ตอนที่ 157 สายตาเย็นชา
ซูหมิงตัวสั่น พลันมีเสียงครึกโครมดังขึ้นในความคิด
เสียงดังกล่าวแหบพร่ายิ่งนัก ราวกับแฝงไว้ด้วยกาลเวลาอันเป็นนิรันดร์ ประดุจเคลื่อนไหวในแม่น้ำสายยาวแห่งกาลเวลามานานหลายปี เสมือนหนึ่งดังก้องจากวิญญาณ
จิตใจซูหมิงสั่นไหวไปชั่วครู่ นัยน์ตาฉายแววสับสนในชั่วพริบตา
น้ำเสียงแหบพร่ากลายเป็นคลื่นเสียงกึกก้องในความคิด แผ่กระจายอยู่รอบตัว ดุจระลอกคลื่นแตกเป็นวงกว้างจากในร่างกายของเขา ทำให้ตัวพลันหยุดชะงัก
‘ในที่สุด…เจ้า…ก็มา…แล้ว…’
‘บรรพบุรุษเขาหาน!’ ซูหมิงสีหน้าเปลี่ยน ดีที่เขาใส่หน้ากากไว้ ยามนี้ก้มหน้าลงจึงไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา เสียงดังนี้กังวานในความคิดไม่หยุด ท้ายที่สุดราวสายฟ้ากึกก้อง ทำให้ใบหน้าเขาขาวซีดเหมือนเข้าไปอยู่ในฝันร้าย
“ท่านโม่ซู?” ข้างกายซูหมิง ตงฟางหวากล่าวด้วยความตึงเครียด เขาเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกติในช่วงที่ซูหมิงเหยียบพื้นสีแดง ซูหมิงคล้ายตัวแข็งทื่อ ยืนนิ่งตรงนั้นไม่ขยับ
“ไม่มีอะไร…..ข้าแค่รู้สึกว่าทางเส้นนี้แปลกดี” ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเดินไปบนทางสีแดง เบื้องหน้าของเขา ยามนี้พวกหนานเทียนหันกลับมามองซูหมิงด้วยความสงสัยเช่นกัน
หนานเทียนหรี่ตา พิจารณาซูหมิงอย่างละเอียด เขาไม่ค่อยเชื่อคำพูดของซูหมิงสักเท่าไร ทว่าก็หาคำตอบมิได้
“สหายโม่เพิ่งเข้ามาเป็นครั้งแรก จะรู้สึกแปลกก็เป็นเรื่องธรรมดา บนพื้นทางเส้นนี้ยิ่งลึกยิ่งเป็นสีแดงสดเหมือนกับเลือด คิดว่าหากอยู่ในสุสานของบรรพบุรุษเขาหานแล้วน่าจะยิ่งกว่านี้” หนานเทียนกล่าว พลางหมุนตัวเดินต่อไป
ตงฟางหวาตามมาอยู่ข้างกายซูหมิง หัวใจเขาเต้นรัวแรง
ก่อนหน้านี้เขาอยู่ใกล้ซูหมิงมากที่สุด ดังนั้นจึงสังเกตเห็นจุดที่พวกหนานเทียนไม่เห็น เมื่อครู่นี้ในสายตาของเขา ราวกับเห็นเส้นผมซูหมิงเคลื่อนไหวเองแม้ไร้ลม หน้ากากบนใบหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงพิลึกเล็กน้อย บอกไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกอย่างไร มันเหมือนกับว่าหน้ากากมีชีวิต
เขาไม่กล้าพูดมาก จึงตามมาอยู่ข้างกายซูหมิงและเดินต่อไปอย่างระมัดระวัง
ซูหมิงนิ่งเงียบตลอดทาง ไม่ต้องสงสัยเลย จากสีหน้าของพวกหนานเทียนเสวียนหลุนตงฟางหวา เขาทราบดีว่าน้ำเสียงแหบพร่าเมื่อครู่ไม่มีใครได้ยิน มีเพียงแค่เขาเท่านั้น
ท่ามกลางความเลือนราง เขาสัมผัสได้ถึงเสียงเรียกหาที่เบาบางตรงเข้ามาช้าๆ จากปลายทาง เข้าใกล้เข้ามากขึ้นทุกที ยิ่งตนเดินเข้าไปใกล้ความรู้สึกยิ่งเด่นชัด
‘บรรพบุรุษเขาหานยังไม่ตายจริงๆ จะต้องเป็นเสียงเขาอย่างแน่นอน แต่เขาจะพูดทำไมว่า…..ในที่สุด…’ ซูหมิงกำหมัดขวาแน่น เล็บแทงลึกเข้าไปในเนื้อจนเกิดความเจ็บปวดยิ่งนัก
ทว่าความเจ็บปวดที่ว่าเทียบกับความสับสนจากปริศนาลับในจิตใจแล้ว กลับยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตัวเขามีตัวตนอยู่จริงๆ
