห็นซูหมิงแน่นิ่งจึงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนถามเสียงเบา

“ข้าขอคิดก่อน หากเจ้าอยากเข้าไปก็เข้าไปก่อนเลย” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง

ตงฟางหวาเกิดความลังเลในใจ มองทางเข้า นัยน์ตาฉายแววเฝ้าปรารถนา เขาอยากแข็งแกร่ง ตรงหน้าคือโอกาส หากต้องทิ้งไปเขาคงทำใจมิได้

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เขาเห็นซูหมิงยังคงขบคิดจึงกัดฟันประสานมือคารวะก่อนทะยานหายเข้าไปในชั่วพริบตา ยามนี้ตรงปลายทางเหลือเพียงซูหมิงคนเดียว เขายืนอย่างสงบนิ่ง มีเสียงร้องเรียกด้วยความร้อนรนดังขึ้นในความคิดไม่หยุด

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เขาลืมตาขึ้น

“จะเดิมพันดีหรือไม่…บรรพบุรุษเขาหานยังไม่ตายจึงเรียกข้าอยู่อย่างนี้ เรื่องนี้ยากเกินกว่าจะคาดเดา อีกอย่างความแปลกบนเส้นทางสีแดงก่อนหน้านี้ ข้ามั่นใจว่าหากเข้าไปแล้วจะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายครั้งใหญ่!” ซูหมิงกล่าวพึมพำ

“ทว่า บางทีนี่อาจเป็นเพียงโอกาสเดียวของข้าในตอนนี้…จะได้รู้ว่าข้าเสียความทรงจำส่วนไหนไปกันแน่ จะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวข้ากันแน่…” ซูหมิงเดินไปเดินมา ดวงตาเป็นประกายวาว

‘เหอเฟิงเคยบอกว่าการฝึกฝนเคล็ดวิชาของบรรพบุรุษเขาหานจะก่อเป็นกายวิญญาณได้ และหากมีกายวิญญาณก็จะสามารถแสดงเคล็ดวิชาแปลกๆ เหมือนกับตอนที่ข้ายังจัดการกับเหอเฟิงไม่ได้อย่างเด็ดขาด หากใส่หน้ากากไปคงติดกับเคล็ดวิชาของเหอเฟิง

จากนั้นเขาเคยกล่าวถึงเคล็ดวิชานี้กับข้า มันเรียกว่ายึดวิญญาณ…มีเพียงผู้มีกายวิญญาณเท่านั้นถึงจะใช้ได้ สามารถครอบครองร่างกายของคนอื่นและสับเปลี่ยนความทรงจำ…กายวิญญาณจะก่อขึ้นหลังจากฝึกเคล็ดวิชาตราประทับ เท่าที่รู้คนที่มีกายวิญญาณตอนนี้ นอกจากเหอเฟิงแล้วก็มีบรรพบุรุษเขาหาน’ ซูหมิงชะงักฝีเท้า สีหน้าเด็ดเดี่ยว

‘เดิมพันได้ แต่ก็ต้องไม่เสี่ยงอันตราย ไม่จำเป็นต้องมีวิธีป้องกันตัวอย่างสมบูรณ์ แต่ต้องหลังจากมั่นใจแล้วเท่านั้นถึงจะลงเดิมพัน! แม้ความทรงจำจะสำคัญ ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงการคาดเดาของข้า หากเดาถูกก็ดีไป แต่หากข้าคิดไปเองก็เท่ากับส่งชีวิตไปตายอย่างเปล่าประโยชน์!…ไม่คุ้ม!’

‘บรรพบุรุษเขาหานเรียกข้าอย่างร้อนรนเช่นนี้ ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเขา แต่น่าจะเป็นเรื่องผนึกถูกทำลายมากกว่า…อีกอย่างข้าคิดว่าเขาไม่น่าจะเรียกข้าเข้าไปเพื่อสังหาร ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สาเหตุที่เขาทำเช่นนี้ นอกจากสาเหตุอื่นที่ข้าไม่รู้แล้ว ก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือเคล็ดวิชายึดวิญญาณที่เหอเฟิงพูดถึง!

