ตอนที่ 204 ลายหมานของข้า จิตวิญญาณของข้า
เวลาผ่านไปช้าๆ โดยไม่รู้ตัว ซูหมิงนั่งอยู่ในถ้ำ ลืมเรื่องราวทุกอย่างจนหมดสิ้น กระทั่งลืมความคิดอยากเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์ ในหัวเขาเหลือเพียงความทรงจำที่ว่างเปล่า
ความทรงจำนี้ขยายมาตามดวงตาทั้งสองข้าง กลายเป็นรอยยิ้มบางที่มุมปาก ทว่าขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยความเศร้า
เขาแยกไม่ออกว่ามันเป็นความรู้สึกอย่างไร ใช้มือขวาวาดต้นไม้ใบหญ้าใต้ภูเขาทมิฬตามความทรงจำทีละเส้นๆ และยังมีเรือนพักที่คุ้นเคยหลายแห่ง รวมถึงรั้วไม้
“ลายหมานของข้า จิตวิญญาณของข้า…” ซูหมิงกล่าวพึมพำเบาๆ บีบเค้นโลหิตข้นออกมาจากปลายนิ้วมือแล้ววาดต่อบนตัว
ภูเขาทมิฬ ชนเผ่า ต้นไม้ เรือนพัก…และยังมีกองเพลิงที่ราวกับกำลังลุกโชติช่วง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนงดงาม เพียงแต่ชนเผ่าไม่มีเงาคน มีแต่ความเงียบเหงา
วันเวลาแต่ละวันผ่านไป ภูเขาทมิฬและชนเผ่าในภาพลายโลหิตบนตัวซูหมิงค่อยๆ สมบูรณ์ หมอกแดงหลั่งทะลักออกมาทั้งในและนอกร่างกาย แล้วซึมเข้าไปในลวดลายอย่างต่อเนื่อง
ถึงท้ายที่สุด พลังขั้นชำระล้างทั้งหมดในร่างกายเขากลายเป็นหมอกแดง เมื่อหลอมรวมกับลายหมานแล้ว ลวดลายที่อัดแน่นครึ่งท่อนบนของเขาพลันเหมือนของจริงดุจมีจิตวิญญาณ
ภูเขาด้านบน หญ้า เรือนพัก ทุกสิ่งทุกอย่าง เวลานี้ปรากฏบนตัวซูหมิงอย่างชัดเจน ลักษณะเป็นภาพจำนวนมากกลายเป็นลวดลายของซูหมิง!
ใช้บ้านเกิดเป็นลวดลาย!
ซูหมิงในยามนี้ไม่ทราบเลยว่าลายที่ซับซ้อนเช่นนี้หายากยิ่งในเผ่าหมาน มันไม่อยู่ในกลุ่มลายฟ้าดินโลกสามชนิดเก้าระดับ หากเทียนเสียจื่อยังไม่ไป เขาจะต้องตื่นตะลึงอย่างแน่นอน
ลวดลายซับซ้อนแบบนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มลายซับซ้อน ชั่วชีวิตนี้ยากจะทะลวงพลังและกลายเป็นที่เย้ยเยาะ ทว่าหากทะลวงขั้นพลังได้ พลังที่ปะทุออกมาจะน่าตกใจอย่างยิ่ง
หลายวันต่อมา ซูหมิงหยุดนิ้วชี้มือขวา เขาลืมตาอีกครั้งแล้วค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น พลังชำระล้างพลันหลั่งทะลักแผ่กระจายไปทั้งตัว กลิ่นอายพลังที่แท้จริงปะทุออกมาจากในร่างกายเขา
กลิ่นอายพลังนี้ล้ำหน้าเกินกว่าขั้นรวมโลหิตทั้งหมด กระทั่งสร้างความหวาดกลัวให้กับขั้นชำระล้างได้ เส้นผมของเขาเคลื่อนไหวเองแม้ไร้ลม ขณะนั่งขัดสมาธิ หมอกแดงรอบตัวค่อยๆ หายไป เหลือไว้เพียงลวดลายบ้านเกิดที่อัดแน่นอยู่ครึ่งท่อนบนร่างกาย!
