ตอนที่ 208 คน…เหมือนภูเขา
ยามรุ่งอรุณ เมืองเขาหานตื่นขึ้นจากการหลับใหล ผู้คนบนท้องถนนมากขึ้น ทว่ากลับยังคงถูกความหนักอึ้งเข้าปกคลุม ก่อนทูตสำนักเหมันต์สวรรค์จะมา ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยการเฝ้ารอคอย แต่เมื่อมาถึงผลลัพธ์กลับเป็นเช่นนี้
สองวันสุดท้าย อีกสองวันหลังจากนี้ทูตจากเหมันต์สวรรค์จะกลับ เวลาที่มีให้ชาวเมืองเขาหานไม่มากแล้ว ทว่าต่อให้มีเวลามากกว่านี้ นักรบขั้นรวมโลหิตเหล่านี้จะได้สิทธิ์เข้าสำนักที่แสนโหดร้ายทารุณได้อย่างไร
แม้แต่นักรบขั้นชำระล้างยังยากจะทำสำเร็จ เคอจิ่วซือก็โกรธจนออกไปแล้ว คนอื่นๆ จะทำได้อย่างไร เป็นผู้อ่อนแอไม่มีสิทธิ์เลือก ไม่มีสิทธิ์กำหนดกฎระเบียบ ทำได้เพียงดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ภายใต้กฎของผู้แข็งแกร่งเท่านั้น
ยามกลางวัน คนในโรงเตี๊ยมมากขึ้นไม่น้อย แม้กล่าวว่าคึกคักกว่ายามค่ำคืน ทว่าก็ยังต่างจากเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด บ้างนิ่งเงียบ เผชิญหน้ากับความเงียบของสำนักเหมันต์สวรรค์ ไม่อาจอดทนรอให้ผ่านไปอีกสองวัน บางทีสองวันหลังจากนี้ เมื่อทุกอย่างจบลงความอัดอั้นใจอาจค่อยๆ หายไป
ซูหมิงยังคงดื่มสุราอยู่ในโรงเตี๊ยม มองท้องฟ้านอกหน้าต่าง ได้ยินเสียงสนทนาจำใจและโกรธแค้นต่อสำนักเหมันต์สวรรค์เป็นบางครั้ง เขานั่งอยู่นานมาก จากเมื่อคืนวานจนกระทั่งถึงยามเที่ยงของวันนี้ แสงตะวันสว่างจ้าแฝงด้วยความอบอ้าว แผ่กระจายเข้ามาในโรงเตี๊ยม และถูกดื่มไปพร้อมกับสุรา
น้อยนักที่เขาจะมีช่วงเวลาเงียบสงบเช่นนี้ ในความทรงจำของเขา หากไม่นับการฝึกฝน ปิดด่านฝึกพลัง ใช้ชีวิตหลบซ่อนหรือไล่สังหาร ก็มีแค่ช่วงเวลาในภูเขาทมิฬเท่านั้น ตั้งแต่มาแดนอรุณใต้ ความเงียบสงบเช่นนี้หายากยิ่งนัก เขาจึงเห็นถึงคุณค่าของมัน
ซูหมิงนั่งจนท้องฟ้ามืดลงเล็กน้อยและเข้าสู่ยามโพล้เพล้ มีเสียงร้องตกใจดังแว่วมาจากด้านนอก ทั้งยังมีเสียงโครมครามดังมาแต่ไกล ก่อนตามมาด้วยเสียงหัวเราะด้วยความปวดร้าว
“มีคนล้มเหลวอีกแล้ว…ขั้นรวมโลหิตท้าประลองขั้นชำระล้าง มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ทำเช่นนี้…แต่หากไม่ทำเช่นนี้ก็ต้องยอมแพ้”
“ดีที่ท่านหนานเทียนกับท่านเหลิ่งอิ้นสงสารพวกเราคนนอกเขาหาน การประลองช่วงหลายวันมานี้เลยทำให้แค่บาดเจ็บแต่ไม่ถึงตาย”
“แผนการของสำนักเหมันต์สวรรค์ในครั้งนี้เด็ดขาดยิ่งนัก ขนาดท่านหนานเทียนกับท่านเหลิ่งอิ้นยังต้องจำใจยอม เว้นแต่จะออกไปเหมือนท่านเคอจิ่วซือ มิเช่นนั้นพวกเขาก็ต้องเป็นปราการด่านแรกในการทดสอบคุณสมบัติ”
“ทว่าพวกเขาจะทำอย่างไรได้ ต่อให้แกล้งแพ้ก็เท่ากับทำร้ายคนอื่น ผู้แข็งแกร่งสามชนเผ่าไม่มีทางออมมือแน่”
ซูหมิงก้มหน้าดื่มสุรา จนกระทั่งผ่านยามโพล้เพล้กลายเป็นค่ำคืนมิดอีกครั้ง ผู้คนในโรงเตี๊ยมส่วนใหญ่ค่อยๆ สลายตัวเหมือนกับเมื่อคืนวาน มีคนเหลืออยู่ไม่มาก ต่างดื่มสุราด้วยความกลัดกลุ้ม
มีคนที่เป็นเช่นนั้นสองคน พวกเขาอยู่ที่นี่เมื่อคืนวาน คนหนึ่งเป็นชายชรา อีกคนเป็นชายหนุ่มสีหน้ามึนเมา
“สหายอยู่ที่นี่มาทั้งวันแล้ว มา แม้พวกเราไม่รู้จักกัน ทว่าก็ถูกสำนักเหมันต์สวรรค์ทอดทิ้งเหมือนกัน พวกเราดื่ม!” ชายหนุ่มยกเหยือกสุรา เดินมาข้างโต๊ะซูหมิงก่อนยิ้มกล่าว
ซูหมิงยิ้ม ยกเหยือกสุราขึ้นดื่ม
“ข้าหลัวหลิน ไม่ทราบว่าสหายมีนามว่าอะไร?”
