Skip to content

สู่วิถีอสุรา 207

ตอนที่ 207 สองวัน

เมืองเขาหานในยามค่ำคืน แสงเทียนอ่อนจางบางส่วนวูบไหวท่ามกลางสายลม ตรงแสงเทียนเหล่านั้นจะเห็นได้ว่าเป็นโรงเตี๊ยมหลายต่อหลายแห่งที่ยังมีคนอยู่

ซูหมิงเดินอยู่บนถนนเมืองเขาหาน มองเรือนพักคุ้นตาโดยรอบ และผ่านไปอย่างเงียบๆ

“มาถึงนี่ก็หลายปีมาแล้ว” ซูหมิงพลันชะงักฝีเท้า ตรงหน้าเขาเป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง แขกไม่เยอะนัก ส่วนใหญ่จะนั่งดื่มสุราเพียงลำพัง บ้างครั้งถึงจะมีเสียงสนทนาเล็กน้อย

บนโต๊ะตัวหนึ่งข้างประตู ผู้ดูแลร้านเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าปี กำลังนั่งเท้าคางหลับ

ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกโอบล้อมเมืองเขาหานทั้งในและนอก กลายเป็นความอึดอัดหนักอึ้งอยู่กลางใจของชาวเมืองทุกคน ฉะนั้นในค่ำคืนนี้ ภายในโรงเตี๊ยมจึงยังคงมีคนดื่มสุรา

‘มานี่อีกครั้งแล้ว’ ซูหมิงมองโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เขาจำได้ว่าตอนนั้นมาเมืองเขาหานเป็นครั้งแรก พบเหอเฟิงและหานเฟยจื่อที่นี่

‘ตอนมาก็มาที่นี่ ตอนจะไปก็ยังเป็นที่นี่…’ ซูหมิงยิ้มก่อนตัดสินใจไม่เดินต่อ

ทว่าเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม ภายในยังคงเหมือนในความทรงจำ การมาของเขามิได้ดึงดูดสายตาของคนมากนัก มีเพียงผู้ดูแลร้านที่กำลังหลับราวกับถูกลมยามซูหมิงเดินผ่านปลุกให้ตื่น ลืมตาสะลึมสะลือ มองซูหมิงแวบหนึ่ง

ซูหมิงในยามนี้เป็นหน้าตาแท้จริงของเขา คนที่เคยเห็นมีไม่มาก ต่อให้มีคนเคยเห็นก็ยากจะเชื่อมโยงไปหานักรบขั้นชำระล้างจากรวมโลหิตมหาสมบูรณ์ หรือโม่ซูผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นกันในเมืองเขาหาน

ซูหมิงเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม มายืนข้างโต๊ะที่เขาเคยนั่งแล้วนั่งลง

ไม่นานผู้ดูแลร้านก็เดินหาวเข้ามา ไม่ถามไถ่แต่วางสุราไว้สองเหยือก ยังมีกับแกล้มคู่สุราเล็กน้อย จากนั้นก็เดินกลับไปยังโต๊ะข้างประตู เท้าคางและสัปหงกอีกครั้ง

ซูหมิงหยิบเหยือกสุราขึ้นดื่ม สุรานี้ยังคงเหมือนกับตอนนั้น มีความเผ็ดร้อนในปากเหมือนมีเพลิงไหลลงสู่หน้าอก

โดยรอบเงียบสงบมาก มีเพียงเสียงกรนของผู้ดูแลดังก้อง คนที่เหลือรวมถึงซูหมิงล้วนดื่มสุราอย่างเงียบๆ ในนั้นมีบางคนขมวดคิ้ว สีหน้าไม่ยินยอมแต่ต้องจำใจ

แม้แต่ในโรงเตี๊ยมยังมีความกดดันหนักอึ้ง เหมือนบรรยากาศที่ปกคลุมรอบเมืองเขาหานเวลานี้

ซูหมิงก้มหน้าลงดื่มสุรา ไม่มองคนรอบข้าง ภายในโรงเตี๊ยมยามค่ำคืนไม่มีใครสนใจเขา ล้วนขบคิดแต่เรื่องของตัวเองทั้งสิ้น

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ราวหนึ่งก้านธูป มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก ชายร่างกำยำสองคนสวมเสื้อคลุมฟ้าเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ เมื่อเหยียบเข้ามาในโรงเตี๊ยมแล้วก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะตัวหนึ่ง สีหน้าทะมึนเงียบขรึม

