ตอนที่ 151 จู่โจมสวนกลับ
เสียงระเบิดดังก้องกังวาน เศษหินเหล่านั้นระเบิดกระจุย ทว่าอสรพิษดำก็สั่นสะท้านเช่นกันจนเกิดเป็นรอยร้าว ขณะนั้นซูหมิงล่าถอยอีกครั้ง แววตาเย็นชา พ่นคำหนึ่งออกมาเบาๆ
“หมอก!”
ศาสตราวุธหมานอสรพิษดำที่เพิ่งได้มาพลันปล่อยหมอกดำมหาศาลอบอวลโดยรอบ
หานเฟยจื่อสีหน้าเปลี่ยน ในช่วงที่หมอกดำแผ่ขยาย นางพลันใช้มือขวาชี้ไปทางเหยียนก่วงเบื้องหน้า พลันเกิดหมอกขาวโอบล้อมตัวเหยียนก่วงที่กำลังหวาดกลัวภายในหมอกดำ กลายเป็นปราการหนาแน่น
หลังจากช่วยเหยียนก่วง รอบตัวนางขยับแสงสีทอง มันเป็นเคล็ดวิชาที่นางใช้ตอนพบซูหมิงครั้งแรก ทำให้รับการโจมตีต่อเนื่องของเขาเอาไว้ได้ แทบจะเป็นช่วงที่หานเฟยจื่อแสดงพลัง ภายในหมอกดำ แววตาซูหมิงเป็นประกายวาววับ ตราประทับกระบี่ดำตรงระหว่างคิ้วส่งเสียงลากยาว กระบี่เล็กสีดำพุ่งทะยานออกมา เป้าหมายมิใช่เหยียนก่วงและมิใช่หานเฟยจื่อ แต่เป็นเงาโลหิตเบื้องหน้าเขา
เงาโลหิตดังกล่าวคือเป้าหมายของเขา หากไม่ทำลายสิ่งนี้ ต่อให้เขาหนีไปได้ก็มีโอกาสถูกไล่ตามเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นจึงต้องทำลายมัน!
กระบี่ดำส่งเสียงลากยาว ก่อเป็นแรงกดดันมหาศาลตรงเข้าใส่เงาโลหิตเบื้องหน้าหานเฟยจื่อ อานุภาพของกระบี่สามารถต่อกรกับขั้นชำระล้าง หานเฟยจื่อพลันตื่นตะลึง นางมองไม่เห็นกระบี่ดำดังกล่าว กลับสัมผัสได้ว่าในหมอกเบื้องหน้ามีกลิ่นอายพลังน่าสะพรึงกำลังตรงเข้ามา ให้ความรู้สึกถึงภัยอันตรายแก่ชีวิต
สีหน้านางเปลี่ยนก่อนพลันล่าถอย ทั้งตัวมีเมฆหมอกปกคลุม แสงสีทองทะลวงผ่านออกมา ในมือนางปรากฎกระจกโบราณขนาดเท่าฝ่ามือ มันขยับแสงวูบวาบปรากฎขึ้นหกด้านรอบตัว ทั้งหน้าหลังซ้ายขวาบนล่าง ห่อหุ้มนางเอาไว้ภายใน
ในช่วงที่หานเฟยจื่อล่าถอย ภายใต้การควบคุมวิชาตราประทับของซูหมิง กระบี่เล็กดำเข้าใกล้เงาโลหิตก่อนตัดศีรษะของมัน เงาโลหิตประดุจมีจิตวิญญาณ มันแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด แบ่งเป็นสองท่อนแล้วดับสูญทันใด
แววตาซูหมิงเป็นประกายจิตสังหาร ขณะกำลังควบคุมกระบี่เล็กโจมตีเข้าใส่หานเฟยจื่อ หัวใจเขาพลันเต้นแรง สีหน้าเคร่งขรึม พบว่าในเงาโลหิตที่เพิ่งถูกแบ่งเป็นสองท่อนมีหมอกแดงลอยออกมา ลักษณะเป็นภาพสัญลักษณ์สีแดงกลางอากาศขนาดสิบจั้ง สัญลักษณ์ช่างซับซ้อน ในช่วงที่มันปรากฎ แสงสีแดงเด่นชัดขยับประกาย ภายในแสงสีแดงแฝงไว้ด้วยแรงกดดันที่ทำให้ซูหมิงตื่นตะลึง หมอกดำรอบตัวเบาบางลงอย่างรวดเร็วและหายไปในชั่วพริบตา
