Skip to content

สู่วิถีอสุรา 21

ตอนที่ 21 พวกเราจะเปลี่ยนหรือไม่…

ยามเที่ยงวัน ซูหมิงครุ่นคิดอยู่นาน กัดฟันแบกตะกร้าสานออกจากชนเผ่า

การเดินทางในครั้งนี้มีเหลยเฉินมาด้วย เขาเคยไปตลาดประจำเผ่า อีกทั้งเมื่อหลายวันก่อนก็เพิ่งไปมา พอได้ทราบว่าซูหมิงมายืมเหรียญหิน เขาจึงไต่ถามจนได้ความ ก่อนอาสาเป็นคนนำทางให้แก่ซูหมิง

“ซูหมิง ข้ามีเพียงสองเหรียญหินเท่านั้น อีกทั้งกว่าจะได้มาก็ยากเย็นนัก เจ้า…จะคืนข้าเมื่อไรหรือ…” เหลยเฉินมองซูหมิงด้วยแววตาร้อนรน ยามนี้ทั้งสองคนกำลังทะยานร่างอยู่ในป่าทึบนอกชนเผ่า

“นี่เจ้าพูดมาตลอดทางเลย มันก็แค่เหรียญหินสองเหรียญมิใช่รึ! น้ำลายมังกรทมิฬที่ข้าแบ่งให้เจ้ามาหลายปีมีมูลค่ากี่เหรียญหิน เหลยเฉิน พวกเราต่างเป็นเพื่อนสนิทกัน เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้!”

ซูหมิงน้อยใจ ทว่ากลับถลึงตาใส่ ทำให้เหลยเฉินกล่าวเสียงอ่อย

“แต่กว่าจะแลกมาได้มันยากจริงๆ….” เหลยเฉินเกาศีรษะ กำลังบ่นพึมพำพลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงมองซูหมิงด้วยแววตาประหลาดใจ

“หือ ข้าเพิ่งนึกออก เจ้าจะเอาเหรียญหินไปซื้ออะไรที่ตลาดหรือ?”

“ซื้อใบตาข่ายเมฆา!” ร่างซูหมิงวูบไหว กระโดดทะยานไปในป่าด้วยความปราดเปรียว ความเร็วของเขามากกว่าเหลยเฉินเสียอีก

“ใบตาข่ายเมฆา มันคืออะไร?” เหลยเฉินกล่าวซื่อๆ ทว่าเมื่อเห็นซูหมิงแซงหน้าไป เขาจึงเร่งฝีเท้าตามไปทันที

“ซูหมิง จำเอาไว้ เจ้าต้องเอามาคืนข้า….”

“ซูหมิง นั่นเป็นของที่ข้าสะสมมาหลายปีเชียวนะ… “

“ซูหมิง เหรียญหินสองเหรียญนั่นแม้แต่บิดาข้ายังไม่รู้ แล้วเหตุใดพอเจ้าไปเรือนข้า ถึงได้รู้ว่าข้าซ่อนเอาไว้ที่ไหน?”

“ซูหมิง ใบตาข่ายเมฆามันคืออะไร เหตุใดเจ้าไม่บอกข้า…”

“ซูหมิง ซูหมิง? ข้าถามเจ้ามาครึ่งวันแล้วนะ!”

ซูหมิงได้ยินเสียงพูดดังขึ้นข้างหูตลอดทาง เขาทราบดีว่าเหลยเฉินเป็นคนชอบพูด อีกทั้งหากได้พูดแล้วจะพูดไม่หยุด ทว่าเขากลับไม่คิดเลยว่าเหลยเฉินจะพูดมากได้ถึงเพียงนี้ ไม่หยุดพักเลยแม้แต่น้อย