“มีสหายมาดื่มสุราอีกแล้ว เมืองเขาหานหลายวันมานี้เปลี่ยนไปมาก” ข้างโต๊ะห่างจากซูหมิงไม่ไกล เป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อสีฟ้า ถือเหยือกสุราพลางสะอึก เห็นได้ชัดว่าดื่มไปค่อนข้างมาก เขาส่งเสียงหัวเราะเบาๆ เพียงแต่ว่าทุกคนที่นี่มองออกว่านั่นคือการเยาะเย้ยตัวเอง

“สำนักเหมันต์สวรรค์ทำให้ทุกคนผิดหวังจริงๆ ไม่คิดเลย…” ภายในโรงเตี๊ยม ความเงียบก่อนหน้านี้ถูกทลายลง มีอีกคนกล่าวเย้ยเยาะตัวเอง

“น่าผิดหวังจริงๆ ทว่าจะทำอย่างไรได้ ทูตของสำนักเหมันต์สวรรค์ก็บอกแล้วว่าครั้งนี้มารับศิษย์แค่คนเดียวคือหานเฟยจื่อแห่งเหยียนฉือ” หนึ่งในชายหนุ่มสองคนที่เข้ามาทีหลังใช้มือขวาตบโต๊ะแรงๆ

“เถ้าแก่ ยังไม่นำสุรามาอีกรึ!”

การตบพร้อมตะคอกเช่นนี้ ทำให้ผู้ดูแลร้านที่กำลังหลับตกใจสะดุ้ง รีบยกสุรามาทันที

“จะไปลงที่เถ้าแก่เพื่ออะไรกัน เก่งจริงก็ไปหาทูตของสำนักเหมันต์สวรรค์โน่น เหตุใดพวกสำนักเหมันต์สวรรค์ถึงไม่บอกให้ชัดเจนไปเลยว่าครั้งนี้จะไม่รับคนอื่น”

“หึ ไม่ชัดเจนจริงๆ แต่คุณสมบัติการเข้าสำนักที่ประกาศออกมา ทั้งเมืองเขาหานใครจะไปทำได้?” ชายร่างกำยำที่ตบโต๊ะยิ้มเยาะ นัยน์ตาฉายแววจำใจยอมรับ ทว่าตั้งแต่แรกมาจนถึงตอนนี้ ชายสวมเสื้อฟ้าข้างกายเขากลับไม่กล่าว เพียงนั่งอย่างเงียบๆ

“อีกทั้งมันก็แค่คุณสมบัติเท่านั้น ได้คุณสมบัติมาแล้วจะเข้าสำนักได้หรือไม่ก็ต้องดูที่การทดสอบต่อไปของพวกเขา ท้ายที่สุดกลับมาบอกว่าเดิมทีครั้งนี้จะรับเพียงคนเดียวอยู่แล้ว”

“สำนักเหมันต์สวรรรค์ยิ่งใหญ่ อย่างพวกเราคิดจะเข้าสำนักคงไม่มีทางต่อต้านเจตนารมณ์ของเหมันต์สวรรค์ จะทำอย่างไรได้เล่า…” ชายชราสามัญชนดื่มสุราไปเยอะ นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ ยามนี้เงยหน้าขึ้น สีหน้ามึนเมาขณะกล่าวเยาะหยัน

“ข้าได้ยินมาว่าพวกท่านหนานเทียนผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างสามคนร่วมลงนามถึงทูตเหมันต์สวรรค์ ท้ายที่สุดก็ต้องผิดหวังกลับมา ท่านเคอจิ่วซือโกรธมากจนออกจากเมืองเขาหานไป ผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างในเมืองเขาหานตอนนี้เหลือแค่ท่านหนานเทียนกับท่านเหลิ่งอิ้น”

“ทูตเหมันต์สวรรค์ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างยังไม่เห็นอยู่ในสายตา แล้วพวกเราจะเหลืออะไร” เสียงสนทนาดังอื้ออึงในโรงเตี๊ยม หัวข้อสนทนาเกี่ยวกับสำนักเหมันต์สวรรค์ ราวกับทำให้ความรู้สึกโกรธแค้น จำใจยอมรับ และอัดอั้นตันใจของทุกคนค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ซูหมิงนั่งอยู่ตรงมุม ดื่มสุราพลางฟังการสนทนา