ขณะเดียวกัน ภาพสัญลักษณ์สีแดงพลันเคลื่อนไหวกลายเป็นใบหน้าสตรีที่งดงามยิ่งนัก กำลังหลับตา ก่อนที่ใบหน้านั้นจะลืมตาขึ้นมา แพขนตาสั่นไหวเล็กน้อย ทันใดนั้นกระบี่เล็กดำพลันสั่นไหวราวกับไม่อาจเข้าใกล้
ดวงตาสตรีเป็นแสงทึบ เสียงหัวเราะดังก้องฟ้าดินและเต็มไปด้วยพลังประหลาด ทำให้ผู้ฟังจิตใจสั่นไหวราวเกิดระลอกคลื่นจำนวนมาก ทำให้เสียสมาธิไป
ท่ามกลางเสียงหัวเราะดังก้อง ใบหน้าสตรีอ้าปากก่อนเป่าลมไปทางกระบี่เบื้องหน้า ประดุจสายลมหอมตรงเข้าปะทะกับกระบี่เล็ก กระบี่เล็กแผดเสียงร้องแหลมทันใด ตัวกระบี่สั่นไหวก่อนกระเด็นกลับไปหาซูหมิงและเข้าไปในร่างกายเขาอย่างรวดเร็ว
ซูหมิงหน้าแดงคล้ายหมดสติ ในช่วงที่ลมหอมกระทบใบหน้า สายตาก็พร่ามัว เขาเห็นสตรีงามได้เลือนราง ความงดงามของนางทำให้ซูหมิงหัวใจเต้นแรง ความรู้สึกนี้ราวกับแค่อีกฝ่ายเอ่ย เขาก็พร้อมยอมสละชีวิตเพื่อนาง ยามนี้นางกำลังมองเขาเหมือนกำลังเรียกให้เดินเข้าไป
สีหน้าภายใต้หน้ากากสับสน ทว่าทันใดนั้น แผ่นหินสีดำลึกลับที่เขาแขวนไว้ตรงหน้าอกส่งความหนาวเยือกเข้าสู่ร่างกาย เกิดเหตุการณ์เหมือนช่วงที่เขาเจอหมานชั่วร้ายในตอนนั้น ทำให้ซูหมิงพลันชะงัก แววตาได้สติกลับมา ทันใดนั้นเขากระอักโลหิตกองใหญ่ แววตาสลัวฉายแววตื่นตะลึง ในเวลาเดียวกันก็ล่าถอยอย่างไม่ลังเล
หากจะให้กล่าวคงยาว ทว่าทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
“หืม!” ใบหน้าสตรียักษ์กลางอากาศดูให้ความสนใจ มองเงาซูหมิงที่ห้อเหยียดไกลออกไปแล้วพลันหัวเราะ
“เฟยเอ๋อร์ เหยียนก่วง คนนี้ข้าต้องการตัวเป็นๆ ไปเถอะ เขาบาดเจ็บสาหัส คงทำอะไรไม่ได้มาก จับเขา…มาให้ข้า” ขณะใบหน้าสตรียักษ์กล่าวด้วยเสียงอ่อนนุ่ม ใบหน้าค่อยๆ เลือนหาย
เหยียนก่วงข้างกายก้มหน้าขานรับ หานเฟยจื่อไม่กล่าวสิ่งใด เพียงแต่มองทิศทางการหลบหนีของซูหมิง ขมวดคิ้วอยู่ตลอด นางรู้สึกคุ้นกับซูหมิงเล็กน้อย ทว่าการประมือเมื่อครู่ก็ยังไม่พบเบาะแสอะไร
ซูหมิงกุมหน้าอก นั่นเป็นจุดที่เขาเจ็บมากที่สุดในยามนี้ เสมือนหัวใจแหลกสลาย ทำให้ขณะห้อเหยียดตรงมุมปากมีโลหิตไหลตลอด ตราประทับกระบี่เล็กตรงระหว่างคิ้วอ่อนแสงลง อีกทั้งด้านบนยังมีกลุ่มสีแดงขยับวูบวาบ
‘นางคือเหยียนหลวน!’ นี่มิใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นใบหน้ายักษ์ของสตรีคนนี้ ตอนนั้นในเมืองเขาหาน ช่วงที่เหอเฟิงบุกโซ่เขาหาน เขาก็เคยเห็นนางแล้ว
‘นางไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างธรรมดา! เคล็ดวิชาหมานเมื่อครู่เพียงพอจะสังหารคนได้!’ ซูหมิงกระอักโลหิตอึกใหญ่ ขณะร่างกายโซเซ เขาใช้มือขวาหยิบโอสถแดนใต้จากอกเสื้อ นำใส่ปากแล้วห้อตะบึงต่อไป หานเฟยจื่อกับเหยียนก่วงด้านหลังเขากำลังใช้ความเร็วสูงสุดตามมาติดๆ
