ตอนที่ 153 ท่านโม่ซู
“ท่านหนานเทียนบาดเจ็บต้องการสมุนไพรในการรักษา โฉ่วนู่ต้องคุ้มกันท่านหนานเทียนเลยแยกตัวมามิได้ ที่เขาช่วยชีวิตข้าก็เพื่อให้ข้าหาสมุนไพรแทนเขา เขารับปากข้า หากข้าหาสมุนไพรมาได้มากพอ เขาก็จะพาข้าไปพบท่านหนานเทียน อีกทั้งยังสัญญาว่าหลังจากท่านหนานเทียนฟื้นฟูร่างกายกลับมา จะคุ้มกันข้าออกไปจากนี่”
ตงฟางหวากล่าวเสียงเบา เขาทราบดีว่าขั้นพลังของซูหมิงลึกล้ำ ยามนี้อยู่ในสถานที่อันตรายเช่นนี้ จึงคิดติดตามและบอกทุกอย่างที่ทราบอย่างละเอียด
ซูหมิงพยักหน้า เหตุเพราะวิญญาณเหอเฟิงในร่างกายเขาเสียพลังไปก่อนหน้านี้ ยามนี้จึงหลับใหลและคงอีกนานกว่าจะตื่น ไม่มีความคิดเห็นของเหอเฟิง เขาจึงต้องพึ่งตัวเองทุกอย่าง
ภายใต้การนำทางของตงฟางหวา ทั้งสองคนห้อเหยียดมาสองชั่วยาม ระหว่างทางพบชาวเผ่าเหยียนฉือสามกลุ่ม ทว่าด้วยเคล็ดวิชาตราประทับของซูหมิงจึงทำให้ซ่อนตัวได้ก่อนล่วงหน้า หลังจากหลบหลีกมาแล้วก็มาถึงนอกหุบเขาแห่งหนึ่ง ขนาดหุบเขาไม่ใหญ่นัก ดูห่างไกลผู้คน โดยรอบเงียบสงัดไม่มีเสียงใดๆ
“สหายโม่ คือที่นี่แหละ โฉ่วนู่สัญญากับข้าว่า เมื่อหาสมุนไพรมาได้ก็ให้เรียกเขาตรงนี้ แล้วเขาจะออกมา” ตงฟางหวากล่าวเสียงเบาพร้อมมองซูหมิง สีหน้าถามความเห็น เมื่อซูหมิงพยักหน้า เขาจึงเดินไปยืนอยู่นอกหุบเขา แล้วใช้พลังโลหิตเปล่งเสียงเข้าไปด้านใน
“สหายโฉ่วนู่อยู่หรือไม่?”
หุบเขาเงียบสงัดยิ่งนัก จนกระทั่งผ่านไปครึ่งก้านธูป ซูหมิงสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง จึงพลันหมุนตัวไปด้านหลัง เสียงฝีเท้าดังเข้ามา ดึงความสนใจของตงฟางหวา เขาจึงรีบมองไปทันที
เป็นชายร่างกำยำเดินเข้ามาอยู่ไกลๆ เปลือยท่อนบน ร่างกายประดุจหอคอยเหล็กก้าวเข้ามาอย่างเชื่องช้า ช่วงที่เข้าใกล้ในขอบเขตสิบจั้ง ชายร่างกำยำหยุดฝีเท้า มองซูหมิงอย่างเย็นชา
บุคคลนี้มีใบหน้าอัปลักษณ์ บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ไม่มีจมูกกับริมฝีปากบนล่าง ทำให้ผู้พบเห็นเป็นต้องตกตะลึง เห็นเพียงดวงตาทั้งสองข้างเผยประกายวาววับ
“ตงฟางหวาเจ้าบังอาจนัก กล้าพาคนนอกเข้ามาได้อย่างไร!” เสียงชายร่างกำยำประดุจน้ำหลาก แฝงไว้ด้วยความเย็นเยือก
ตงฟางหวาสีหน้าเปลี่ยน รีบอ้าปากกำลังจะอธิบาย ทว่าชายร่างกำยำกลับไม่สนใจ จ้องซูหมิงพลางชี้นิ้วมือขวา
“เจ้าเป็นใคร!”