บนใบหน้าของซูหมิงมีภูเขาทมิฬ ตรงหน้าอกมีชนเผ่า ชนเผ่าแผ่ขยายออกรอบตัว ต้นไม้ใบหญ้าชัดเจนไร้ที่เปรียบ
“ขั้นชำระล้างไม่ฝึกฝนเส้นเลือด แต่ฝึกฝนลวดลาย…ใช้ลวดลายเป็นพลัง แสดงพลานุภาพยิ่งใหญ่ของโลหิตหมานในร่างกาย…” ซูหมิงกล่าวพึมพำ เรื่องเกี่ยวกับขั้นชำระล้าง เขาพอได้ฟังมาจากท่านปู่ตั้งแต่วัยเยาว์
“ขั้นชำระล้างสี่ระดับ…แบ่งเป็นตอนต้น ตอนกลาง ตอนปลาย และมหาสมบูรณ์ มหาสมบูรณ์จะทะลวงสู่ขั้นเซ่นไหว้กระดูก ระดับความยากจะมากกว่ารวมโลหิตทะลวงสู่ขั้นชำระล้าง” ซูหมิงใช้มือขวาลูบลายบนใบหน้าของตัวเอง
‘นักรบชำระล้างหลายคนไม่อาจทะลวงขั้นเซ่นไหว้กระดูกไปชั่วชีวิต และไม่อาจหลอมกระดูกหมานเป็นของตัวเอง หลงเหลือเพียงความเสียดายที่ค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา’
ซูหมิงพลันเงยหน้า ดวงตาเปล่งประกาย ลายหมานบนผิวเขาขยับแสงวูบวาบเหมือนเคลื่อนไหวอยู่บนตัว เขาเป็นเพียงชำระล้างตอนต้น กลับมีพลังที่แข็งแกร่งจนทำให้ชำระล้างตอนกลางและตอนปลายตื่นกลัวปะทุออกมา
รอบถ้ำสั่นสะเทือน กระทั่งเวลานี้ยอดเขาด้านบนถ้ำยังสั่นไหว เกิดเป็นเสียงอึกทึกดังสนั่น เศษฝุ่นบนแผ่นดินฟุ้งกระจายเป็นวงกว้าง แผ่ขยายออกไปนอกถ้ำ
‘เส้นเลือดเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเส้นขั้นชำระล้าง…พลังของข้าตอนนี้…’ ซูหมิงยกมือขวา ค่อยๆ กำไว้ตรงหน้า
‘ไม่รู้ว่าหากเทียบกับชำระล้างตอนปลายแล้วยังขาดอีกเท่าไร…’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก คลายมือขวาออกแล้วสะบัดตรงหน้า พลันเกิดเสียงระฆังดังกึกก้องทุกสารทิศ ก่อนพบว่าในมือเขาปรากฏระฆังโบราณขนาดเท่าฝ่ามือ!
มันคือระฆังเขาหาน!
ซูหมิงมองระฆังใบนี้ ยิ้มหยันที่มุมปาก
‘ซือหม่าซิ่น ด้วยขั้นพลังของข้ากับสมบัติชิ้นนี้แล้ว ระหว่างข้ากับเจ้ายังห่างกันอีกเท่าไร…’ ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อเก็บระฆังเขาหานก่อนทะยานไปด้านหน้า ประตูถ้ำพลันระเบิดกระจาย กลายเป็นเศษหินกระเด็นกระดอนจำนวนมาก ก่อนเงาร่างของเขาจะเดินออกมาอย่างสงบนิ่ง
ด้านหลังเป็นกระบี่เล็กแสงดำกำลังพุ่งทะยาน มันส่งเสียงร้องกระบี่ราวกับมีความสุข บินวนรอบตัวซูหมิงก่อนขยับวูบเข้าไปในระหว่างคิ้วของเขา กลายเป็นตรากระบี่แอบซ่อนอยู่
ส่วนเหอเฟิงยามนี้ตัวสั่นเทา เดินตามหลังซูหมิงประหนึ่งผู้ติดตาม ในใจเขาตึงเครียดยิ่งนัก เขาเห็นภาพซูหมิงชำระล้างกับตาตัวเอง ความยำเกรงต่อซูหมิงในตอนนี้บรรลุถึงขีดสุดแล้ว
ซูหมิงเดินเหยียบอากาศขึ้นไปทีละก้าวแล้วยืนอยู่กลางฟ้า เขาไม่ต้องโคจรพลังในร่างกาย ทว่าร่างของเขาเหมือนไร้ซึ่งน้ำหนัก คล้ายหลอมรวมเป็นหนึ่งกับท้องฟ้าจนลอยตัวได้อย่างอิสระ
สายลมกลางอากาศรุนแรงยิ่งนัก พาเสียงราวกับสะอื้นไห้ดังแว่วเข้ามา พัดผ่านเส้นผมของเขาและเสื้อดำที่เขากลับมาสวมใหม่อีกครั้งจนสะบัดพลิ้ว