‘นายท่าน ขั้นพลังของเหยียนหลวนน่าจะอยู่ชำระล้างตอนกลางแล้ว…อีกทั้งนางยังเป็นจ้าวเผ่าที่อยู่เหนือกว่าจ้าวหมานที่พบเห็นได้ยากในชนเผ่าอื่น ชนเผ่าเหยียนฉือเห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนกับที่อื่น จ้าวหมานมิใช่ผู้นำ แต่เป็นจ้าวเผ่า! ไม่อยากเชื่อว่านางจะมาที่นี่…’ ในน้ำเสียงของเหอเฟิงเห็นได้ชัดว่ากำลังหวาดกลัว
เมื่อได้ยินเหอเฟิงกล่าว สีหน้าซูหมิงเคร่งขรึมมากกว่าเดิม กัดฟันทะยานต่อไปโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บ ระหว่างทางก็กลืนโอสถแดนใต้ไปจำนวนมาก ทำให้ยังคงรักษาระดับความเร็วได้ ทว่าเพราะการห้อเหยียด อาการบาดเจ็บเลยไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้เร็วดั่งใจคิด
หานเฟยจื่อและเหยียนก่วงด้านหลังยิ่งไล่ตามยิ่งตื่นตะลึง เดิมทีพวกเขาคิดว่าด้วยอาการบาดเจ็บของซูหมิงคงหนีไปได้ไม่ไกล แต่ยามนี้ผ่านไปสองชั่วยามแล้ว แขกพิเศษบูรพาสงบคนนี้กลับยังคงห้อเหยียดด้วยความเร็ว
ใบหน้าภายใต้หน้ากากขาวซีด เขาหลบหนีมาหลายชั่วยาม แม้มีโอสถแดนใต้รักษาอยู่ตลอด ทว่าหากไม่มีเวลานั่งฌานสมาธิก็ยากจะฟื้นฟูกลับมา โดยเฉพาะความเจ็บปวดตรงหน้าอกที่ทุเลาลงไม่มาก ยามนี้การพุ่งทะยานทำให้อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะแหลกสลาย
‘เผ่าเหยียนฉือ!’ ซูหมิงจำชื่อชนเผ่านี้เอาไว้อย่างแม่นยำ แต่ตอนนี้เขาจะหยุดไม่ได้ เขาเป็นกังวลว่าเหยียนหลวนอาจปรากฎตัวได้ทุกเมื่อ หากนางปรากฎตัวอีกครั้งก็คงยากจะหลบหนี
‘นายท่าน ข้าคิดว่าเหยียนหลวนไม่น่าจะปรากฎตัวตอนนี้’ เหอเฟิงกล่าวอย่างระมัดระวัง ดังก้องในความคิดซูหมิง แฝงไว้ด้วยความตึงเครียดอย่างมิอาจปกปิด เขาไม่อยากให้ซูหมิงตาย หากซูหมิงตายเขาก็ต้องตายตามไปด้วย
‘ว่าต่อไป!’ ซูหมิงทราบดีว่าเขายังด้อยกว่าเหอเฟิงเล็กน้อยในด้านประสบการณ์และความคิด ยามนี้ได้ยินคำพูดของเหอเฟิง จึงเหมือนกับนึกอะไรบางอย่างที่สำคัญได้
‘ขั้นพลังของเหยียนหลวนน่าสะพรึง หากนางปรากฎตัวได้ตลอดเวลา แขกพิเศษอีกสองชนเผ่าในนี้คงตายหมดแล้ว กระทั่งไม่จำเป็นต้องส่งคนมาสืบด้วยซ้ำ…ดังนั้น นางถึงได้ส่งหานเฟยจื่อกับเหยียนก่วงมาตามล่านายท่าน ตอนนั้นพวกเราออกจากเส้นทางลับแล้วมาเจอคนเสื้อคลุมแดง นี่อธิบายได้ว่า…’ ความคิดเหอเฟิงโลดแล่นอย่างรวดเร็ว เขากล่าววิเคราะห์