เขาต้องใช้ความเจ็บปวดมาทำให้เขามีตัวตน
เขาไม่อยากนึกถึงสายตาซับซ้อนและเห็นใจของหานชางจื่อ เขาไม่อยากคิดว่าเหตุใดหนานเทียนถึงไม่กล่าวถึงเรื่องชาวเผ่าหมานเพลิงที่ถูกผนึกด้วยเคล็ดวิชาสร้างบรรพกาลของเทพหมาน
และเขายิ่งไม่อยากนึกถึงคำว่า ‘ในที่สุด’ จากน้ำเสียงแหบพร่าเมื่อครู่…
‘ในตัวข้ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! ในความทรงจำของข้ามีอะไรหายไป!! เห็นอยู่ว่าข้าไม่ได้ลืมอะไรไปสักอย่าง ทว่า…’ ซูหมิงกำหมัดแน่นขึ้น
เป็นอย่างที่หนานเทียนว่า เส้นทางเบื้องหน้าเป็นสีแดงสดมากขึ้น จนท้ายที่สุดเพียงพอจะทำให้ผู้คนตื่นตะลึง ประดุจเดินอยู่บนทะเลโลหิตที่แข็งตัว
แม้ว่าหนานเทียนเคยมาแล้วหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เดินบนพื้นสีแดงจะเกิดความรู้สึกเหมือนควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจมิได้ แม้รู้ดีทางเส้นนี้จะไม่มีอันตราย ทว่าเขาก็ยังอดระมัดระวังอย่างยิ่งไม่ได้
โฉ่วนู่ด้านหลังเขาใบหน้าซีดขาว หัวใจเต้นแรง สีแดงบนพื้นชวนให้เขาเกิดความรู้สึกกระสับกระส่าย แต่ก็อดกลั้นเอาไว้
เสวียนหลุนมาเป็นครั้งแรกเหมือนกับซูหมิง เขามองสีแดงบนพื้น พยามไม่มองมันอีก ทว่าหลังจากเดินมาได้สักระยะเขาก็ต้องมองมันอีกครั้งโดยไม่ระวัง ขณะมองใบหน้าเขาเหี้ยมเกรียม เขาคล้ายเห็นใบหน้าวิญญาณของคนที่เขาเคยสังหารมานับไม่ถ้วน บนพื้นมีใบหน้าลอยขึ้นแผดเสียงร้องด้วยความเคียดแค้นใส่เขา
เสวียนหลุนแค่นเสียงหึ ไม่แยแสแม้แต่น้อย เขาเหี้ยมโหดมากพอ ชีวิตนี้สังหารคนมานับไม่ถ้วน เขาคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้วว่า ขณะเดินบนเส้นทางสายนี้จะต้องเกิดภาพลวงตาบ้างอย่างแน่นอน
“ทางเส้นนี้ พวกเจ้าต้องกำหนดโลหิตรวมจิตใจ…แล้วมันจะไม่ทำอันตรายพวกเจ้าได้ถึงแก่น สถานที่อัศจรรย์เช่นนี้ ในสายตาของทุกคนจะเกิดภาพลวงตาที่ต่างกัน ทว่าก็ไม่รุนแรงมากนัก ข้าเคยผ่านมาแล้วหลายครั้งก็ต้องอดทนจนผ่านมันไปได้” น้ำเสียงของหนานเทียนราวกับไม่แยแสต่ออันตราย ลอยมาอย่างรวดเร็ว
ตงฟางหวาเผยรอยยิ้มบาง มันเป็นรอยยิ้มลำพองใจยิ่งนัก แฝงไว้ด้วยความหมกมุ่นลุ่มหลง เขาเดินผ่านซูหมิง สาวเท้ายาวมองไปบนพื้น รอยยิ้มดูเข้มมากขึ้น
สิ่งที่เขาเห็นบนพื้นคือตนทะลวงสู่ขั้นชำระล้าง หลังจากเซ่นไหว้กระดูกชิ้นที่สิบสามสำเร็จ ก็เปลี่ยนตนกลับเป็นกระดูกหมานที่แท้จริง ทะลวงไปเรื่อยๆ จนก้าวเข้าสู่ขั้นวิญญาณหมาน
เขาพบว่าหลังจากกลายเป็นนักรบวิญญาณหมานแล้ว เขายืนอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน แหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง มองชาวเผ่าหมานจำนวนมากบนพื้นคุกเข่ากราบไหว้ คนเหล่านั้นมองเขาด้วยความเคารพ มองเขาตงฟางหวากลายเป็นนักรบวิญญาณหมานและสร้างเทวรูปหมานของตัวเขาเองขึ้นมา!