เขามองทอดไกลไปทางเมืองเขาหาน สีหน้าเรียบเฉย ยกมือขวาลูบระหว่างคิ้ว
“ลายหมานของข้ายังขาดอีกเล็กน้อย…” ซูหมิงพึมพำ ช่วงที่เขาวาดลายบ้านเกิดเสร็จก็เข้าใจว่าลวดลายของเขายังไม่สมบูรณ์
‘ชำระล้างฝึกฝนลวดลาย เมื่อลวดลายของข้าสมบูรณ์มากที่สุด ตอนนั้นขั้นชำระล้างตอนต้นของข้าจะทะลวงสู่ชำระล้างมหาสมบูรณ์!’ ซูหมิงลดมือขวาลงจากระหว่างคิ้ว ลายภูเขาทมิฬบนใบหน้าค่อยๆ หายไป รวมถึงลายบ้านเกิดใต้อาภรณ์ของเขาก็เลือนหายเช่นกัน
นักรบขั้นชำระล้าง เว้นแต่จะแสดงพลังอย่างเต็มที่ มิเช่นนั้นลายหมานจะไม่ปรากฏโดยง่าย
‘เรื่องของลายหมานเอาไว้ก่อน ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์และตามหาแผนที่กลับบ้าน!’ นัยน์ตาเป็นประกายกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง หันหน้ากลับไปมองเหอเฟิง
เหอเฟิงเห็นซูหมิงมองก็พลันตัวสั่นเทา สีหน้าประจบสอพลอ รีบโค้งตัวกล่าวเสียงดัง
“ขอแสดงความยินดีกับนายท่านที่ทะลวงสู่ขั้นชำระล้างและได้วาดลายหมาน พรสวรรค์ของนายท่านไม่ธรรมดา สติปัญญาหลักแหลม สง่าผ่าเผย
เพียงมองแวบแรกก็ทราบแล้วว่าเป็นคนมองการณ์ไกล ภายภาคหน้าจะต้องรุ่งโรจน์อย่างก้าวกระโดดแน่นอน และ…”
เหอเฟิงยังไม่คุ้นชินกับการกล่าวคำพวกนี้ บางคำพูดจึงยังไม่ค่อยดีสักเท่าไร ทว่าก็เพียงพอจะมองเห็นถึงความหวาดกลัวของเขาต่อซูหมิง ต่างจากตอนพบกันแรกๆ
แรงกดดันของพลังทำให้ความคิดทุกอย่างของเขาถูกควบคุม โดยเฉพาะขณะกล่าว เมื่อเห็นซูหมิงขมวดคิ้วเขาจึงรีบหุบปากทันที กลายเป็นท่าทางสะท้อนใจแทน ขณะกำลังจะเปลี่ยนท่าทางอีกแบบเพื่อเอาใจต่อ ก็ได้ยินซูหมิงพลันกล่าวขึ้นก่อน
“พอแล้ว กลับมาเถอะ”
เหอเฟิงรีบพยักหน้า สีหน้าจากสะท้อนใจกลายเป็นยกย่อง
ตัวเขากลายเป็นควันดำมุดหายเข้าในร่างกายของซูหมิง เพียงแต่ที่ซูหมิงไม่รู้คือสภาพจิตใจของเหอเฟิงยามนี้หดหู่มากกว่าเดิม
ทว่าความหดหู่นี้มิได้มาจากการที่ซูหมิงแข็งแกร่งขึ้น แต่มาจากตัวเขาเอง
‘เหอเฟิงหนอเหอเฟิง หรือว่าเจ้าลืมความยืดหยุ่นที่เรียนรู้ตอนเยาว์วัยแล้วรึ เรื่องประจบสอพลอนี้ไม่ยากหรอก ข้าต้องฝึกให้ชินกับเรื่องพวกนี้สักหน่อยแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าหนุ่มนี่ดีอกดีใจ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คุยง่ายไปหมด’ เหอเฟิงแอบตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
‘ทว่าตอนนี้ขั้นพลังของเจ้าหนุ่มนี่สูงเกินไป แค่ไม่กี่ปีก็เปลี่ยนไปมากจริงๆ เฮ้อ…จะโทษก็ต้องโทษตัวข้าเองที่ในตอนนั้นหามีตาไม่ หากรู้ว่าขั้นพลังของเขาจะพิสดารขนาดนี้ ตอนนั้นข้าคงไม่ล่วงเกิน…’ เหอเฟิงที่อยู่ในร่างกายของซูหมิง กลุ้มใจเล็กน้อย