“แขกพิเศษบูรพาสงบ โม่ซู” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
“แขกพิเศษบูรพาสงบข้าเคยพบหมดแล้ว เหตุใดไม่เคยเห็นเจ้า” ชายร่างกำยำยิ้มเยาะกล่าว
“สหายโฉ่วนู่อย่าเพิ่งเกิดโทสะ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน สหายโม่เป็นแขกพิเศษคนใหม่ เป็นกลุ่มที่สามเหมือนกับข้า เพียงแต่ก่อนหน้านี้แยกทางกัน วันนี้ข้าพบเขาโดยบังเอิญเลยเชิญกลับมาด้วย เรื่องนี้เป็นข้าเองที่โง่เขลา หวังว่าสหายโฉ่วนู่จะไม่ถือสา” ตงฟางหวารีบกล่าว
“อ้อ? หยิบตราแขกพิเศษของเจ้าออกมา” สีหน้าโฉ่วนู่ดูอ่อนลงเล็กน้อย มองซูหมิงแวบหนึ่ง
ซูหมิงไม่กล่าวให้มากความ สะบัดตราไปทางโฉ่วนู่แล้วพ่นลมหายใจ ตราลอยไปหาโฉ่วนู่ ชายร่างกำยำคว้าเอาไว้ ร่างสั่นไหวเล็กน้อยจากแรงสะบัดของซูหมิง เขาพิจารณาอย่างละเอียดครู่หนึ่ง แววตาดูขบคิด ทว่าไม่นานก็โยนคืนให้ซูหมิง
“ฐานะของเจ้ายังยืนยันไม่ได้ ไปหาสมุนไพรมาสิบชนิดแล้วค่อยมาหาข้าใหม่ ส่วนเจ้าตงฟางหวา ได้สมุนไพรมาแล้วรึ?” โฉ่วนู่มองตงฟางหวา
ตงฟางหวารีบหยิบสมุนไพรหลากชนิดจากอกเสื้อ ลังเลครู่หนึ่งก่อนกล่าวเสียงเบา “หามาได้เพียงเท่านี้ ชาวเผ่าเหยียนฉือมีอยู่มากเกินไป หากหาต่อไปเกรงว่าต้องเผชิญหน้าพวกเขา แม้แต่สมุนไพรต้นเดียวยังนำกลับมามิได้ ข้าเป็นห่วงท่านหนานเทียนเลยกลับมาก่อน”
ชายร่างกำยำเห็นสมุนไพรเหล่านั้นมีไม่มากพอก็ถลึงตามอง ทว่าพอได้ฟังชายชรากล่าวจึงเกิดความลังเลครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า
“เจ้าผ่าน ตามข้ามา มีท่านคอยคุ้มกันเจ้าต้องออกไปได้อย่างปลอดภัยแน่นอน” โฉ่วนู่กล่าว หมุนตัวเดินจากไปไม่สนใจซูหมิงอีก ตงฟางหวามองซูหมิงอย่างลังเลครู่หนึ่ง
“ข้าโม่ซู ไม่ทราบจะขอพบท่านหนานเทียนได้หรือไม่” น้ำเสียงซูหมิงไม่ดังมากนัก กลับแฝงไว้ด้วยการควบคุมความละเอียดอ่อน ดังก้องกังวานก่อเป็นคลื่นเสียงกระจายเป็นวงกว้าง
การกระทำของซูหมิงทำให้ตงฟางหวานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ส่วนโฉ่วนู่พลันหมุนตัวกลับ มองซูหมิงอย่างไม่เป็นมิตร นัยน์ตาฉายแววดุร้าย
“หุบปาก หากไม่ไสหัวไปภายในสามลมหายใจ วันนี้เจ้า…” โฉ่วนู่ยังกล่าวไม่จบ น้ำเสียงอ่อนนุ่มพลันดังแว่วมาจากไกลๆ ตัดบทคำพูดของเขา
“โฉ่วเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาทกับท่านโม่ซู”
“มีแขกคนสำคัญมาหา แซ่หนานย่อมอยากออกไปพบ เพียงแต่ตอนนี้แซ่หนานกำลังรักษาตัว ไม่อาจออกไปต้อนรับด้วยตัวเองได้ หวังว่าสหายโม่จะไม่ถือสา”
“สหายหนานไม่ต้องเกรงใจ” ซูหมิงยิ้ม คำพูดของเขาเมื่อครู่แฝงไว้ด้วยพลังความละเอียดอ่อน นักรบหมานขั้นรวมโลหิตไม่อาจสัมผัส มีเพียงขั้นชำระล้างเท่านั้นถึงจะสังเกตเห็นความต่าง
“โม่ซู…ท่าน?” โฉ่วนู่ตะลึง เขาเข้าใจความหมายแฝงจากในคำพูด ทั้งยังได้ยินน้ำเสียงอ่อนน้อมที่หนานเทียนใช้กับอีกฝ่าย สีหน้าจึงเปลี่ยนทันที จากนั้นประสานมือคารวะซูหมิง
