Skip to content

สู่วิถีอสุรา 161

ตอนที่ 161 ความทรงจำที่หายไป

“ยึดวิญญาณข้า!” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นพลันกล่าว

เหอเฟิงเหม่อลอย อ้าปากค้าง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกลับมาเป็นปกติ สีหน้าดูตึงเครียดและหวาดกลัว รีบกล่าวอธิบายว่า “นาย…นายท่าน เอ่อ…ข้าน้อย…ข้าน้อยมิได้ทำอะไรผิด ก่อนหน้านี้ข้าน้อยก็ยังช่วยนายท่านต่อสู้อยู่เลย…..ข้า…..”

“ข้าให้เจ้ายึดวิญญาณก็ทำไปเถอะ ไม่ต้องพูดมาก!” ซูหมิงมองเหอเฟิงอย่างเย็นชา สีหน้าเขาราวกับเย็นเยือก ทว่าความจริงแล้วแอบสังเกตปฏิกิริยาของเหอเฟิงอยู่

เหอเฟิงยังคงสับสน ยิ้มเฝื่อนมองซูหมิง ลังเลครู่หนึ่งก่อนคุกเข่าลงกับพื้น ถึงไม่มีน้ำตา ทว่าแววตายังคงเป็นประกายวาว

“นายท่าน ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยสำนึกผิดแล้วจริงๆ นายท่านให้อภัยข้าอีกครั้งเถอะ ข้าจะไม่ทำผิดอีกแล้ว”

ดวงตาซูหมิงเป็นประกาย เขาสัมผัสได้ถึงความเครียดและหวาดกลัวผ่านการเชื่อมต่อกับกายวิญญาณเหอเฟิง ในนั้นไม่มีความปีติยินดี

“นายท่าน ข้าทำไม่ได้ หากข้าน้อยยึดวิญญาณนายท่าน ก็เท่ากับนายท่านจะถูกลบหายไป ข้า….ข้า…..หากท่านหายไป ข้าก็จะตายไปด้วย นี่เท่ากับการสังหารตัวเองชัดๆ…” เหอเฟิงไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

“ไม่ได้ให้เจ้ายึดวิญญาณจนสมบูรณ์ ตอนข้าบอกให้หยุด เจ้าก็หยุด”

ซูหมิงกล่าวเรียบๆ เรื่องนี้สำคัญกับเขามาก เป็นการตัดสินใจว่าจะเข้าไปพบบรรพบุรุษเขาหานดีหรือไม่

เขาจำเป็นต้องเข้าใจขั้นตอนในการยึดวิญญาณ ดูจากตรงนี้ว่าจะหาวิธีสร้างความมั่นใจให้ตัวเองได้อย่างไรบ้าง ทำให้ตนเข้าใจระดับหนึ่งถึงจะกล้าลงเดิมพัน ดังนั้นจึงเลือกเหอเฟิงโดยพิจารณาแล้วอย่างละเอียด

“นายท่านข้าไม่เคยยึดวิญญาณมาก่อน ทราบเพียงแค่วิธี…ท่าน…ท่านมั่นใจแล้วรึ?”

เหอเฟิงลังเลครู่หนึ่ง เห็นซูหมิงพยักหน้า จึงกัดฟันมิกล้าคัดค้าน กายวิญญาณเคลื่อนไหวกลายเป็นแสงอ่อนตรงเข้าไปทางระหว่างคิ้วซูหมิง ในช่วงที่กระทบกับหน้าผาก แสงอ่อนขยับวูบวาบดุจหลอมรวมเข้าไปด้านใน

ซูหมิงตัวสั่น ค่อยๆ หลับตาลง

“นายท่าน….นายท่าน…” เสียงเรียกดังก้องในความคิด เขาลืมตาขึ้น มันเป็นโลกหมอกขมุกขมัว จุดที่เขาอยู่มีขอบเขตไม่ถึงสิบจั้ง เป็นพื้นที่โล่ง ด้านนอกเป็นหมอกเคลื่อนตัว มีเสียงฟ้าร้องดังกังวาน

“นี่เป็นความคิดของนายท่าน และเป็นจุดแรกที่จะปรากฏขณะทำการยึดวิญญาณ” เหอเฟิงกล่าวอย่างระมัดระวัง ซูหมิงหันกลับไปมอง เขาเห็นตัวเองอยู่ด้านข้าง รวมถึงกายวิญญาณเหอเฟิง