“ซูหมิง” ซูหมิงวางเหยือกสุรา นี่เป็นครั้งแรกที่เขากล่าวชื่อของตัวเองในเมืองเขาหาน
“สหายซู ดื่ม!” ชายหนุ่มไม่สนใจ ยกเหยือกสุราแล้วดื่มเข้าไปอึกใหญ่
ไม่นานชายชราที่อยู่ตั้งแต่เมื่อคืนวานก็ถือเหยือกสุราเดินมาเช่นกัน เขามองชายหนุ่มกับซูหมิง หัวเราะเสียงดัง
“เป็นคนร่อนเร่เหมือนกัน หลายวันมานี้ข้าไม่มีใจจะฝึกฝนเลย ดีที่หลังจากพรุ่งนี้ไปก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มอีก นี่เป็นคืนสุดท้าย พวกเรามาดื่มด้วยกันดีหรือไม่?”
ในโรงเตี๊ยมค่ำคืนนี้ สำหรับซูหมิงแล้วมันต่างออกไปยิ่งนัก นอกจากสองคนนี้ที่มาดื่มร่วมโต๊ะแล้ว ชาวเมืองเขาหานคนอื่นๆ ที่มาส่วนใหญ่ต่างทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ในค่ำคืนนี้ไม่มีเสียงนินทาสำนักเหมันต์สวรรค์ มีเพียงกลุ่มชายร่างกำยำที่ผิดหวังร่ำสุราด้วยกัน
ในความรู้สึกของพวกเขา ซูหมิงเป็นคนที่เพิ่งมาเมืองเขาหานแล้วอยากรู้ว่าจะเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์ได้หรือไม่เหมือนกับพวกเขา ไม่มีอะไรต่าง
แม้กล่าวว่าชายหนุ่มนามซูหมิงคนนี้พูดน้อย ทว่ามักเผยรอยยิ้มเสมอ ดื่มไปดื่มมาก็ยิ่งกล้าได้กล้าเสีย ไม่นานนัก ค่ำคืนนี้ทุกคนในโรงเตี๊ยมจึงค่อยๆ ยอมรับการมีตัวตนของเขา
กลางดึก ชายร่างกำยำสวมเสื้อคลุมฟ้าสองคนปรากฏตัวในโรงเตี๊ยม นั่งอยู่โต๊ะข้างซูหมิง เพียงแต่สายตาของชายแซ่อวิ๋นที่มองซูหมิงกลับซ่อนความยำเกรงเอาไว้ลึกๆ ส่วนสหายของเขายิ่งวางไม่ลง มีท่าทีระวังตัวยิ่งนัก แต่เมื่อดื่มนานเข้าก็ค่อยๆ กล่าวเสียงดังขึ้น
ในค่ำคืนนี้เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งฟ้าสาง ผู้คนในโรงเตี๊ยมค่อยๆ เงียบลง
“วันสุดท้ายแล้ว…” ชายชราถือเหยือกเปล่าในมือ สีหน้าห่อเหี่ยว
“ข้ามาเมืองเขาหานสามครั้งแล้ว ทว่าสามครั้งล้วนไม่มีชะตาต้องกับสำนักเหมันต์สวรรค์…ข้าไม่รู้ว่าจะมีครั้งที่สี่หรือไม่ บางที…อาจไม่มีแล้ว” ชายชราหัวเราะอย่างขมขื่น
“ฟ้าสางแล้ว ทูตสำนักเหมันต์สวรรค์น่าจะกลับวันนี้ คืนนี้ข้าจะไม่มาอีกแล้ว จากนี้ไปหากมีดวงชะตาต้องกัน พวกเราต้องได้พบกันอีกแน่นอน” ชายหนุ่มอยากใช้สุราเพื่อหลุดพ้น แต่พูดไปพูดมากลับถอนหายใจ