“คำพูดของโฉ่วนู่ก่อนหน้านี้หยาบคาย ท่านโม่ซูโปรดลงโทษด้วย”
“ไม่เป็นไร เจ้านำทางไปเถอะ” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“ขอบคุณท่าน…เชิญ” โฉ่วนู่มีสีหน้าเคารพยิ่งนักต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ยามนี้ค้อมตัวอยู่ด้านข้าง นำทางให้ซูหมิง
ตงฟางหวาสูดลมหายใจเข้าลึก อึ้งงันไปชั่วครู่ สายตาที่มองซูหมิงเต็มไปด้วยความเคารพมากขึ้น เขาคาดเดาขั้นพลังของอีกฝ่ายว่าต้องสูงส่งยิ่งนัก ทว่าไม่คิดเลยว่าเพียงคำพูดเดียว กลับทำให้แขกพิเศษสูงสุดบูรพาสงบตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม
เขารีบตามหลังซูหมิง ดูจากท่าทางของเขาแล้วคงอยากเป็นผู้ติดตาม
ภายใต้การนำทางของโฉ่วนู่ ทั้งสามคนเดินมาไม่ไกลนักก็เข้ามาในหุบเขาอีกแห่งหนึ่งในละแวกใกล้เคียง ซูหมิงเห็นชายวัยกลางคนกำลังนั่งสมาธิอยู่บนพื้นกลางหุบเขา ใบหน้าของเขาหล่อเหลายิ่งนัก สวมเสื้อคลุมขาวสีหน้าสงบนิ่ง ตรงหน้าเขามีกระดูกสัตว์หกชิ้นลอยอยู่และโคจรอย่างช้าๆ
ทุกครั้งที่โคจรครบหนึ่งรอบจะมีหมอกดำขับออกจากทวารทั้งเจ็ดของชายวัยกลางคน และหลั่งไหลเข้าสู่กระดูกหนึ่งชิ้นอย่างรวดเร็ว
ในช่วงที่ซูหมิงเหยียบเข้ามาในหุบเขา ชายวัยกลางคนลืมตาขึ้น ในแววตาของเขาหยั่งลึกขณะมองซูหมิง
ซูหมิงก็มองเขาเช่นกัน ทั้งสองคนประสานสายตา สีหน้าชายวัยกลางคนดูประหลาดใจ เมื่อพิจารณาซูหมิงอย่างละเอียดแล้วจึงยกมือขวาขึ้น กระดูกหกชิ้นรอบตัวเขาพลันตกลงพื้นทีละชิ้น
“ขั้นพลังของสหายโม่แปลกไปเล็กน้อย” ชายวัยกลางคนยิ้ม น้ำเสียงอ่อนนุ่ม พริบตาเดียวก็มองออกแล้วว่าซูหมิงยังมิใช่ผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้าง ทว่าก็ยังคงให้เกียรติอยู่ในระดับเดียวกัน เพราะเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายจากในตัวของซูหมิง อันตรายที่ว่าไม่มีเจตนาร้าย แต่เป็นแรงกระตุ้นระหว่างกันและกัน
คนที่ทำให้เขารู้สึกอันตรายได้ เว้นแต่จะเป็นขั้นรวมโลหิตมหาสมบูรณ์ มิเช่นนั้นแล้วก็มีแต่ขั้นชำระล้างเท่านั้น
ยามนี้โฉ่วนู่รีบเดินเข้ามายืนอยู่ข้างชายวัยกลางคนด้วยความนอบน้อม ก้มหน้าลงเหมือนเป็นผู้ติดตาม ตงฟางหวาลังเลครู่หนึ่ง ไม่ได้ตามเข้าไป แต่ยืนอยู่หลังซูหมิงแล้วก้มหน้าลงด้วยความนอบน้อมเหมือนกับโฉ่วนู่
ซูหมิงยิ้ม นั่งขัดสมาธิลง สายตาพิจารณามองเทียนหนานแขกพิเศษสูงสุดบูรพาสงบคนนี้เช่นกัน ขั้นพลังของบุคคลนี้เหมือนกับเสวียนหลุน ทว่าในตัวเขา ซูหมิงเห็นความสงบนิ่งและสุขุมต่างจากความเหี้ยมโหดของเสวียนหลุนโดยสิ้นเชิง
“สหายหนานรักษาอยู่ตรงนี้ ไม่กลัวว่าพวกเผ่าเหยียนฉือจะมาพบหรือ?” ซูหมิงยิ้มกล่าว
หนานเทียนเผยรอยยิ้ม ส่ายศีรษะกล่าว “คนที่จะมาอย่างไรก็ต้องมา หลบไปหลบมา สู้นั่งอยู่ที่นี่คอยดูว่าเผ่าเหยียนฉือจะมาเมื่อไรไม่ดีกว่าหรือ”
“คิดจะเอาชีวิตของแซ่หนาน พวกเขาก็ต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยน!”