ซูหมิงเดินอย่างเงียบๆ แววตาสับสน ขณะเดินต่อไปเรื่อยๆ สีแดงบนพื้นทำให้เขามองเห็นชนเผ่าที่คุ้นเคย เผ่าเขาทมิฬที่คุ้นตา เขาเห็นรอยยิ้มซื่อๆ ของเหลยเฉิน เห็นหลิ่วตี๋พิงข้างเรือนพักหลับตาแล้วเป่าสวินกระดูก เขาเห็นเฉินซินจูงมือเป่ยหลิง ใบหน้ามีความสุข เป่ยหลิงหันหลังให้ตน มีสายลมพัดผ่านเส้นผมของเขา…
เขาเห็นอูลา เด็กสาวหน้าตาธรรมดา บนใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ล้มลงอยู่ในอ้อมกอดของเขาพลางกล่าวพึมพำชื่อโม่ซู
เขาเห็นเด็กหญิงอุ้มผีผีอยู่ในอ้อมอก นางกะพริบตากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มของเด็กน้อย ‘พี่ซูหมิง ถงถงมีความลับ หลังจากท่านกลับมาแล้วข้าถึงจะบอก’
เขาเห็นท่านปู่…
เห็นไป๋หลิงยืนอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางลมพายุหิมะ…เขาเห็นเส้นผมนางค่อยๆ กลายเป็นสีขาว เห็นเขี้ยวสัตว์ชิ้นหนึ่งในมือนาง ลมพายุโหมกระหน่ำปิดกั้นการมองเห็น ทว่าไม่อาจกั้นให้ซูหมิงไม่เห็นน้ำตาของนาง
มองไปมองมาซูหมิงกัดริมฝีปาก ทุกอย่างงดงาม ทุกอย่างเจ็บปวด บนพื้นสีแดงปรากฏให้เห็นทีละภาพ ซูหมิงพลันตัวสั่นเทา เขาเห็นภาพบนพื้นเหล่านั้นถูกฝ่ามือยักษ์สีดำกวาดลงมาจากท้องฟ้า เงาคนที่คุ้นเคยเหล่านั้นและทุกสิ่งล้วนกลายเป็นเศษละเอียด
ด้านหลังเศษละเอียดเป็นความว่างเปล่าสีดำ ภายในนั้นมีดวงตาคู่หนึ่ง
ตาคู่นั้นกำลังมองเขาด้วยความเย็นชาและไร้เมตตา ราวกับไม่มีความรู้สึกใดๆ บนโลกใบนี้แฝงอยู่ มีเพียงความเย็นชาอย่างผู้เป็นนายทุกสิ่งเท่านั้น
‘เจ้าทำให้ข้า…ผิดหวังมาก…’
จิตใจซูหมิงสั่นสะท้าน เกิดความตึงเครียดทันใดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาพลันได้สติกลับมา เส้นทางยังคงเป็นเส้นทางสายเดิม ใต้ฝ่าเท้ายังคงเป็นสีแดง
หนานเทียนหลับตายืนนิ่งตรงนั้น สีหน้าเขาดูแปลกยิ่งนัก บ้างยิ้ม บ้างบิดเบี้ยว บ้างลำพองใจ ราวกับกำลังเสพสุขอยู่ในความคิด
เสวียนหลุนพิงกำแพง สีหน้าเกรี้ยวกราดแฝงไว้ด้วยความเหี้ยมโหด พร้อมกันนั้นก็จำใจยอมรับ
โฉ่วนู่คุกเข่าลงกับพื้น หอบหายใจแรงไม่หยุด นัยน์ตาฉายแววเหี้ยมโหดราวกับโกรธแค้นถึงขีดสุด ทว่าในตัวเขา ความโกรธแค้นที่เห็นกลับแฝงไว้ด้วยความอ่อนแอ