จนกระทั่งยามก่อนพลบค่ำ ทั้งสองคนห่างจากเผ่ามาไกลมากแล้ว ตอนนี้อยู่กลางป่าทึบที่ไม่คุ้นชิน ซูหมิงเหนื่อยล้า ความเร็วที่ทะยานไปข้างหน้าค่อยๆ ลดลง ก่อนจะยืนพิงต้นไม้ใหญ่หอบหายใจแรงหลายครั้ง หันกลับไปมองอย่างจนใจ ก็พบว่าเหลยเฉินกำลังนั่งอยู่บนพื้น หอบหายใจแรงเช่นเดียวกัน

“ซู…ซูหมิง…เจ้า…จำไว้…ต้องคืนข้า…ข้า….” เหลยเฉินกล่าวพลางหอบหายใจแรง ทว่าเห็นซูหมิงมองกลับมา สีหน้าพลันตะลึงค้าง จึงเอ่ยขึ้นอีก

“เจ้าให้ข้า…ข้าต้องคืนเจ้าแน่นอน….แต่ข้ามีเงื่อนไข!” ซูหมิงยิ้มแห้งๆ ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอย่างไรกับเหลยเฉินแล้ว

“เงื่อนไขอะไร?” เหลยเฉินกะพริบตาปริบๆ เผยท่าทางซื่อๆ ออกมาอีกครั้ง

“อย่าทำหน้าเช่นนั้น เสี่ยวหงยังทำได้สมจริงกว่าเจ้าเสียอีก เหลยเฉิน ข้ารู้ว่าตลอดทางที่เจ้าพูดวนไปวนมาก็เพราะอยากถามอะไรบางอย่าง แต่ข้าพูดไม่ได้ อีกไม่นานเจ้าจะได้รู้เอง” ซูหมิงถลึงตามอง เขาโตมากับเหลยเฉิน จะว่าถึงขั้นรู้ใจกันก็คงไม่ผิด กระทั่งไม่ด้อยไปกว่าบุพการีของเหลยเฉิน

ภายนอกเหลยเฉินดูเป็นคนซื่อ ทว่าความจริงแล้วกลับเป็นคนใช้ความคิดมาก เพียงแต่คนส่วนใหญ่มักจะถูกใบหน้าไร้เล่ห์เหลี่ยมของเขาหลอกลวง จนมองข้ามความเจ้าเล่ห์ที่วาบผ่านภายในดวงตาของเขา

ได้ยินซูหมิงกล่าวเช่นนั้น เหลยเฉินจึงถูจมูกแล้วยิ้มซื่อๆ

“เงื่อนไขของข้าง่ายมาก หากเจ้าหยุดพูด และรอจนกว่าข้าจะทำธุระเสร็จแล้วกลับถึงเผ่าเมื่อไหร่ เมื่อนั้นข้าจะบอกทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้!” ซูหมิงมองเหลยเฉิน กล่าวเรียบๆ

เหลยเฉินตัวแข็งค้าง ทั่วร่างราวกับแข็งตัวไปชั่วขณะ ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้าง จ้องมองด้านหลังซูหมิงเขม็ง

“เหลยเฉิน….” ซูหมิงหัวเราะแห้งๆ เขาหยอกล้อกับอีกฝ่ายจนชิน เพียงแค่นี้เขาไม่ตกหลุมพรางแน่

“ก็เจ้าบอกให้ข้าเงียบ ข้าเลยจะพยักหน้ารับ แต่ลืมไปว่าถ้าพยักหน้ามันจะเกิดเสียงขึ้นได้ เจ้าว่าแบบนี้ดีพอหรือไม่ ไม่ขยับและไม่มีเสียง เงียบเหมือนอย่างที่เจ้าว่า หรือว่าข้ายังไม่เงียบพอ! ไม่ต้องห่วง ในเมื่อเจ้าให้ข้าเงียบข้าก็จะเงียบไปตลอดทาง จะไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย เว้นแต่เสียงฝีเท้าข้า เพราะข้า….”

