Skip to content

สู่วิถีอสุรา 209

ตอนที่ 209 กฎของเจ้า

“สำนักเหมันต์สวรรค์ตั้งกฎ เช่นนั้นข้าก็มาตามกฏ” ซูหมิงมีสีหน้าเรียบเฉยยามมองหนานเทียน

หนานเทียนหัวใจเต้นแรง เหมือนกับเหลิ่งอิ้น ช่วงที่เขามองซูหมิงเกิดความรู้สึกเหมือนเห็นภูเขาสง่า ยอดเขาสูงเสียดเมฆ ให้ความรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลและหายใจติดขัด

“เจ้าเป็นใคร?” หนานเทียนหน้าซีด มองซูหมิงอย่างยากจะเอ่ยปาก ภายใต้สายตาของซูหมิง หนานเทียนรู้สึกเหมือนถูกมองทะลุทุกอย่างราวกับเปลือยกายต่อหน้าอีกฝ่าย

“ซูหมิง” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ

“ซูหมิง?” หนานเทียนตะลึงงัน เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ทว่าความสูงของขั้นพลังบุคคลตรงหน้าทำให้เขาไม่ทันขบคิด

“ข้าต้องลงมือแล้ว” ขณะกล่าว ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าว ช่วงที่เหยียบเท้าลง ทั้งภูเขาหานพลันสั่นสะเทือน

ระลอกคลื่นไร้รูปส่งมาจากแผ่นดิน พริบตาเดียวก็มารวมกันอยู่ใต้ฝ่าเท้าของซูหมิง ทำให้ตรงที่เขาเหยียบสั่นสะเทือนจนเกิดรอยร้าว เกิดเป็นเสียงกึกๆ ขยายเข้าไปหาหนานเทียน

หนานเทียนกำลังจะลอยตัวกลางอากาศ ทว่าทันใดนั้น แผ่นดินรอบตัวเขาพลันถล่มทลายลง เศษหินจำนวนมากม้วนตัวขึ้นหมุนวนรอบตัว

หนานเทียนกระอักโลหิต ตัวสั่นเทามิกล้าขยับแม้แต่น้อย เศษหินหมุนวนรอบตัวประหนึ่งกระบี่หินโอบล้อม ราวกับว่าหากเขาขยับแม้แต่น้อยมันก็จะทะลวงเข้ามา

‘นักรบขั้นชำระล้างลวดลายภูเขา! ไม่อยากเชื่อว่าลายภูเขาธรรมดาจะมีพลังมากขนาดนี้ บุคคลนี้…ขั้นพลังของเขา….’ หนานเทียนหรี่ตาลง เขาทราบดีว่าอีกฝ่ายมิได้มีเจตนาสังหาร และที่สำคัญที่สุดคือยังไม่ลงมือเต็มที่!

“ยอมแพ้หรือไม่” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“หนานเทียน ขอยอมแพ้!” หนานเทียนไม่ลังเลแม้แต่น้อย กล่าวด้วยความหนักแน่น

ซูหมิงพยักหน้ามองเหลิ่งอิ้นที่ยังคงตื่นตะตึง ยามซูหมิงมอง เหลิ่งอิ้นจิตใจสั่นไหว ประสานมือคารวะซูหมิงด้วยสีหน้าเคารพ

“เหลิ่งอิ้น ขอยอมแพ้”

ซูหมิงไม่กล่าวอีก แต่สะบัดแขนเสื้อลอยตัวขึ้นบนท้องฟ้าเมืองเขาหาน การกระทำของเขาพลันดึงดูดสายตาของชาวเมือง และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นที่สนใจของคนในโรงเตี๊ยมเหล่านั้น

“ซูหมิงคนนอกภูเขาหาน ขอท้าประลองนักรบขั้นชำระล้างสามชนเผ่าทั้งหมด!”

น้ำเสียงดุจสายฟ้าดังสนั่นยามรุ่งอรุณ พลันดึงความสนใจของทุกคนในเมืองเขาหาน โดยเฉพาะวันนี้ที่เป็นวันสุดท้ายก่อนสำนักเหมันต์สวรรค์จะกลับ!

“ซูหมิง เขาเป็นใคร?”

“เขาเดินอากาศได้ เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้าง!”

“ในผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างของเมืองเขาหานไม่เห็นเคยได้ยินชื่อซูหมิงมาก่อน!”

