ตอนที่ 152 ไม่เข้าใจนางเลยจริงๆ
สี่สิบจั้ง สามสิบจั้ง ยี่สิบจั้ง…จนกระทั่งถึงสิบจั้ง ม่านแสงอ่อนจางลงถึงขีดสุด ยามนี้เหยียนก่วงแผดเสียงคำราม ทวนยาวในมือเปล่งแสงสีฟ้าแทงทะลุม่านแสงอ่อน
ม่านแสงอ่อนพลันแตกกระจายกลายเป็นเศษจำนวนมาก มันรวมตัวกันอยู่กลางอากาศ ก่อขึ้นเป็นเหอเฟิงที่มีใบหน้าเลือนรางและตัวสั่นเทา ในช่วงที่เขาก่อตัวขึ้น ทวนยาวในมือเหยียนก่วงส่งเสียงแหลมตรงเข้ามาทางซูหมิง
ส่วนหานเฟยจื่อข้างกายแววตาเย็นชา ยกมืองามขึ้นสร้างเมฆหมอกโอบล้อม กลายเป็นฝ่ามือเมฆใหญ่ตรงเข้าไปทันใด
สีหน้าเหอเฟิงดูร้อนรน เขาทราบดีว่าหากซูหมิงตายเขาก็ต้องดับสูญตามไปด้วย ยามนี้จึงกัดฟันแผดเสียงคำราม ทั้งตัวเปล่งแสงอ่อนอีกครั้ง
แสงอ่อนรวมอยู่รอบตัวซูหมิงในขอบเขตสามจั้ง ในช่วงที่ปะทะกับทวนยาวของเหยียนก่วงราวกับไม่อาจทนรับไหว ระเบิดกระจายอีกครั้ง
ครั้งนี้เป็นขีดจำกัดของเหอเฟิง ตัวเขาสลัวลงทันทีเหมือนจะเลือนหาย เขาฝืนยิ้มปวดร้าว ในช่วงที่กำลังสิ้นหวัง แรงดูดมหาศาลพลันปล่อยมาจากตัวซูหมิง ปกคลุมร่างเหอเฟิงเอาไว้ก่อนดึงเขากลับเข้าสู่ร่างกาย
ขณะเดียวกันซูหมิงลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววเย็นชา เผยจิตสังหารออกมา!
ในช่วงที่เขาลืมตา ใต้ฝ่าเท้าเปล่งแสงสีแดงวูบไหว ทุ่งหญ้าสีแดงพลันแผ่ขยายปกคลุมในระยะสิบจั้ง กลายเป็นปราการขวางฝ่ามือเมฆใหญ่ของหานเฟยจื่อและทวนยาวของเหยียนก่วงไว้ เสียงระเบิดดังกึกก้อง ทวนยาวของเหยียนก่วงชะงักไปชั่วครู่
ซูหมิงพลันยืนขึ้นตรงเข้าไปหาเหยียนก่วง ด้วยความเร็วของเขาพริบตาเดียวก็เข้าประชิดตัวก่อนปล่อยหมัดเข้าใส่
เหยียนก่วงกำหมัดเช่นกัน แผดเสียงร้องปล่อยหมัดปะทะกับซูหมิงจนเกิดเป็นเสียงโครมดังสนั่น ร่างของเขากระเด็นถอย กระอักโลหิต นัยน์ตาซูหมิงฉายแววจิตสังหาร ขณะกำลังตามเข้าไปปลิดซีพ หานเฟยจื่อข้างกายเห็นทุ่งหญ้าสีแดงก็พลันเหม่อลอยไปชั่วครู่ ทุ่งหญ้านี้เหมือนว่านางเคยเห็นมาก่อน ทว่าเหตุการณ์ในเทือกเขาป่าฝนตอนนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก ทำให้นางมองเห็นไม่ชัด
ยามนี้หลังจากเหม่อลอยไปชั่วครู่ ขณะกำลังลงมือพบว่าซูหมิงสะบัดมือขวามาทางตน อสรพิษดำปรากฎขึ้นอีกครั้งกลายเป็นหมอกดำ ภายในมีศีรษะอสรพิษโผล่ออกมา อ้าปากตรงเข้าใส่นาง
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา หานเฟยจื่อยิ้มเยาะ รอบตัวเปล่งแสงสีทอง นางไม่สนใจอสรพิษในหมอกดำแม้แต่น้อย สาวเท้ายาวผ่านหมอกดำ คิดจะขวางซูหมิงเอาไว้
“เหอเฟิง เจ้าล่อนางมา ตอนนี้ยังไม่ลงมือแล้วจะรอไปจนถึงเมื่อไร!”
นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย เขาอยากสังหารเหยียนก่วงก่อนแล้วค่อยรับมือกับหานเฟยจื่อ ไม่อยากให้ทั้งสองคนร่วมมือกัน ยามนี้เห็นหานเฟยจื่อไม่สนใจหมอกดำ ตัดสินใจเด็ดขาดในทันที จึงใช้น้ำเสียงแหบพร่ากล่าวออกไป
ในช่วงที่กล่าว ใบหน้าสงบนิ่งของนางพลันเปลี่ยน ชะงักฝีเท้าแล้วเงยหน้า ในความคิดมีเสียงโครมดังขึ้น ความคุ้นทุกอย่างก่อนหน้านี้ ยามนี้ได้รับคำตอบแล้ว แต่คำตอบดังกล่าวมีราคาที่ต้องจ่าย และสิ่งที่ต้องจ่ายคือชีวิตของเหยียนก่วง!
ในช่วงที่หานเฟยจื่อเหม่อลอยหยุดชะงักเพราะคำพูดของซูหมิง เขาเข้าประชิดเหยียนก่วงที่กำลังล่าถอย ตราประทับกระบี่ตรงระหว่างคิ้วขยับแสง กระบี่เล็กสีดำพลันส่งเสียงลากยาวตรงเข้าใส่เหยียนก่วง ด้วยความเร็วของมันก็เข้าประชิดตัวในชั่วพริบตา ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของเหยียนก่วง กระบี่เล็กทะลวงผ่านระหว่างคิ้วของเขา
เสียงปึกดังขึ้น ร่างของเหยียนก่วงกระเด็นถอยไปหลายก้าวตามแรงทะลวงของกระบี่เล็กแล้วล้มลงกับพื้น ขาทั้งสองข้างชักกระตุกก่อนสิ้นใจลง
ซูหมิงหอบหายใจแรง มีเม็ดเหงื่อผุดตรงหน้าผาก มุมปากมีโลหิตรินไหล ใบหน้าขาวซีด รู้สึกเจ็บตรงหน้าอกมากขึ้น การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเมื่อครู่กินพละกำลังจำนวนมาก โดยเฉพาะการสังหารเหยียนก่วง แทบจะใช้พลังวิญญาณในเส้นเลือดลมทั้งหมด
ยามนี้เขายืนอยู่ตรงนั้นในมือกำหินวิญญาณสีแดง ทุ่งหญ้าสีแดงตามมาอยู่ใต้ฝ่าเท้า ปกคลุมรอบตัวเขาในขอบเขตสิบจั้ง วิญญาณค้างคาวจันทราลอยมาจากในร่างกายโอบล้อมรอบตัว แผดเสียงคำรามไร้เสียง
กระบี่เล็กสีดำอ่อนแสงลง บนตัวกระบี่มีลายจุดสีแดงเล็กน้อยราวกับซึมเข้าไปในตัวกระบี่ ดูน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก ยามนี้ลอยอยู่กลางอากาศข้างซูหมิง พ่นไอกระบี่เบาบาง
หานเฟยจื่อยืนห่างจากซูหมิงสิบกว่าจั้ง จ้องเขา นัยน์ตาฉายแววเคียดแค้น นางตามหาบุคคลตรงหน้ามาแสนนาน ทว่ากลับไม่พบเบาะแส ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมาพบที่นี่
“เจ้าเป็นแขกพิเศษเผ่าบูรพาสงบ…คนเล็กแสงอ่อนเมื่อครู่ น่าจะเป็นเหอเฟิง! ส่วนวัตถุชิ้นนี้……” นัยน์ตาหานเฟยจื่อเป็นประกาย จ้องกระบี่เล็กสีดำ
“น่าจะเป็นสมบัติล้ำค่าของเหอเฟิง ไม่คิดเลย…ข้ากับเสวียนหลุนแย่งชิงกันมาตั้งนาน ท้ายที่สุดกลับไปอยู่ในมือเจ้า! นี่เป็นครั้งที่สองที่เราพบกัน ขั้นพลังของเจ้าเปลี่ยนไปมาก น่าจะไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าเป็นใคร!”