นัยน์ตาหนานเทียนฉายแววเย็นชา ความเย็นชาดังกล่าวไม่เกี่ยวกับซูหมิง แต่เป็นพวกเหยียนฉือ
“ท่านมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ไม่จำเป็นต้องหลบกระมัง” ซูหมิงยิ้ม กล่าวเรียบๆ
หนานเทียนหรี่ตาลงมองซูหมิง ผ่านไปครู่หนึ่งพลันหัวเราะเสียงดัง
“ปิดสหายโม่มิได้จริงๆ ไม่ผิด ข้าไม่ได้บาดเจ็บ…เพียงแต่ศัตรูมีมากกว่าพวกเรา ข้าไม่อยากเข้าไปเกี่ยวด้วยเพราะจะนำปัญหามาก็เท่านั้น ที่สหายโม่มานี่ไม่ใช่เพราะคิดเหมือนกันหรอกรึ”
“กล่าวเช่นนี้ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเกรงว่าที่นี่คงจะคึกคักมากขึ้น” ซูหมิงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนหัวเราะขึ้น
“ได้คุยกับสหายโม่ช่างสุขใจยิ่งนัก ไม่ผิด ข้าตั้งใจเปิดเผยตำแหน่งของข้า มิใช่เพราะหลบซ่อน แต่เพื่อบอกเผ่าเหยียนฉือว่าอย่ามาล่วงเกินข้า แล้วข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของสามชนเผ่า ในขณะเดียวกันก็สื่อถึงแขกพิเศษคนอื่นๆ ว่าถ้ามาที่นี่แล้วจะปลอดภัย แต่ความปลอดภัยจำเป็นต้องมีของแลกเปลี่ยนที่เพียงพอ เดิมทีข้ากำลังรอเสวียนหลุน หากเขามาที่นี่ก็จะปลอดภัยมากขึ้น ทว่าตอนนี้มีสหายโม่อยู่คงไม่เป็นไร ครั้งนี้บางทีพวกเราอาจได้ทรัพยากรกลับไปมากกว่าเดิมก็ได้” หนานเทียนอมยิ้มกล่าวเรียบๆ เขามองตงฟางหวาด้านหลังซูหมิง ก่อนกล่าวต่อ
“ในเมื่อตงฟางเป็นผู้ติดตามสหายโม่ เช่นนั้นเขาก็มีสิทธิ์นั้น แซ่หนานไม่ต้องการของเขาแล้ว หลังจากนี้จะมีคนมาอีก…” หนานเทียนยิ้มมองซูหมิง ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ
ซูหมิงใกล้ชิดกับพวกชำระล้างมาไม่น้อย จึงมิได้มีอาการเหมือนตอนพบจิงหนานแห่งเผ่าร่องลมครั้งแรก ยามนี้เห็นหนานเทียนหยุดกล่าวแล้วมองมาทางตน จึงขบคิดชั่วครู่ก่อนสะบัดมือขวาปล่อยวิญญาณค้างคาวจันทราไร้รูป พวกมันบินวนรอบตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นพายุหมุนไร้เงา
พายุหมุนดังกล่าวโฉ่วนู่กับตงฟางหวาไม่อาจสัมผัส ทว่าหนานเทียนราวกับมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในว่าแข็งแกร่งเทียบเคียงกับชำระล้าง อีกทั้งนี่ยังไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายก่อนหน้านี้
“หากมีเพียงแค่นี้…” หนานเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ในช่วงที่เขาขมวดคิ้วพลันเกิดความเจ็บปวดตรงระหว่างคิ้ว ความเจ็บปวดไม่ทราบสาเหตุทำให้หนานเทียนสีหน้าเปลี่ยน มองลึกเข้าไปในดวงตาของซูหมิง ภายในแฝงไว้ด้วยความรู้สึกราวถูกดูดเข้าไป
ความรู้สึกดังกล่าวหายไปในชั่วพริบตา ซูหมิงหลับตาลง ในตอนที่ลืมตาอีกครั้ง ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ
“เราเสมอกัน สหายโม่คิดว่าอย่างไร?” หนานเทียนตื่นตะลึง อมยิ้มกล่าว เมื่อเห็นซูหมิงพยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าก็เด่นชัดมากขึ้น
“สหายโม่ ไม่ทราบว่าเจ้าสนใจมรดกของบรรพบุรุษเขาหานหรือไม่?”