ขณะทุกคนกำลังสนทนา ภายในโรงเตี๊ยมที่ซูหมิงเดินออกมา ยามนี้ทุกคนล้วนมองเงาบนท้องฟ้าผ่านหน้าต่างด้วยความตกตะลึง

“เขา…เขาเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้าง!” ชายชราพึมพำ สีหน้าเหลือเชื่อ

“ไม่อยากเชื่อว่าข้าจะดื่มสุรากับผู้แข็งแกร่งชำระล้างมาสองคืน?”

“เขาคือ…น้องเล็กซูรึ?” ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย ก่อนขยี้ตา

ขณะเดียวกับที่เสียงของซูหมิงกึกก้องเมืองเขาหาน บนยอดเขาเหยียนฉือ ชายหญิงจากสำนักเหมันต์สวรรค์กำลังนั่งฌานอยู่ในเรือน ตรงหน้าพวกเขามีคนนั่งอยู่หนึ่งคน นั่นคือหานเฟยจื่อ

“ศิษย์น้องหญิงหานเฟยจื่อ อีกประเดี๋ยวจะเปิดอาคมเคลื่อนย้าย หลังจากพวกเรากลับสำนักเหมันต์สวรรค์แล้ว เจ้าก็จะเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ใหญ่ฝ่ายซ้าย อนาคต…” ชายหนุ่มอมยิ้มกำลังจะกล่าวต่อ ฉับพลันได้ยินเสียงซูหมิงจากด้านนอกจึงขมวดคิ้ว

“มีพวกไม่รู้จักประมานตนมาอีกแล้ว คิดว่าเป็นนักรบชำระล้างแล้วจะเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์ของข้าได้รึ”

“ซูหมิง? ข้าจำได้ว่าในนักรบขั้นชำระล้างเมืองเขาหานไม่มีชื่อนี้ ศิษย์น้องหญิงหานเฟยจื่อ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?” หญิงสาวด้านข้างมีสีหน้าไม่ยินดี ทว่าขณะมองหานเฟยจื่อกลับอ่อนโยน

“ซูหมิง…ไม่เคยได้ยิน” ใบหน้างดงามของหานเฟยจื่อดูขบคิด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงส่ายศีรษะ

“ก็แค่พวกมารับความอัปยศของตัวเองเท่านั้น ไม่ต้องไป…” ชายหนุ่มไม่แยแสคำพูดของซูหมิง ขณะกำลังกล่าวพลันมีเสียงแหบพร่าดังแว่วมาจากด้านนอก

ชายหนุ่มสีหน้าเปลี่ยน กลืนคำพูดลงคอ หญิงสาวข้างกายเขาสีหน้าเปลี่ยนเช่นกัน นางดูประหลาดใจ

“นักรบขั้นชำระล้างทั้งหมดของบูรพาสงบมิต้องการประลอง ขอยอมแพ้…”

ยามเสียงจากยอดเขาบูรพาสงบดังกังวานฟ้าดิน ทั้งเมืองเขาหานเงียบสงัดในช่วงเวลาอันสั้น ก่อนระเบิดเสียงดังเกรียวกราว

“ไม่อยากเชื่อว่าเผ่าบูรพาสงบจะขอยอมแพ้!”

“ซูหมิงเป็นใครกัน ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าจะทำให้เผ่าบูรพาสงบยำเกรง ทั้งๆ ที่จ้าวหมานบูรพาสงบเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างตอนกลาง!”

“หรือว่าวันนี้จะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น จะมีคนได้คุณสมบัติเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์!” ท่ามกลางเสียงสนทนาดังอื้ออึง ทุกสายตาล้วนจับจ้องเงาของซูหมิงกลางอากาศ

ซูหมิงในเวลานี้มิได้สวมหน้ากาก เขาไม่ใช่โม่ซู

มิได้ปิดบังใบหน้า เขาไม่ใช่แม่ทัพเทพ แต่เขาคือตัวเขาเอง!