“หยุด! พอแล้ว แค่หยุดพูดก็พอ!” ซูหมิงนวดตรงหว่างคิ้ว เขาเห็นแววหยอกล้อฉายในดวงตาของเหลยเฉิน ทราบดีว่าเจ้านี่มันตั้งใจ

“เอาละ ข้าจะบอกเจ้าให้ก็ได้ ข้ามีกายหมาน เพียงแต่ท่านปู่ใช้เคล็ดวิชาหมานอำพรางเอาไว้ เรื่องนี้เจ้าห้ามบอกใครเด็ดขาด” กล่าวถึงท่อนสุดท้าย สีหน้าซูหมิงพลันเคร่งขรึม

เหลยเฉินตกตะลึงและเคร่งขรึมเช่นเดียวกัน ก่อนพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น

“หากรู้เช่นนี้แต่แรกข้าคงไม่ถาม ข้าอยากรู้แค่ว่าเจ้าฝึกพลังหมานหรือไม่ก็เท่านั้น ตอนนี้ข้าสบายใจแล้ว ฮ่าฮ่า จากนี้ไปพวกเราสองคนจะเป็นอินทรีสง่า อนาคตของเผ่าเขาทมิฬ!”

ซูหมิงหัวเราะเสียงดังเช่นเดียวกัน ทั้งสองคนพักผ่อนอยู่นาน ก่อนยันกายขึ้นแล้วมุ่งหน้าเดินทางต่อไป แม้ท้องฟ้าค่อยๆ มืดมิด ทว่าก็มีแสงจันทร์ส่องสว่าง อีกทั้งยังมีดาราระยิบระยับ หิมะบนพื้นทับถมจนหนา ลมหนาวส่งเสียงหวีดหวิว ทั้งสองคนทะยานสู่เบื้องหน้าโดยไม่หยุดพัก ระหว่างทางสนทนากันเล็กน้อย แสดงให้เห็นมิตรภาพอันแน่นแฟ้น

“วันนี้ข้าเห็นเป่ยหลิง แค่เห็นมันเขาก็หงุดหงิดแล้ว โดยเฉพาะข้างเขายังมีเฉินซินอยู่ด้วย เขาก็น่าจะรู้ดีว่าเฉินซินรู้สึกอย่างไรกับเจ้า!” เหลยเฉินกล่าวเสียงเบา น้ำเสียงดูโมโหยิ่งนัก

“เขาเปลี่ยนไปมากตั้งแต่ไปเผ่าร่องลมเมื่อหลายปีก่อน หรือว่าจะลืมไปแล้วว่าตนเป็นคนของเผ่าเขาทมิฬ เจ้าไม่เห็นสีหน้าของเขาตอนนั้น อีกทั้งยังสั่งสอนข้าด้วย บอกข้าอย่างนู้นอย่างนี้”

ซูหมิงเงียบงัน

“ซูหมิง ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องแซงหน้าเขาให้ได้!” เหลยเฉินกล่าวพลางกำหมัดแน่น

“เขาคือพี่ใหญ่เป่ยหลิง ตอนเด็กเขาก็ดูแลข้ากับเจ้าเป็นอย่างดี เจ้าจำไม่ได้หรือว่าเมื่อก่อนเขาเคยถ่ายทอดประสบการณ์การฝึกพลังหมานให้แก่เจ้าเองกับมือ? เพราะว่าเรื่องในครั้งนั้น เขาจึงถูกท่านปู่ลงโทษ! แล้วยังมีศิลปะการยิงธนู ก็เป็นเขาที่สอนให้กับข้า…..” ซูหมิงกล่าวขึ้นเรียบๆ

“ส่วนเฉินซิน ข้าบอกเจ้าตั้งนานแล้วว่าข้ารู้สึกกับนางเพียงน้องสาวเท่านั้น ไม่มีความรู้สึกอื่นแอบแฝง…..เจ้าก็มัวแต่เดามั่วสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่นั่น” ซูหมิงยังคงกล่าวอย่างเฉยชา