ท่านปู่เคยสอนว่าไม่ว่าเจอกับเรื่องอะไร หากยังไม่เข้าใจให้ลองเป็นอีกฝ่ายดู ให้ใช้เรื่องราวของอีกฝ่ายมาคาดเดาความคิด หากข้าเป็นบรรพบุรุษเขาหาน อยู่ในนี้มานานหลายปี ลืมตาขึ้นมาพบว่าสามชนเผ่าบริวารทรยศจนเกินเยียวยา เช่นนั้นหากข้าบาดเจ็บและมิใช่อาการบาดเจ็บธรรมดา…อีกอย่างตอนนี้เผ่าเหยียนฉือทำลายผนึก เบื้องหลังพวกเขามีสำนักเหมันต์สวรรค์ ในนี้จะต้องมีคนของสำนักนั้นอยู่ด้วยแน่นอน มีความเป็นไปได้สูงที่บรรพบุรุษเขาหานจะต้องตาย!

เขาเรียกข้าเป็นไปได้มากว่าเพื่อใช้เคล็ดวิชายึดวิญญาณอย่างที่เหอเฟิงเคยบอก! ช่วงชิงร่างกายของข้า หลบหนีวิกฤตแห่งความตายครั้งนี้…ส่วนสาเหตุที่เลือกข้าบางทีอาจเป็นเพราะในร่างกายข้ามีเส้นเลือดลมอยู่…ถ้าอย่างนั้นที่กระบี่เล็กสีดำกับทุ่งหญ้าสีแดงเลือกข้าเพราะเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่! ค่อยๆ ทำไปทีละขั้นตอน เพื่อดึงข้าเข้ามาที่นี่…’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววเย็นชา

‘เขาคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว เผ่าเหยียนฉือกล้าทำลายผนึก คงมั่นใจว่าจะสังหารเขาได้…วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือรออยู่ตรงนี้ อีกไม่นานบรรพบุรุษเขาหานต้องตายอย่างแน่นอน นี่เป็นทางที่ปลอดภัยที่สุด หากเป็นเช่นนั้นข้าก็จะไม่ได้ครอบครองเคล็ดวิชาการฝึกฝนของบรรพบุรุษเขาหาน อีกทั้งยังไม่ได้คำตอบที่ข้าต้องการ ไม่ได้สิ่งที่หายไปในความทรงจำของข้าแม้แต่น้อย…’

ซูหมิงยิ้มเยาะตรงมุมปาก นั่งขัดสมาธิลงใช้มือขวากดไปตรงหน้าอก พลังโลหิตพลันเดือดพล่านประดุจคลื่นซัดสาดในร่างกาย

แทบจะเป็นช่วงที่เขากดนิ้วลงมีกลุ่มแสงอ่อนถูกบีบมาจากในร่างกายเขา ภายในแสงอ่อนเป็นกายวิญญาณของเหอเฟิง เขาหลับตาเหมือนกำลังหลับใหล

ซูหมิงมองกายวิญญาณเหอเฟิง ใช้มือขวาแตะไปหนึ่งที เกิดเป็นระลอกคลื่นกระเพื่อม ในช่วงที่ผ่านกายวิญญาณเหอเฟิง เหอเฟิงตัวสั่นแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“นาย……” เหอเฟิงเพิ่งตื่น แววตาสับสน ทว่าหลังจากเห็นรอบตัวอย่างแจ่มชัดแล้ว โดยเฉพาะตอนที่เห็นทางเข้าตรงปลายทางแห่งนี้ เขาพลันชะงัก

“ที่นี่คือ……เอ่อ…..”

“เหอเฟิง” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงเบา แฝงไว้ด้วยความน่าสะพรึง

“ข้าอยากให้เจ้าช่วยข้าทำสิ่งหนึ่ง” ซูหมิงมองเหอเฟิง กล่าวเสียงเบา

“นายท่านบอกมาได้เลย ขอแค่เหอเฟิงทำได้จะไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน” เหอเฟิงรีบสงบจิตใจ กล่าวอย่างระมัดระวัง ทว่าในใจกลับตึงเครียดเล็กน้อย เขาไม่ทราบว่าซูหมิงจะให้ตนทำอะไร โดยเฉพาะเมื่อบังคับให้เขาตื่นมาในที่แห่งนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version