เรื่องการยอมแพ้ของเผ่าบูรพาสงบ ซูหมิงมิได้แปลกใจนัก จะให้บอกว่าเขาใกล้ชิดกับใครมากที่สุดในเมืองเขาหาน ก็คงต้องบอกว่าเป็นเผ่าบูรพาสงบ และฐานะของเขาก็มีแต่เผ่าบูรพาสงบที่รู้มากที่สุด

ทว่าเผ่าผู่เชียงมิใช่เช่นนั้น หลังจากเผ่าบูรพาสงบยอมแพ้ก็มีเสียงหัวเราะเยาะดังมาจากยอดเขาผู่เชียง ขณะเดียวกันมีเงาคนลากยาวเข้ามาหาซูหมิงกลางอากาศ

ซูหมิงมีสีหน้าเรียบเฉย แทบจะเป็นช่วงที่เงาคนตรงเข้ามา เขาสะบัดมือขวาไปด้านหน้าอย่างไม่แยแส เมื่อสะบัดลงเกิดเสียงอึกทึกดังสนั่น ตรงหน้าซูหมิงปรากฏยอดเขามายาขึ้น เขาลูกนี้นอนเอียงเป็นลักษณะเกลียวหมุนก่อนตรงเข้าใส่เงาคนที่พุ่งเข้ามา

เสียงโครมดังกึกก้อง เงาคนยิ้มเยาะที่ตรงเข้ามาร้องด้วยความเจ็บปวด ช่วงที่ปะทะกับภูเขามายา เขาพลันกระอักโลหิตและกระเด็นถอย

“มาทีละคนมันเสียเวลา เผ่าผู่เชียง พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกัน” ซูหมิงยกมือขวาชี้ขึ้นฟ้า เมฆลมบนอากาศของยอดเขาผู่เชียงเปลี่ยนสี ปรากฏภูเขามายาใหญ่ยักษ์ขึ้นสองยอดเขา ขนาดของมันใหญ่กว่ายอดเขาผู่เชียง จากนั้นเขาจึงกดมือขวาลง สองยอดเขายักษ์ดิ่งลงทันใด

เสียงอึกทึกดังกังวาน ยอดเขาผู่เชียงสั่นไหวอย่างรุนแรง เกิดรอยร้าวจำนวนมาก ชาวเผ่าผู่เชียงหลายคนบนยอดเขาไม่อาจทนรับไหว จึงพากันกระอักโลหิต

ภาพดังกล่าวทำให้คนที่มองเห็นล้วนอ้าปากกว้าง ภูเขายักษ์บนท้องฟ้ายิ่งใหญ่นัก แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ทำให้หายใจติดขัด หลังจากการกดทับของมัน มีเสียงตะโกนดังมาจากยอดเขาผู่เชียง ชายรูปร่างเหมือนภูเขาเนื้อบินตรงเข้ามาทางสองยอดเขายักษ์ที่กำลังกดทับลงมา

เสียงโครมแผ่กระจายทุกสารทิศ วินาทีที่ชายเหมือนภูเขาเนื้อปะทะกับภูเขายักษ์ ตัวเขาสั่นสะท้าน กระอักโลหิตร่างกายพลันผอมลงจนไม่เหมือนภูเขาเนื้ออีก ขณะเดียวกันร่างผอมกลับแลกพลังที่แข็งแกร่งมาให้เขา เขากัดฟันแผดเสียงคำราม ใช้สองมือยันสองยอดเขาเอาไว้ ด้านหลังเขาพลันปรากฏเงามายายักษ์ขึ้น

เงามายานี้มิได้ต่างกับเขาก่อนร่างผอมลงมากนัก เป็นคนราวภูเขาเนื้อกำลังนั่งขัดสมาธิ ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ยืนหยัดได้เพียงไม่กี่ลมหายใจก่อนกระอักโลหิตมาอีกครั้ง ใบหน้าขาวซีดกระเด็นถอย การถอยของเขาทำให้ภูเขายักษ์กดทับลงมา

ยามนี้มีเสียงหึดังมาจากยอดเขาผู่เชียง ชายชราซูบผอมจ้าวหมานผู่เชียงยืนอยู่บนยอดเขา สีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีเรื่องอะไรทำให้เขาตื่นตะลึง เขายกมือขวาแล้วใช้ฝ่ามือกั้นระหว่างภูเขาไว้

“แค่ลายภูเขาเล็กจ้อย กลับกล้ามาอวดดีกับเผ่าผู่เชียงของข้า!” ทว่าเมื่อกล่าวจบ ชายชราตัวซูบผอมพลันเปลี่ยนสีหน้า มีเสียงปะทุดังมาจากมือขวาของเขา เนื้อพลันระเบิดกระจาย

ขณะเดียวกัน บนภูเขามายาปรากฏขึ้นมาอีกหนึ่งยอดเขา!