เหมือนเหลยเฉินอยากจะกล่าวต่อ ทว่าพอเห็นท่าทางเงียบขรึมของซูหมิง จึงเลือกไม่กล่าวออกมา เขาเข้าใจซูหมิงเช่นเดียวกับที่ซูหมิงเข้าใจตน เขาทราบดีว่าสหายเป็นคนกตัญญู

“ซูหมิง คนเปลี่ยนกันได้….” ผ่านไปครู่ใหญ่ เหลยเฉินจึงกล่าวขึ้นเบาๆ

“ทุกอย่างเปลี่ยนได้ตามการเติบโตและเรื่องราวที่ประสบ….บางทีวันหนึ่ง ข้าอาจจะเปลี่ยน….ข้าคิดว่า…เจ้าเองก็อาจจะเปลี่ยนเช่นเดียวกัน…” เหลยเฉินเอ่ยเบาๆ

“อย่างนั้นหรือ….” ซูหมิงเงียบไม่กล่าวสิ่งใด มุ่งไปข้างหน้า

ยามท้องฟ้ามืดมิด ซูหมิงและเหลยเฉินจึงหยุดพัก เพราะการเดินทางยามค่ำคืนค่อนข้างลำบาก ทั้งยังอีกไกลกว่าจะถึงตลาดประจำเผ่า ฉะนั้นทั้งสองคนจึงหาต้นไม้ใหญ่และสร้างที่พักชั่วคราวอย่างง่ายๆ ด้านบน หนึ่งคนนั่งขัดสมาธิโคจรโลหิตในกาย ส่วนอีกคนมองสำรวจโดยรอบด้วยความตื่นตัว ก่อนสลับสับเปลี่ยนกัน เตรียมนอนค้างแรมที่นี่

ซูหมิงนั่งพิงลำต้น มองเหลยเฉินที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้า บนตัวเขามีแสงสีแดงขยับวูบวาบ เห็นได้ชัดว่ามีเส้นเลือดอยู่ใม่น้อย

มองอยู่นาน ก่อนแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอันมืดมิด แสงจันทร์สาดส่องสุกสกาว รวมกับดวงดาวแล้วงดงามยิ่งนัก ขณะเดียวกันคนที่มองมันกลับรู้สึกว่าตนเล็กจ้อย

“คนเปลี่ยนได้…ข้า…จะเปลี่ยนไปหรือไม่….” ซูหมิงนั่งมองอย่างเงียบๆ ในความคิดปรากฏภาพเป่ยหลิงกับตนในวัยเด็กขึ้นเป็นฉากๆ

“หากวันหนึ่งข้าเปลี่ยนไป….ข้าจะเปลี่ยนเป็นอย่างไร….” แววตาซูหมิงสับสน ปัญหานี้สำหรับเด็กหนุ่มอายุสิบหกคนหนึ่งแล้ว มันช่างซับซ้อนยิ่งนัก

“บางทีข้าอาจจะเป็นแพทย์หมานที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกับท่านปู่ พาเสี่ยวหงท่องแผ่นดินใหญ่ ไปยังที่ที่ไม่เคยไป แวะเวียนทุกชนเผ่าเพื่อช่วยเหลือรักษาให้แก่เผ่าหมานทุกคน…..”

“บางทีข้าอาจจะเป็นจ้าวหมาน….จากนั้นพบกับสตรีที่ตัวเองรัก ใช้ชีวิตกับนางและออกเดินทางพร้อมกันจนแก่เฒ่า….เสี่ยวหงก็จะเป็นเหล่าหง (ลิงแก่)…..จากนั้นข้าจะเล่าเรื่องการเดินทางของตนให้ลาซูในเผ่าฟัง…เหมือนกับที่ท่านปู่เล่าเรื่องชีวิตของตนกับพวกเรา…..” ซูหมิงยิ้ม รอยยิ้มของเขาสะอาดบริสุทธิ์ จริงใจและเบิกบานยิ่ง

“หรือบางที…ข้าอาจได้รู้ถึงชาติกำเนิดและความเป็นมาของตัวเอง….” ซูหมิงยิ้ม ถอนหายใจเบาๆ

“เหลยเฉิน ข้าจะไม่เปลี่ยนไป!” ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวขึ้นเบาๆ ให้ตัวเองพอได้ยินภายใต้แสงจันทร์บนแผ่นดินเผ่าหมาน

เขามั่นใจนัก เปรียบดั่งความเชื่ออันแน่วแน่ของเด็กหนุ่ม อนาคตจะต้องงดงามเฉกเช่นเดียวกัน….