กายวิญญาณเขาปล่อยแรงกดดัน ทำให้ซูหมิงรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย เขาก้มหน้ามองร่างกายของตัวเอง นิ่งอึ้งไปชั่วครู่

เขาในยามนี้ไม่มีร่างกาย เป็นเพียงกลุ่มแสงอ่อนเบาบาง เพียงแต่ส่วนลึกในแสงอ่อนมีเส้นเชื่อมกับกายวิญญาณเหอเฟิง ทำให้ซูหมิงมีความรู้สึกว่า เพียงแค่ความคิดตนเคลื่อนไหวเหอเฟิงก็จะตายทันที

นอกจากเส้นนี้แล้ว ซูหมิงยังเห็นวัตถุอีกสิ่งหนึ่ง มันอยู่ในกลุ่มแสงอ่อนเบาบางของเขา เลือนรางเล็กน้อย ต่อให้เป็นตัวซูหมิงเองก็ต้องสังเกตอย่างละเอียดถึงจะเห็น

“นี่คือ…” ซูหมิงมองไป เขาเพ่งสมาธิ เกิดความรู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปในแสงอ่อนทันที ก่อนถูกดึงไปที่วัตถุเลือนรางข้างในกาย

มันเป็นหินสีดำ โดยรอบมีแสงอ่อนปกคลุม ดังนั้นจึงมองเห็นจากข้างนอกไม่ชัด

“เป็นมัน…” ในช่วงที่ซูหมิงมองหินก้อนนั้น จิตใจเขาสั่นไหว ทำให้แสงอ่อนจางตัวเขาขยับวูบวาบ เหอเฟิงที่อยู่ด้านข้างพลันตกใจสะดุ้ง

เหอเฟิงดูหวาดกลัวยิ่งนัก เขากลัวว่าซูหมิงจะไปแตะโดนเส้นนั้นในกลุ่มวิญญาณของเขา ทำให้ตัวเขาตายลง นี่มันเสียเปรียบเกินไปแล้ว!

ซูหมิงพิจารณาหินดังกล่าว มันอยู่กับตัวเขามานานหลายปี อยู่ตรงคอเขามาโดยตลอด ไม่คิดเลยว่าจะพบมันที่นี่

เขาลังเลครู่หนึ่ง ก่อนลองเข้าใกล้อีกครั้ง ทว่าในช่วงที่เขาแตะหินก้อนนั้น!

‘พี่ชาย…พี่ชาย…’

‘พี่ชาย….ข้าสัมผัสได้แล้ว…..พี่ชาย…..’ เสียงสตรีคุ้นเคยดังกังวานเด่นชัดในความคิด ยังผลให้เขาตัวสั่นเทา

เสียงนี้เหมือนฝังอยู่ในใจเขามานานแสนนาน ไม่อาจทำลาย ไม่อาจลบเลือน ทำให้เขารู้สึกสับสนตลอดในความฝัน ทว่ายามนี้น้ำเสียงกลับเด่นชัดราวกับอยู่ตรงหน้า

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ซูหมิงคืนสติกลับมาเป็นปกติ ออกห่างจากก้อนหินในแสงอ่อนแล้วเงียบขรึมอยู่นาน

“นายท่าน…..” เหอเฟิงหวาดหวั่นยิ่งนัก ยามนี้ถามอย่างระวัง

“เริ่มเถอะ” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“ขอรับนายท่าน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเข้ามาในความคิดคนอื่นเหมือนกัน ทว่าความคิดของนายท่านไม่ค่อยเหมือนกับของข้า เหตุใดถึงมีหมอกมากขนาดนี้…”

เหอเฟิงมองไปรอบตัว กลัวว่าซูหมิงจะเข้าใจผิด เขาลังเลใจพักหนึ่งจึงมองซูหมิง

“นายท่าน การยึดวิญญาณแท้จริงแล้วง่ายมาก ข้าแค่กลืนกลุ่มวิญญาณของคนที่ข้าจะยึดเท่านั้น……แต่นายท่านวางใจ ข้าน้อยมิกล้ากลืน ดังนั้นข้าจะแค่หลอมรวมเฉยๆ ก็มีผลเหมือนกัน…..”