‘จะต้องผูกมิตรสักหน่อย ลำพังแค่ประจบน่าจะไม่พอ สติปัญญาของเขาพัฒนาเร็วยิ่งนัก อีกไม่นานข้าก็อาจจะไม่มีประโยชน์กับเขา เดาว่าเขาคงไม่ใจดีปล่อยข้าไปแน่…โดยเฉพาะยิ่งเมื่อพลังของเขาแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ช้าก็เร็วต้องเข้าใจถึงกายวิญญาณเหมือนอย่างข้าแน่นอน หากหลอมมันในของวิเศษ จะทำให้ฤทธิ์ของของวิเศษแข็งแกร่งขึ้น…’ เหอเฟิงนึกถึงตรงนี้ก็พลันเกิดความหวาดกลัว
‘ไม่มีทางเลือกแล้ว ต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เขาเห็นถึงข้อดีของข้าเหอเฟิง…’ ขณะเหอเฟิงกำลังขบคิด ซูหมิงเหยียบอากาศ กลายเป็นสายรุ้งยาวห้อเหยียดไปทางเมืองเขาหาน
ยามนี้เขาเตรียมตัวพร้อมแล้ว ต่อไปต้องกลับเมืองเขาหานและเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์
‘คนที่เห็นรูปร่างหน้าตาแท้จริงของข้าในเมืองเขาหานมีน้อยยิ่งนัก แม้ชำระล้างที่นั่นแต่ข้าก็อำพรางตัวเองมาโดยตลอด ทว่าเผ่าบูรพาสงบน่าจะมีบางคนมองออกว่าข้าคือโม่ซู แต่มันก็ช่วยมิได้’
‘หานชางจื่อเคยบอกว่า สำนักเหมันต์สวรรค์มารับหานเฟยจื่อแค่คนเดียว…เช่นนั้นหากข้าอยากเข้าสำนักก็ต้องสร้างความตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุดอีกครั้งตามแผน!’
ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง สาเหตุที่เขาเลือกข้ามผ่านขั้นชำระล้างในเมืองเขาหาน แท้จริงแล้วก็เพื่อขยายโอกาสในการเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์ตามแผนต่อไป
ขณะกำลังตรึกตรอง ซูหมิงพลันได้ยินเสียงของเหอเฟิงกล่าวด้วยความเคารพ
“นายท่าน จริงๆ แล้วข้าน้อยยังมีถ้ำอีกแห่งหนึ่ง…”
ซูหมิงยังคงทะยานไป ไม่สนใจเหอเฟิง
“อะแฮม นายท่าน ข้าน้อยคิดว่าจะมอบถ้ำนี้ให้เป็นของขวัญอวยพรที่นายท่านทะลวงสู่ชำระล้าง…ภายในถ้ำไม่มีอย่างอื่น ส่วนใหญ่เป็นเหรียญหิน ของพวกนี้ข้าน้อยใช้วิธีต่างๆ ได้มาในช่วงหลายปีมานี้…”
ซูหมิงยังคงไม่สนใจ มองไปทางเมืองเขาหาน และเร่งความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
เหอเฟิงรออยู่ชั่วครู่ เห็นซูหมิงไม่สนใจสักนิด จึงกัดฟันยิ้มเฝื่อน
“นายท่าน ไม่ใช่แค่ถ้ำเดียว แต่มีสอง…ภายในถ้ำสองแห่งนี้ซ่อนเหรียญหินไว้จำนวนมาก…”
“สามแห่ง นายท่าน มีสามแห่ง!”
“สี่แห่ง…นายท่าน ข้าเหลือแค่สี่ถ้ำสุดท้ายจริงๆ ……” เหอเฟิงยิ่งกล่าวยิ่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
“ที่ไหน?” ขณะเดินทาง ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
ได้ยินดังนั้นเหอเฟิงจึงค่อยผ่อนคลายลง ทว่าเกิดความรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย แต่หากคิดจะผูกมิตรก็ต้องเอาใจซูหมิง ดังนั้นเขาจึงรีบบอกตำแหน่งทันที
‘รอเจ้าหนุ่มนี่เห็นเหรียญหินพวกนั้นก่อน จะต้องถามว่าข้าได้มาอย่างไรแน่นอน ถึงตอนนั้นก็จะเป็นเวลาที่ข้าได้แสดงประโยชน์ให้เขาเห็น’ เหอเฟิงขบคิด ค่อยๆ เกิดความลำพองใจ