ช่วงเวลาค่ำคืนผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ยามฟ้าสาง ซูหมิงและเหลยเฉินตื่นนอนแต่เช้า ใช้น้ำจากหิมะล้างหน้า ความหนาวเหน็บจากหิมะทำให้สั่นไปทั้งตัว และยิ่งกระปรี้กระเปร่าขึ้น

“คิดตามระยะทางแล้ว พวกเราน่าจะถึงตลาดประจำเผ่าตอนเที่ยงวัน” เหลยเฉินเคยไปตลาดประจำเผ่าหลายครั้ง หลังใช้หิมะล้างหน้าเสร็จ จึงกล่าวกับซูหมิง

ซูหมิงพยักหน้า ทั้งคู่แหงนศีรษะขึ้นมองแสงแรกของตะวันตรงเส้นขอบฟ้า ก่อนเดินทางต่อในป่าทึบ

การเดินทางราบรื่นไปได้ด้วยดีตลอดเส้นทาง เมื่อถึงเที่ยงวัน ซูหมิงเห็นเรือนไม้หลายหลังตรงนอกเขตป่าทึบอยู่ไกลๆ ทั้งยังมีเสียงคนจอแจวุ่นวาย มีนักรบหมานจากเผ่าใกล้เคียงอยู่ที่นั่นไม่น้อย

“ถึงแล้ว!” เหลยเฉินมองซูหมิง โดยเฉพาะตะกร้าสาน เขามองมันหลายรอบมาก เพียงแต่ตะกร้าสานนี้มีหนังสัตว์ห่อเอาไว้อย่างแน่นหนา เขาจึงไม่อาจมองเห็นข้างในได้

ซูหมิงมองไปยังตลาดเบื้องหน้าที่อยู่ไกลๆ ตลาดแห่งนี้ใหญ่มาก เทียบเคียงได้กับเผ่าเล็กหนึ่งเผ่า เพียงแต่ว่าโดยรอบไม่มีรั้วกั้น มีแต่ชายร่างกำยำท่าทางแข็งแกร่งยืนอยู่ไม่น้อย กำลังสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ อย่างเย็นเยือก เพื่อดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยและกันสัตว์ป่าบุกเข้ามา

ณ ใจกลางตลาด มีกระโจมหนังสัตว์สีม่วงใหญ่ยักษ์อยู่หนึ่งกระโจม การป้องกันของที่นั่นเข้มงวดยิ่งนัก ทั้งยังห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้

“ที่นั่นคือกระโจมของจ้าวตลาดแห่งนี้ ได้ยินมาว่าเป็นนักรบหมานที่แข็งแกร่งยิ่งคนหนึ่ง จะรับแขกเพียงผู้นำจากแต่ละเผ่าเท่านั้น” เหลยเฉินเดินออกมาจากป่าพร้อมกับซูหมิง กล่าวเสียงต่ำแนะนำให้ซูหมิงฟังพลางเดินเข้าไปในตลาด

ซูหมิงมองกระโจมหนังสัตว์สีม่วง ก่อนละสายตามองไปทางอื่น แล้วเดินไปเข้ายังสถานที่ที่เขาไม่เคยมาภายใต้สายตาจากเหล่ายามรักษาการณ์

ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงเรียกจากสตรีดังขึ้นไม่ไกล น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย็นชา

“เหลยเฉิน!”

ซูหมิงพลันชะงักฝีเท้า สังเกตได้ว่าพอเสียงดังกล่าวปรากฏขึ้น เหลยเฉินมีอาการตัวสั่น….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version