“ดี” ซูหมิงพยักหน้า

“ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยไม่เกรงใจแล้ว” เหอเฟิงกัดฟัน

กายวิญญาณตรงเข้าหาซูหมิง เพียงแต่ท่าทางของเขาดูอ่อนน้อมไม่เหมือนจะมายึดวิญญาณแม้แต่น้อย ในช่วงที่กายวิญญาณเหอเฟิงเข้าใกล้และกระทบกันอย่างรวดเร็ว เหอเฟิงตัวสั่นเทา ซูหมิงพลันตื่นตะลึง

เขารู้สึกเหมือนมีสายฟ้าผ่าลงในความคิด จากนั้นหมอกรอบตัวพลันไหลเชี่ยวกรากอย่างรุนแรง เกิดเป็นเสียงดังสนั่น ซูหมิงกับกายวิญญาณเหอเฟิงหลอมรวมกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหนึ่ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คงมิใช่เหอเฟิงและซูหมิงอีก แต่เป็นจิตสำนึกของสองคนรวมเข้าด้วยกัน

ซูหมิงรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอลง ขณะหลอมรวมเหมือนจะหายไปได้ตลอดเวลา ทว่าเขาในยามนี้กลับไม่ใส่ใจ แต่จ้องไปยังหมอกด้านนอก เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าขณะหมอกด้านนอกกำลังไหลเชี่ยวกรากไม่หยุด มีส่วนหนึ่งเบาบางและค่อยๆ หายไปมากกว่าครึ่ง ภายใต้หมอกมีภาพเคลื่อนไหวและความทรงจำซ่อนอยู่

เขาเห็นภาพตอนหนานเทียนเข้ามาในเส้นทางลับพร้อมกัน เห็นตนเองเดินอยู่บนยอดเขาบูรพาสงบ เห็นตนเองกำลังหลับใหลอยู่บนยอดเขาอ้างว้าง ท้องฟ้ามีจันทร์โลหิต ความทรงจำประดุจสายน้ำ ค่อยๆ หยดลงตรงหน้าซูหมิง

เขาเห็นตัวเขารวมกับเหอเฟิง เห็นตัวเขาสู้กับหานเฟยจื่อ เห็นตัวเขากำลังนั่งฌานอย่างสงบนิ่ง สัมผัสได้ว่าเสวียนหลุนกำลังล่าสังหารเหอเฟิง เขาเห็นโซ่เขาหานแห่งเมืองเขาหาน เห็นฟางมู่นำสมุนไพรมาให้ เห็นตนเองไปจับตัวฟางมู่มาหลังจากรักษาอาการบาดเจ็บจนหายดีแล้ว……

คำทรงจำย้อนกลับไม่หยุด จนกระทั่งภายในภาพประดุจสายน้ำเหล่านั้นเป็นช่วงที่ซูหมิงยังคงนั่งรักษาบาดแผลอยู่ภายในถ้ำ ไม่เคลื่อนไหว

“นายท่าน……ข้ายืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว……หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะรวมเข้าด้วยกันจริงๆ!” เสียงเหอเฟิงดังก้องในความคิดซูหมิงด้วยความร้อนรน

“อีกอย่าง ในกลุ่มวิญญาณของท่านมีอะไรบางอย่าง! ยิ่งข้าหลอมรวมยิ่งถูกต่อต้าน นี่ นี่มันคืออะไร….มัน…..มันกำลังดูดข้า…อ๊าก…” น้ำเสียงเหอเฟิงพลันตื่นกลัว ราวกับพบเจอเรื่องน่าสะพรึงและเหลือเชื่อ

ซูหมิงตกตะลึง เขาสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวของเหอเฟิง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบหินก้อนนั้นอยู่ในกลุ่มวิญญาณ ไม่อยากเชื่อว่ามันจะมีแรงดึงดูดมหาศาลขนาดนั้น สิ่งที่ดูดมิใช่ตัวเขา แต่เป็นเหอเฟิงที่กำลังหลอมรวมกับตัวเขา!