‘ที่แท้ช่วงที่ข้าวาดลายหมานเกิดเรื่องขึ้นมากขนาดนี้ แต่การกระทำเช่นนี้ของสำนักเหมันต์สวรรค์ก็ตรงกับการคาดเดาของข้า’ ซูหมิงถือเหยือกสุรา เงยหน้ามองผู้คนที่กำลังสนทนากันอย่างเดือดดาลอยู่ไม่ไกล ก่อนลุกขึ้นยืน

ซูหมิงนำเหยือกสุราวางบนโต๊ะชายสวมเสื้อคลุมทั้งสองคน เมื่อเป็นที่สังเกตเห็นแล้ว จึงกวาดสายตามองชายร่างกำยำที่ยังเงียบมาตลอด ก่อนมองชายที่ตบโต๊ะก่อนหน้านี้

“สหาย ให้ข้านั่งด้วยได้หรือไม่?” ซูหมิงยิ้มกล่าว

ชายร่างกำยำขมวดคิ้วกวาดสายตามองซูหมิง ยามนี้เขากำลังฉุนเฉียว ขณะกำลังจะไล่ สหายที่เงียบมาตลอดข้างกายเขากลับพยักหน้า ชายคนนั้นเห็นสหายพยักหน้าก็พลันตะลึงงันอยู่ชั่วครู่ ทว่าไม่กล่าวสิ่งใด

ซูหมิงอมยิ้มนั่งลง หยิบเหยือกสุราขึ้นมาดื่ม

“ข้ามีข้อสงสัยอยากจะถาม”

“เชิญกล่าว” คนที่กล่าวยังคนเป็นชายร่างกำยำเสื้อคลุมฟ้าที่เพิ่งพยักหน้า น้ำเสียงเขาแหบพร่า นี่เป็นการกล่าวครั้งแรกของเขาที่นี่ คนอื่นคงไม่คิดอะไร ทว่าสหายของเขาหรือชายที่ตบโต๊ะเมื่อครู่กลับมีสีหน้าประหลาดใจ

เขาทราบดีว่าสหายของเขาคนนี้ฐานะสูงส่ง แต่กลับไม่ชอบพูด มีนิสัยเงียบขรึม นิสัยจริงๆ แล้วเป็นคนโอหัง ปกติจะไม่แยแสผู้ใด หากมิใช่เพราะครั้งนี้สหายเขาอัดอั้นตันใจ คงจะไม่มาดื่มสุรากับเขา

“คุณสมบัติที่สำนักเหมันต์สวรรค์ประกาศคือโซ่เขาหานใช่หรือไม่?” ซูหมิงมองชายร่างกำยำเสียงแหบพร่า กล่าวเรียบๆ

“ไม่ใช่ หลังจากท่านแม่ทัพเทพพิชิตโซ่เขาหาน สำนักเหมันต์สวรรค์ก็ส่งทูตมาประกาศคุณสมบัติเข้าสำนัก มิใช่โซ่เขาหานอีกต่อไปแล้ว” ชายร่างกำยำกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบ มองนัยน์ตาของซูหมิง เกิดความเคารพและลังเลเล็กน้อย

“เจ้าเพิ่งมาเมืองเขาหานอย่างนั้นรึ? เหตุใดแม้แต่เรื่องพวกนี้ถึงยังไม่รู้ โซ่เขาหานถูกยกเลิก คุณสมบัติเข้าสำนักเลยถูกกำหนดขึ้นมาใหม่ หากอยากได้คุณสมบัติเข้าสำนักก็ต้องทำเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ เหอะๆ…” คนกล่าวเป็นชายหนุ่มที่อยู่ไม่ไกล เขายกเหยือกดื่มสุรา สีหน้าเย้ยเยาะตัวเอง

“เรื่องนี้พูดเหมือนง่าย แต่มันคือการท้าประลองผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างของเมืองเขาหานและสามชนเผ่าทุกคน ทุกการประลองจำกัดแค่กระบวนท่าเดียว! หากท้าประลองครบทั้งหมดจะมีคุณสมบติเข้าสำนัก ทว่ามันก็แค่คุณสมบัติเท่านั้น จะได้เข้าสำนักหรือไม่ก็ยังต้องดูที่การทดสอบต่อไปของพวกเขา”

“นี่มันใช่การทดสอบที่ไหนกัน เห็นกันอยู่ว่ามันคือการปฏิเสธ! ครั้งนี้สำนักเหมันต์สวรรค์กำหนดเอาไว้แล้วว่าจะรับแค่คนเดียว”