“น่าเสียดาย จนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นท่านอวิ๋นจั้งปรากฏตัว และยังมีโม่ซูผู้ลึกลับคนนั้นอีก ยามนี้ก็ยังไม่เคยมีใครเห็นใบหน้าแท้จริงของเขา มีเพียงคำเล่าขานว่าขั้นพลังเขาสูงส่งยิ่งนัก แต่น่าเสียดาย…เขาไม่ปรากฏตัว”
ด้านข้างซูหมิง ผู้คนในคืนวันนี้มีสิบกว่าคน เมื่อความเงียบถูกทำลายจึงเกิดเสียงสนทนา ชายสวมเสื้อคลุมฟ้าแซ่อวิ๋นก้มหน้าลง ช่วงที่ได้ยินคนกล่าวถึงชื่ออวิ๋นจั้ง เขาถอนหายใจเบาๆ
สหายของเขาลังเลครู่หนึ่ง ก่อนเดินไปหาเขา
“คนที่ข้าคาดหวังมากที่สุดคือท่านแม่ทัพเทพ…”
“ไม่ผิด หากท่านแม่ทัพเทพกลับมา จะต้องทำให้สำนักเหมันต์สวรรค์ได้รู้ว่าในหมู่คนนอกภูเขาหานอย่างพวกเราก็มีโอรสแห่งสวรรค์เหมือนกัน!”
“ภาพท่านแม่ทัพเทพเผชิญหน้ากับเผ่าผู่เชียง จนถึงตอนนี้ข้ายังจำได้ไม่ลืม ทุกครั้งที่นึกถึงก็อดเลือดร้อนขึ้นมามิได้…น่าเสียดายที่เขาไม่กลับมา”
“ท่านแม่ทัพเทพ ท่านอยู่ที่ใด…” ชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามซูหมิง ยามนี้พลันตะโกนเสียงดังก่อนหัวเราะลั่น ใบหน้ามึนเมาอย่างเห็นได้ชัด บางทีสิ่งที่มอมเมาอาจมิใช่สุรา แต่เป็นตัวเราเองที่อยากมึนเมา
“ท่านแม่ทัพเทพ ท่านอยู่ที่ใด!” ชายชราข้างซูหมิง ยามนี้หัวเราะพร้อมตะโกนเสียงดังเช่นกัน คำพูดของทั้งสองทำให้คนอื่นโดยรอบส่งเสียงหัวเราะพร้อมกัน ในเสียงหัวเราะมีความจำใจยอมรับ มีการเฝ้ารอ ทว่าที่มากกว่าคือความไม่พอใจต่อสำนักเหมันต์สวรรค์ที่ได้ระบายออกไป พวกเขาอยากให้มีคนเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์ แม้ว่าคนคนนั้นมิใช่ตัวเองก็ตาม
พวกเขาอยากให้สำนักเหมันต์สวรรค์ได้รู้ว่า ในกลุ่มคนนอกเมืองเขาหานก็มีโอรสแห่งสวรรค์เหมือนกัน!
“ท่านแม่ทัพเทพ ท่านอยู่ที่ใด!”
“ท่านแม่ทัพเทพ ท่านอยู่ที่ใด!” เสียงตะโกนดังออกจากโรงเตี๊ยม ท่ามกลางแสงตะวันยามรุ่งอรุณ เสียงเปล่งมาจากชายร่างกำยำสิบกว่าคน นั่นคือเสียงตะโกนที่พวกเขาเก็บกดมาตลอดหลายวัน เสียงนั้นดังออกจากโรงเตี๊ยมนี้ไปจนถึงโรงเตี๊ยมใกล้เคียง
ไม่นาน มีเสียงคนเมาสุราหลายคนจากโรงเตี๊ยมอีกแห่งไม่ไกลนักดังขึ้นเช่นกัน ราวกับเกิดเป็นคลื่นเสียง
“ท่านแม่ทัพเทพ ท่านอยู่ที่ใด!”