ตงฟางหวาเหมือนคนเสียสติเดินกลับไปกลับมาไม่หยุด กางแขนสองข้างหัวเราะเสียงดัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความพอใจและการโอ้อวด จมอยู่ในโลกของเขาไม่ยอมตื่น
ซูหมิงมองคนเหล่านี้ เกิดความคิดชั่ววูบว่าหากเขาลงมือในยามนี้จะสังหารทุกคนได้อย่างราบรื่น รวมถึงเสวียนหลุนและหนานเทียนด้วย
‘หนานเทียนไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายแน่ ทว่าตอนนี้เขาเหมือนขาดสติเข้าไปอยู่ในโลกของตัวเอง…เขาเข้ามาแล้วหลายครั้งไม่น่าจะพลาดตรงจุดนี้…ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาตั้งใจหรือว่า…แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ถึงความเปลี่ยนแปลง’
ซูหมิงหลับตา นึกถึงน้ำเสียงแหบพร่าในความคิดก่อนเหยียบบนเส้นทางสีแดงครั้งแรก
ทั้งยังนึกถึงภาพลวงตาบนพื้นสีแดง นึกถึงทุกภาพที่เห็นจนมาหยุดอยู่ที่ดวงตาเย็นชาทั้งสองข้างในความมืด และยังมีคำพูดประโยคนั้นดังแว่วมาจากไกลๆ
‘ความแปลกของที่นี่ เป็นเพราะการมาของข้าหรือ…..บรรพบุรุษเขาหาน ท่านทำเช่นนี้เพื่ออะไร…’ ซูหมิงลืมตามองไปเบื้องหน้า ตรงนั้นเป็นปลายทาง มีผนังหินมันวาว บนผนังหินมีภาพสัญลักษณ์ซับซ้อนมากมาย
แสงอ่อนขับมาจากบนผนังหิน ในช่วงที่ซูหมิงมองไป เขาสัมผัสได้ว่าบนผนังหินมีพลังแห่งการขวางกั้นที่รุนแรง
“นี่น่าจะเป็นมุมหนึ่งของผนึก” ซูหมิงกล่าวพึมพำ กวาดสายตามองโฉ่วนู่ ตงหางหวา หนานเทียน และเสวียนหลุน เขารู้สึกได้ว่าสีหน้าของพวกเขาสี่คนราวกับแฝงอะไรไว้บางอย่าง
‘พวกเขาเหมือนกับข้า เห็นภาพของตัวเองบนพื้นสีแดง…’
ซูหมิงเงียบขรึม สิ่งที่เขาจำได้แม่นยำมากที่สุดคือภาพสุดท้าย ดวงตาไร้ความปรานีคู่นั้น รวมถึงคำพูดประโยคนั้น
‘เจ้าทำให้ข้า…ผิดหวังมาก…’ คำพูดดังกล่าวไม่มีความรู้สึกอยู่ภายใน เยือกเย็นประดุจน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย
‘คำพูดนั้นและยังมีดวงตาคู่นั้น เหตุใดถึงปรากฏในภาพของข้า…..เหตุใดหลังจากข้าได้ยินคำพูดนั้นแล้วถึงได้ตึงเครียดขึ้นมา…วิตกยิ่งนัก…อีกอย่างมันช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก…..’ ซูหมิงไม่เลือกสังหารทุกคน แต่ยืนนิ่ง
คนแรกที่เขามองคือตงฟางหวา เห็นตงฟางหวาเดินไปเดินมา สีหน้าลำพองใจเด่นชัดยิ่งนัก
‘สิ่งที่พวกเราเห็นต่างกัน ทว่าประสบการณ์เหมือนกัน บางทีข้าอาจหาคำตอบได้จากตัวพวกเขา…’