เสียงสนทนาในโรงเตี๊ยมดังมากขึ้น เกี่ยวกับคุณสมบัติเข้าสำนักที่ช่างน่าโมโหของเหมันต์สวรรค์ นอกจากใช้สุราเพื่อระบายแล้วก็ไม่มีวิธีต่อต้านอื่นอีก

“ยังเหลืออีกสองวันสุดท้าย สองวันหลังจากนี้ทูตสำนักเหมันต์สวรรค์จะพา

หานเฟยจื่อกลับ การรับสิทธิ์ในครั้งนี้ก็จะสิ้นสุดลง คิดเข้าสำนักก็ต้องรอไปอีกสิบปี”

“ใช่ว่าจะไม่มีใครทำสำเร็จหรอก!” ชายร่างกำยำพูดน้อยข้างกายซูหมิงพลันกล่าว

“หากท่านแม่ทัพเทพกลับมา เขาต้องทำสำเร็จแน่นอน!”

“เรื่องนี้มันเห็นกันอย่างโจ่งแจ้งอยู่แล้ว เหตุที่สำนักเหมันต์สวรรค์ประกาศไม่ใช้โซ่เขาหานเป็นเกณฑ์เข้าสำนัก นั่นก็เพราะท่านแม่ทัพเทพแน่นอน ต่อให้เขากลับมาก็ต้องเจออุปสรรค”

“นอกจากท่านแม่ทัพเทพแล้ว บางทีท่านอวิ๋นจั้งที่ออกไปปิดด่านฝึกพลังอาจมีโอกาส”

“ยังมีโม่ซู ผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างลึกลับอีกคน หากเขาปรากฏตัวอาจมีโอกาส ทั้งเมืองเขาหานนอกจากสามคนนี้แล้วไม่มีใครทำได้อีก”

ซูหมิงไม่กล่าว แต่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ ดื่มสุราทีละอึกจนกระทั่งท้องฟ้าด้านนอกเริ่มสว่าง ผู้คนส่วนใหญ่ในโรงเตี๊ยมหยุดสนทนา กระทั่งมีบางคนเดินออกไป ชายพูดน้อยข้างซูหมิงสีหน้าลังเลมากขึ้น เขามองซูหมิง เกิดความไม่แน่ใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนยืนขึ้นประสานมือคารวะซูหมิง แล้วออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมกับสหายที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

ภายในโรงเตี๊ยมเวลานี้ นอกจากซูหมิงแล้วยังเหลืออีกสามคน ทว่าทั้งสามคนล้วนเมามายนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ เสียงกรนดังไม่ขาดสาย

‘ขั้นพลังของเขาถึงชำระล้างแล้ว’ ซูหมิงมองเงาแผ่นหลังของชายพูดน้อยที่เพิ่งออกจากโรงเตี๊ยม

ณ ด้านนอกโรงเตี๊ยม ชายร่างกำยำที่ซูหมิงกวาดสายตามองรีบสาวเท้าไว สีหน้าจริงจัง ความลังเลกลายเป็นตื่นตะลึง

“สหายอวิ๋น เจ้าเป็นอะไร? หรือว่าเขาคนนั้นมีบางอย่างแปลกไป?” สหายของเขากล่าวอย่างหนักแน่น

“เงียบก่อน! อย่าเพิ่งพูดตอนนี้ เขา…เขา…” ชายผู้พูดน้อยสูดลมหายใจเข้าลึก หันกลับไปมองในโรงเตี๊ยมด้านหลัง แม้มองไม่เห็นซูหมิง ทว่านัยน์ตากลับเต็มไปด้วยความเคารพ

“เขามิใช่คนที่พวกเราจะล่วงเกินหรือนินทาได้ เมื่อครู่เขาพูดต่อหน้าข้าเพียงประโยคเดียว ทว่ากลับทำให้ข้ารู้สึกตื่นตะลึง แม้แต่พลังโลหิตในร่างกายยังสั่นไหวไม่เสถียร”

“อะไรนะ! เช่นนั้นขั้นพลังของเขา?” ชายร่างกำยำตะลึงงัน สีหน้าพลันเปลี่ยน

“แม้แต่จ้าวหมานสามชนเผ่ายังไม่อาจทำให้ข้ารู้สึกตึงเครียดเช่นนี้ เจ้าว่าเขามีขั้นพลังระดับใด” ชายแซ่อวิ๋นเงียบไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวเรียบๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version