“แขกพิเศษบูรพาสงบ โม่ซู” ซูหมิงกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า มองหานเฟยจื่อผ่านหน้ากาก
“โม่ซู…” หานเฟยจื่อมองซูหมิงด้วยอาการเงียบขรึม
ซูหมิงไม่กล่าว แต่หอบหายใจแรง มองหานเฟยจื่อ
“อาการบาดเจ็บของเจ้าสาหัสยิ่งนัก ข้ามีโอกาสเจ็ดส่วนที่จะสังหารเจ้าได้”
สิบลมหายใจต่อมา หานเฟยจื่อกล่าวเสียงเบา
“ข้าก็มีโอกาสเจ็ดส่วนที่จะตายไปพร้อมกับเจ้าเหมือนกัน!” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ กระบี่เล็กข้างกายเข้า ส่งเสียงร้องกระบี่เบาๆ
“ข้าเชื่อ” หานเฟยจื่อยิ้ม แม้มีผ้าขาวปิดบังทว่าก็ยังพอเห็นได้ ภายในรอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความงาม
“รู้ว่าเจ้าเป็นใครข้าก็พอใจแล้ว ข้าจะให้โอกาสเจ้า ไม่เปิดเผยตัวตนของเจ้า แต่หากเจ้ามีชีวิตออกไปจากที่นี่ได้ ต้องทำตามคำขอของข้าหนึ่งข้อ” หานเฟยจื่อยิ้ม ไม่ถามว่าซูหมิงเห็นด้วยหรือไม่ หมุนตัวขึ้นไปบนเมฆขาวก่อนลอยขึ้นฟ้า ชายเสื้อปลิวไสว ค่อยๆ หายลับไป
ซูหมิงขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจนางเลยจริงๆ จนกระทั่งนางหายลับไปจากขอบฟ้า เขาเงียบงันอยู่ชั่วครู่ มองศพของเหยียนก่วงแวบหนึ่ง ก่อนพลิกศพไปมาเพื่อหาสิ่งของ จากนั้นเก็บทวนยาวสีฟ้าแล้วห้อเหยียดจากไปด้วยความเร็ว
หนึ่งชั่วยามต่อมา ณ ที่ลับตาคนภายในเทือกเขา
ซูหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิ ความเจ็บปวดตรงหน้าอกรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ยามนี้หลับตานั่งฌานสมาธิ ใช้โอสถแดนใต้เพื่อรักษา เขาต้องฟื้นฟูร่างกายกลับมาให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นแล้วเขาอาจเป็นอันตรายได้
ณ แดนปิดด่านฝึกพลังของบรรพบุรุษเขาหาน ด้านบนยังคงเป็นท้องฟ้าดาวทอประกายผืนนั้น ไม่มียามกลางวันไปชั่วนิรันดร์ ทว่าก็มิได้มืดทึบมากนัก ในสายตาของนักรบหมาน ไม่ต่างกับยามกลางวันสักเท่าไหร่
หลายชั่วยามต่อมาซูหมิงตื่นจากสมาธิ พ่นลมหายใจ ใบหน้าภายใต้หน้ากากแม้ขาวซีด ทว่าร่างกายฟื้นฟูกลับมามากกว่าครึ่ง จุดที่อาการสาหัสมากที่สุดคือ หัวใจ
ด้วยเคล็ดวิชาหมานของจ้าวเผ่าเหยียนฉือ หากมิใช่เพราะแผ่นหินลึกลับช่วยเอาไว้ เกรงว่าหัวใจของซูหมิงคงไม่อาจต้านทานเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายจนแหลกสลายกลายเป็นเศษเนื้อ ยามนี้แม้กล่าวว่าฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อยทว่าก็ยังมีความรู้สึกเจ็บอยู่
เขานั่งขัดสมาธิอยู่อย่างนั้น มือขวากดไปตรงระหว่างคิ้วของหน้ากาก พบว่ามีแสงดำขยับวูบวาบ กระบี่เล็กลอยออกมาอยู่ในกำมือตรงหน้า ด้านบนมีจุดแดงสามจุดกัดเซาะตัวกระบี่ ทำให้ไอกระบี่ของมันสกปรกอานุภาพลดลงไปมาก
“ผู้แข็งแกร่งชำระล้างตอนกลาง…” ซูหมิงพึมพำ ใช้มือซ้ายเช็ดจุดแดงบนตัวกระบี่ ผ่านไปนานก็ต้องถอนหายใจยาวเพราะลบไม่ออก
ขณะตกอยู่ในห้วงความคิด ซูหมิงพลันจิตใจสั่นไหว ภายในเคล็ดวิชาตราประทับของเขา สัมผัสได้ว่ามีคนใกล้เข้ามา