ซูหมิงแบ่งจิตไปยับยั้งแรงดูดของหินก้อนนั้น แม้อ่อนแอทว่าก็ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ส่งเข้าไปในกายวิญญาณเหอเฟิง

“ต่อไป”

“นายท่าน…..ข้า…..ข้า”

“ต่อไป!”

เหอเฟิงไม่กล่าวอีก แต่หลอมรวมต่อขณะตัวสั่นด้วยความกลัว ยามนี้ในใจเขารู้สึกเสียใจภายหลังยิ่งนัก ทั้งยังหวาดกลัวถึงขีดสุด เขาไม่ทราบว่าในกลุ่มวิญญาณของซูหมิงมีอะไรกันแน่ ภายในนั้นมอบความรู้สึกน่าสะพรึงอย่างที่เขาไม่เคยพบมาก่อน กระทั่งเขาคาดเดาว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องให้ซูหมิงสังหารเขา ตัวเขาก็จะหายไปเอง

ซูหมิงมองหมอกด้านนอก หมอกเหล่านั้นบางลงเผยให้เห็นความทรงจำ หลังจากผ่านภาพนั่งฌานสมาธิ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ขึ้น มันเป็นยามกลางวันมีฝนตกและสายฟ้าตัดสลับกัน บนน่านฟ้ามีอีแร้งบินวน ตรงกลางภูเขามีคนนอนอยู่ลักษณะเหมือนคนตาย อีแร้งเหล่านั้นลังเลอยู่นาน จนมีตัวหนึ่งบินโฉบลงมาอยู่บนตัวเขา ทันใดนั้น บุคคลที่เหมือนตายแล้วพลันจับคอของอีกแร้งตัวนั้นเอาไว้

เขาลืมตาขึ้น

ภาพเปลี่ยนไปอีกครั้ง ยังคงเป็นฝนตกตัดสลับกับสายฟ้า มิใช่ยามกลางวันแต่เป็นกลางคืน สายฟ้าส่งเสียงดังสนั่น บนอากาศพลันปรากฏรอยแยกขนาดใหญ่ มันเหมือนกำลังอ้าปากกว้าง มีกลิ่นอายมืดทะมึน การปรากฏตัวของมันทำให้สายฝนหยุดนิ่งกลางอากาศ แม้แต่สายฟ้าก็เช่นเดียวกัน

ซูหมิงตึงเครียด ยามนี้เขาลืมทุกสิ่ง มีเพียงภาพตรงหน้าเท่านั้น! ภายในปากรอยแยกทึบ มีเงาคนกำลังตะเกียกตะกายออกมา โลหิตอาบไปทั้งตัว ซูหมิงใช้แสงจากสายฟ้าหยุดนิ่งมองไปยังบุคคลดังกล่าว เขาลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววเศร้าโศก

เขาฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าวตกลงมาจากท้องฟ้า กลิ้งลงมาจากยอดเขา แล้วมาติดอยู่ตรงหินก้อนใหญ่กลางภูเขา นอนแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว

เงาคนนั้นก็คือซูหมิง

“นายท่าน ข้า…ข้า…ไม่ไหวแล้ว!” ภาพในหมอกเบื้องหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง ครั้งนี้มืดทึบเหมือนกับท้องฟ้าที่ไม่ใช่ของโลกใบนี้ ทว่าฉับพลันทันใด เหอเฟิงร้องด้วยความเจ็บปวด หมอกตรงหน้าพลันรวมตัวกันอย่างหนาแน่น ภาพต่างๆ หายไป

พื้นที่โล่งสิบจั้ง ยามนี้กลายเป็นสิบห้าจั้ง กายวิญญาณเหอเฟิงหดอยู่ด้านข้าง ดูอ่อนแรงยิ่งนัก เขามองซูหมิงด้วยแววตาน่าสงสาร แต่ยังคงมีความตื่นกลัว

‘หากทำต่อไป ข้าต้องตายแน่……ดีที่เป็นแค่หลอมรวมไม่ใช่กลืนกิน มิเช่นนั้นแล้ว…..’ เหอเฟิงตัวสั่น แอบคิดในใจ ยามนี้มองซูหมิงโดยไม่รู้ว่าจะกล่าวอย่างไรดี

ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง พยักหน้าให้เหอเฟิง

“ขอบใจเจ้ามาก พวกเรา….ออกไปกันเถอะ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version