‘นี่อธิบายได้ว่าเหยียนหลวนอยู่ในแดนแห่งนี้ เพราะว่าต้องทนรับข้อจำกัดมหาศาลหรือเพราะเหตุผลอะไรบางอย่าง ก็เลยต้องอยู่ที่นั่นตลอดเวลา ออกมาข้างนอกไม่ได้ ทำได้เพียงใช้วิธีเหมือนก่อนหน้านี้ในการลงมือ’ ซูหมิงพลันกล่าวขึ้น
‘นายท่านหลักแหลม! อีกทั้งการลงมือของเหยียนหลวนใช่ว่าจะทำได้ตามอำเภอใจ มิเช่นนั้นแล้ว ขอแค่ปรากฎตัวเท่านั้น นายท่านคงหนีมาไม่ได้ไกลขนาดนี้’ เหอเฟิงกล่าวชมเชย ก่อนเอ่ยความคิดของตน
แววตาซูหมิงเป็นประกาย เขาทราบดีว่ายืนหยัดได้อีกไม่นานแล้ว แม้มีโอสถแดนใต้อีกไม่น้อย ทว่าอาการบาดเจ็บรุนแรงตรงหน้าอกเขาเหมือนจะลุกลามมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ร่างกายของเขาไม่อาจทนรับไหว
‘เหอเฟิง ข้ารู้ว่าเจ้ามีกลอุบายลับเก็บเอาไว้ ตอนนี้หากข้าตาย เจ้าก็ต้องตายด้วย ไม่ต้องเก็บไว้แล้ว เจ้าถ่วงพวกหานเฟยจื่อไว้สักครู่ ทำได้หรือไม่!’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวในความคิด
เหอเฟิงเงียบไปชั่วครู่ ราวกับกำลังตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
‘นายท่าน สภาพข้าในตอนนี้ ถ่วงพวกเขาได้เพียงครึ่งก้านธูป…’
‘ดี!’ ซูหมิงชะงักฝีเท้าก่อนนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น หยิบโอสถแดนใต้สองเม็ดใส่ปากแล้วหลับตาลงโคจรพลังโลหิตในร่างกาย
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่นานเมฆขาวด้านหลังซูหมิงก็ลากยาวเข้ามา ในช่วงที่ห่างกันเกือบหนึ่งร้อยจั้ง บนตัวซูหมิงขยับแสงอ่อน พบว่าคนเล็กเหอเฟิงก้าวเดินออกมา
ใบหน้าเขาเลือนรางด้วยไม่ยอมให้หานเฟยจื่อจำตนได้
เพราะนั่นอาจทำให้ซูหมิงสังสัยและไม่ชอบใจ เมื่อออกมาแล้วเหอเฟิงพลันยกมือขวาไปทางเมฆขาวบนท้องฟ้า ก่อนกำหมัดแล้วชกเข้าใส่
ระลอกคลื่นแผ่ขยายระหว่างเมฆขาวกับซูหมิงอย่างรวดเร็ว แสงอ่อนรอบตัวพลันแผ่กระจายปกคลุมรอบตัวซูหมิงในขอบเขตห้าสิบจั้ง เหอเฟิงนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ หลับตาทั้งสองข้าง ตัวเขากับแสงอ่อนหลอมรวมเข้าด้วยกันก่อนหายไปไร้เงา เขาใช้วิธีการเช่นนี้เพื่อขวางหานเฟยจื่อกับเหยียนก่วงเอาไว้และเพื่อถ่วงเวลาให้กับซูหมิง
เสียงระเบิดดังขึ้น เหยียนก่วงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหารใช้ทวนยาวในมือโจมตีเข้าใส่ม่านแสงอ่อนอย่างต่อเนื่อง ทำให้แสงอ่อนสั่นไหวราวกับแตกกระจายได้ตลอดเวลา
หานเฟยจื่อมองซูหมิงในแสงอ่อนแวบหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ จากนั้นใช้เมฆขาวโอบล้อมม่านแสงอ่อนเอาไว้ ปลดปล่อยแรงกดดันทำให้ขอบเขตแสงอ่อนลดระยะลงอย่างต่อเนื่อง