“เป็นเขา!” ซูหมิงหรี่ตาลง
ด้านนอกเทือกเขา ยามนี้โดยรอบเงียบสงัด ตงฟางหวามีสีหน้าตื่นตัว ห้อเหยียดไปเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง บนตัวเขามีบาดแผลหลายจุด เสื้อคลุมถูกย้อมเป็นสีแดง ใบหน้าขาวซีด หอบหายใจแรง ขณะห้อเหยียดไม่หันกลับไปมองด้านหลัง นัยน์ตาฉายแววตื่นกลัว
“ไอ้สถานที่บ้า!! ไม่อยากเชื่อว่าเผ่าเหยียนฉือจะเข้ามาเยอะขนาดนี้…เฮ้อ ครั้งนี้เกือบตาย ดีที่หาสมุนไพรมาได้บ้าง น่าจะได้รับการคุ้มกันแล้ว” ตงฟางหวาหัวเราะแห้งๆ เดินหน้าต่อด้วยความเร็ว
ขณะกำลังห้อเหยียด พลันมีน้ำเสียงสงบนิ่งดังมาจากด้านข้าง
“สหายตงฟาง”
“ใคร!” ตงฟางหวาสีหน้าเปลี่ยน ขณะกล่าวยังคงห้อเหยียดต่อไปอีกหลายก้าวกว่าจะได้ยินเสียงเมื่อครู่ เกิดความรู้สึกคุ้นเล็กน้อย
“สหายโม่?” ตงฟางหวาเหม่อไปครู่หนึ่ง พลันชะงักฝีเท้า ทว่าสีหน้ากลับตื่นตัวมากขึ้น มองไปรอบๆ ก่อนเพ่งสายตามองเงาคนที่กำลังเดินเข้ามาอยู่ไกลๆ
ซูหมิงเดินเข้ามาทางตงฟางหวาอย่างเชื่องช้าแล้วหยุดอยู่ในระยะสิบจั้ง มองชายชราสภาพจนตรอกในยามนี้ เห็นได้ชัดว่าหลังจากอีกฝ่ายเข้ามาแล้ว ต้องเผชิญกับปัญหาตลอดเวลา
ตงฟางหวาเห็นใบหน้าซูหมิงชัดเจนแล้วจึงถอนหายใจโล่งอก ใบหน้าเผยรอยยิ้มขมขื่น
“สหายโม่กล่าวอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำเอาข้าตกใจแทบแย่ เป็นที่น่าหัวเราะจริงๆ”
“ไม่หรอก เผ่าเหยียนฉือครอบครองแดนแห่งนี้ไปแล้ว ตอนนี้เป็นอันตรายยิ่งนัก ก่อนหน้านี้แซ่โม่บุ่มบ่ามมากเกินไปเอง” ซูหมิงส่ายหน้า เขาสัมผัสได้ถึงความตื่นกลัวก่อนหน้านี้ของตงฟางหวา
“เหตุใดสหายตงฟางถึงได้อยู่คนเดียว ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้สหายเฉินอยู่กับท่าน” ซูหมิงมองตงฟางหวา กล่าวเรียบๆ
“น้องเฉิน…เฮ้อ เขาถูกสังหารแล้ว สหายโม่ ตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่จะมาพูดคุยกัน พวกเรารีบไปกันก่อนดีกว่า หากเจ้าไม่มีที่ไป จะกลับไปจุดรวมพลพร้อมกับข้าดีหรือไม่ ด้วยขั้นพลังของสหายโม่น่าจะไม่ต้องเหมือนกับข้า ออกมาข้างนอกเพื่อตามหาสมุนไพรแล้วจะได้รับการคุ้มกันจากท่านหนานเทียน” ตงฟางหวารีบกล่าว
“จุดรวมพล? ดี ข้าจะไปกับสหายตงฟาง” ในใจซูหมิงสั่นไหว พยักหน้ารับ ภายใต้การนำทางของตงฟางหวา ทั้งสองคนห้อเหยียดออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
“แขกพิเศษเผ่าบูรพาสงบตายไปมากกว่าครึ่งแล้ว ตอนนี้ที่เหลือรอดอยู่ นอกจากเจ้ากับข้าแล้วยังมีอีกสองคน หนึ่งคือท่านหนานเทียนแขกพิเศษสูงสุดเผ่าบูรพาสงบ และอีกคนคือโฉ่วนู่ เขามีนิสัยฉุนเฉียว เป็นผู้ติดตามของท่านหนานเทียน และเป็นแขกพิเศษของเผ่าบูรพาสงบ ข้ากับน้องเฉินไปจุดรวมพล ทว่าพบกับอันตรายที่นั่น น้องเฉินตายตก ส่วนข้าได้โฉ่วนู่ช่วยชีวิตเอาไว้” ขณะเดินทาง ตงฟางหวากล่าวเสียงเบา เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ซูหมิงฟัง