สามยอดเขากดทับลง ชายชราร่างซูบผอมสีหน้าเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ดูตื่นตระหนกและเหลือเชื่อ เขาถอยหลังหลายก้าว ใช้มือซ้ายกดบนแผ่นดิน

การกดของเขาทำให้ยอดเขาผู่เชียงสั่นสะเทือน มีพลังความตายมหาศาลลอยมาจากใต้ดิน แล้วจึงตรงเข้าใส่ยอดเขาบนท้องฟ้าในลักษณะหมอกดำ

เสียงระเบิดดังสนั่น สามยอดเขาปะทะกับหมอกดำพลังความตาย ระเบิดเป็นเสียงดังสนั่นแก้วหู แผ่กระจายไปทุกสารทิศ ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นล้วนหวาดกลัวจนไม่เป็นสุข

“ยอมแพ้หรือไม่” ท่ามกลางเสียงโครมคราม ซูหมิงยืนอยู่กลางอากาศ สีหน้ายังคงเรียบเฉยขณะกล่าวเบาๆ

“เผ่าผู่เชียง…ขอยอมแพ้…” น้ำเสียงแหบพร่ายากจะเอ่ยดังมาจากยอดเขาผู่เชียงที่ถูกโอบล้อมด้วยหมอก ยามกล่าวประโยคนี้ ภูเขายักษ์บนยอดเขาบิดเบี้ยว ก่อนค่อยๆ เลือนหาย หมอกบนยอดเขาผู่เชียงกระจายหายตามไป เผยให้เห็นจ้าวหมานที่กำลังยืนตัวสั่นเทา มุมปากมีโลหิตรินไหล สายตาที่มองซูหมิงแฝงไว้ด้วยความตื่นตะลึงและหวาดกลัว

‘เขาเป็นใคร! ไม่อยากเชื่อว่าขั้นพลังของเขาจะทำให้ลายภูเขาธรรมดามีพลังน่าสะพรึงเช่นนี้! นี่…นี่ใช่ลายภูเขาธรรมดาที่เกลื่อนกลาดจริงๆ รึ! การมาของทูตเหมันต์สวรรค์ดึงดูดให้ผู้แข็งแกร่งมาเยือน จะปรากฏผู้แข็งแกร่งระดับนี้ก็ถือว่าไม่แปลกนัก ตะ…แต่…ข้ารู้สึกเหมือนเคยเห็นเขามาก่อน…’ จ้าวหมานผู่เชียงสูดลมหายใจด้วยความตะลึง มองซูหมิงบนท้องฟ้าอย่างรู้สึกยำเกรงและสงสัย

ภายในเมืองเขาหาน ยามนี้เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง เสียงสนทนาด้วยความฮึกเหิมและตื่นเต้นราวกับลูกคลื่นยักษ์ ภายในเสียงเหล่านั้นดังมาจากคนตรงประตูโรงเตี๊ยมเด่นชัดมากที่สุด

จนถึงตอนนี้ พวกเขายังไม่อยากเชื่อเลยว่าซูหมิงที่ถูกจับตามองบนท้องฟ้าในเวลานี้ จะเป็นน้องเล็กซูที่เพิ่งนั่งดื่มสุราข้างพวกเขา

“สำนักเหมันต์สวรรค์กำหนดกฎนี้ เช่นนั้นข้าก็มาทำตามกฏ”

ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ ซูหมิงยังคงสงบนิ่ง เขาไม่อยากเปลี่ยนกฎ แต่เบนสายตาไปทางยอดเขาเหยียนฉือ

เขาเห็นว่าบนยอดเขายามนี้มีคนยืนอยู่หลายคน ผู้ที่เด่นตามากที่สุดในนั้นคือชายหญิงตรงหน้าสุด พวกเขาเป็นนักรบขั้นชำระล้าง

“ซูหมิง ขอท้าประลองนักรบขั้นชำระล้างแห่งเผ่าเหยียนฉือทั้งหมด พวกเจ้าจะเข้ามาทีละคนหรือพร้อมกันก็ได้” ซูหมิงกล่าวเนิบนาบ

ยามนี้ทุกคนรวมถึงซูหมิงมิได้สังเกตเลยว่าบนจุดสูงสุดของน่านฟ้ามีคนยืนอยู่ เขากำลังมองผืนแผ่นดิน กำลังมองซูหมิง บุคคลนี้เป็นชายชรา เขาก็คือเทียนเสียจื่อ!

“ลายภูเขา…ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ลายภูเขาธรรมดา….นี่มัน…” เทียนเสียจื่อพึมพำเบาๆ ดวงตาค่อยๆ เปล่งประกาย หัวใจที่ผิดหวังของเขายามนี้กลับมาลุกโชนอีกครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version