เมื่อเสียงจากโรงเตี๊ยมหลังที่สองดังขึ้น ไม่นานก็ค่อยๆ ส่งต่อกันไป รุ่งอรุณวันสุดท้ายก่อนทูตเหมันต์สวรรค์จะกลับ เสียงเหล่่านั้นราวลูกคลื่นยักษ์ จุดที่มันผ่านจะเกิดเป็นเสียงร้องเรียกเหมือนๆ กัน คนที่เปล่งเสียงมิใช่คนในโรงเตี๊ยม แต่เป็นคนนอกเมืองเขาหานแทบทุกคนที่นิ่งสงบด้วยความอัดอั้นใจ หลังจากหม่นหมองมาหลายวัน เมื่อได้ยินเสียงนั้นก็ล้วนเข้าร่วมและตะโกนออกมาเช่นกัน
เสียงประดุจลมพายุคลั่งโหมกระหน่ำทั้งเมืองเขาหาน ท้ายที่สุดจึงค่อยๆ สงบลง ซูหมิงเงยหน้ายกเหยือกสุราแล้วดื่มลงไปอึกใหญ่ ก่อนยืนขึ้น
“สหายทุกท่าน ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนสำหรับสองคืนที่ผ่านมา ข้าแซ่ซูมีธุระต้องขอตัวก่อน” ซูหมิงมองกลุ่มคนตรงหน้า ช่วงที่เขามองชายแซ่อวิ๋น เขาเห็นความฮึกเหิมและความคาดหวังในแววตาของอีกฝ่าย
“น้องซู เดินทางปลอดภัย อีกเดี๋ยวข้าจะออกจากเมืองเขาหานแล้ว ที่แบบนี้ข้าจะไม่มาเหยียบอีก!”
“ใช่แล้ว สหายซู เดินทางปลอดภัย!”
“มา สหายซู ข้าขอส่งเจ้า!”
ทุกคนในโรงเตี๊ยมต่างพากันยกเหยือกสุราไปทางซูหมิง ก่อนดื่มลงไปอึกใหญ่ด้วยแววตาเป็นมิตรและท่าทางมึนเมา
ซูหมิงประสานมือคารวะทุกคน ก่อนหมุนตัวเดินไปทางประตูโรงเตี๊ยม จังหวะก้าวของเขาไม่เร็ว ทว่าทุกก้าวกลับมั่นคงยิ่งนัก การจากไปของเขามิได้ดึงดูดสายตาของคนมากนัก มีเพียงชายร่างกำยำแซ่อวิ๋นที่ยืนขึ้นคารวะซูหมิง
“แซ่อวิ๋นยอมแพ้ด้วยใจจริง หวังว่า…ท่านจะทำสำเร็จ!”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนโดยรอบสับสนเล็กน้อย
ช่วงที่มองไป เงาของซูหมิงเดินออกจากประตูใหญ่โรงเตี๊ยมแล้ว ท่ามกลางแสงตะวันรุ่งอรุณ เขาไปเดินทางชั้นสองเมืองเขาหานทีละก้าว ตรงนั้นเป็นเรือนพักของหนานเทียนและเหลิ่งอิ้น
‘ท้าประลองนักรบชำระล้างทุกคน แต่ละคนต้องจบด้วยกระบวนท่าเดียว เรื่องนี้…ไม่ยาก!’ ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง เขาเดินผ่านชั้นสี่ เดินผ่านชั้นสาม จนมาถึง…ชั้นสอง!
บนชั้นสอง ซูหมิงไม่ต้องแผ่ขยายเคล็ดวิชาตราประทับก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังชำระล้างสองชนิด
“หนานเทียน!” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ น้ำเสียงของเขาไม่ดังมากนัก ทว่ากลับกึกก้องชั้นสอง ช่วงที่หนานเทียนได้ยินกลับทำให้เขาที่กำลังนั่งฌานตัวสั่นสะท้าน พลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววตื่นตระหนก
“เป็นใคร!” หนานเทียนพลันยืนขึ้นทะยานออกจากเรือนพัก เพียงแวบแรกก็เห็นเงาคนเสื้อดำยืนเอามือไพล่หลังอยู่นอกเรือกพักห่างไปหนึ่งร้อยจั้ง
คนที่ทะยานออกมาเช่นกันยังมีเหลิ่งอิ้นจากอีกเรือนพักที่ไม่ไกลนัก สีหน้าเขาเคร่งขรึม ยามนี้สาวเท้าไวออกมาจากเรือกพัก ช่วงที่เห็นซูหมิงพลันตื่นตะลึง เกิดความไม่แน่ใจราวกับสิ่งที่เห็นมิใช่คน แต่เป็นยอดเขาน่าตะลึง
คน…เหมือนภูเขา!