Skip to content

สู่วิถีอสุรา 218

ตอนที่ 218 ท่านหู่คนนี้

บนน่านฟ้านอกกำแพง ชายแซ่ไป๋สวมเกราะขาว ทั้งตัวปลดปล่อยกลิ่นอายพลังน่าเกรงขาม สายตาเย็นชามองปลาตัวยาวหลายพันลี้และสตรีเผ่าเชมันบนหลังของมันที่กำลังใกล้เข้ามา

ยามนี้กำแพงเทือกเขามีเสียงระเบิดดังกึกก้อง อักขระซับซ้อนลอยขึ้นอย่างต่อเนื่องบนกำแพงเทือกเขา ทำให้แรงกดดันจากตัวมันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนซูหมิงเริ่มทนรับไม่ไหว

“เป็นเจ้าอีกแล้ว ครั้งก่อนมิได้เอาชีวิตเจ้า หากยังมายุ่งอีกข้าจะสังหารเจ้าเสีย” ชายวัยกลางคนแซ่ไป๋บนอากาศมีสีหน้าเย็นชา น้ำเสียงเย็นเยือก กล่าวจบ คลื่นเสียงแผ่กระจายออกไปราวกับสายฟ้า สั่นสะเทือนฟ้าดิน ทำให้ปลายักษ์ที่อยู่ไกลออกไปหยุดชะงัก

“ข้ายืมสัตว์เชมันมาจากชนเผ่า เจ้าสังหารข้ามิได้! ไป๋ฉางไจ้ เอาของพี่สาวข้าคืนมา หากเจ้าไม่ให้ ต่อให้ครั้งนี้แพ้ข้าก็จะกลับมาอีก!” เสียงสตรีนางหนึ่งดังแว่วตามลมมาจากตัวปลา

“ไสหัวไป!” นัยน์ตาชายแซ่ไป๋ฉายแววเย็นชา พลันสะบัดมือขวาไปด้านหน้า ฟ้าดินสั่นสะเทือนเกิดเสียงอึกทึกกึกก้อง กำแพงเทือกเขาที่ซูหมิงยืนอยู่ระเบิดแรงกดดันที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดออกไป

ภายใต้แรงกดดันนี้ ซูหมิงไม่อาจทนรับไหว เขาห้อเหยียดถอยไปจากกำแพงพร้อมกับช่วงที่แรงกดดันปะทุออก เมื่อมองไปอีกครั้งก็พบว่าฟ้าดินบิดเบี้ยว ขวางกั้นการมองเห็นของเขา ทำให้มองไม่เห็นชายวัยกลางคนนอกกำแพงและสตรีเผ่าเชมัน รวมถึงปลาน้ำจืดยักษ์ที่ทำให้เขาตกตะลึง

ได้ยินเพียงเสียงระเบิดโครมครามดังมาจากนอกกำแพง ทำให้แรงกดดันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ซูหมิงไม่อาจเข้าใกล้ ต้องถอยร่นไม่หยุด

จนกระทั่งถอยหลายพันจั้งมาอยู่ข้างหานเฟยจื่อและเฉินลั่วปิ่ง แรงกดดันถึงส่งมาไม่ถึง

“สหายซูเกิดอะไรขึ้น หรือว่า…หรือว่าพวกเผ่าเชมันก่อสงครามรุกราน?” เฉินลั่วปิ่งใบหน้าขาวซีด รีบถามด้วยความตื่นกลัว

หานเฟยจื่อข้างกายก็มองซูหมิงเช่นกัน นัยน์ตาฉายแววสงสัย

“ไม่ใช่ แค่เชมันคนเดียวมาเยือน” ซูหมิงมองมวลอากาศบิดเบี้ยวบนกำแพงห่างไกล พร้อมกล่าวเรียบๆ

“ก็ยังดีๆ ข้าว่าไม่น่าจะบังเอิญขนาดนี้ พวกเราดันมาเจอเรื่องนี้พอดี สหายซู พวกเรารีบไปกันเถอะ อาคมเคลื่อนย้ายน่าจะใกล้เสร็จแล้ว” เฉินลั่วปิ่งไม่อาจปกปิดความตึงเครียด เอาแต่มองไปทางกำแพงเทือกเขาที่ยังคงมีเสียงกระหึ่มดังมา

ซูหมิงมองกำแพงเทือกเขาอีกครั้ง ก่อนระงับความตื่นตะลึง ยิ่งเขาเข้าใจดินแดนผืนนี้ ยิ่งรู้จักแดนอรุณใต้กับเผ่าหมานมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกหมดหวังที่จะกลับแดนพันธมิตรตะวันตกมากขึ้นเท่านั้น

“สหายซู รีบไปเถอะ” เฉินลั่วปิ่งร้อนรนเล็กน้อย กล่าวเร่งอีกครั้ง หากเป็นคนอื่นเขาคงไม่สนใจแล้ว ทว่ากับซูหมิง เขาออกจะมิกล้า

ซูหมิงพยักหน้า เขารู้ดีว่าการต่อสู้นอกกำแพงไม่ใช่สิ่งที่เขาจะเข้าร่วมได้ ขั้นพลังของเขาแม้แต่แรงกดดันจากกำแพงยังไม่อาจต้านทาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเข้าไปช่วย อีกทั้งชายวัยกลางคนแซ่ไป๋ยังไม่ต้องการความช่วยเหลือ

เห็นซูหมิงพยักหน้า เฉินลั่วปิ่งจึงแอบโล่งอกในใจ ทั้งสามคนกลายเป็นสายรุ้งยาวค่อยๆ ห่างออกไป ไม่นานก็กลับมาถึงยอดเขาที่ถูกโอบล้อมด้วยแสงสีทอง

บนยอดเขา ซูหมิงยังคงมองกำแพงไกลๆ อยู่ตลอด จนกระทั่งสวี่หรูเยวี่ยเองก็สังเกตเห็นสภาพการณ์บนกำแพง เมื่อเปิดวงแหวนอาคมอย่างสมบูรณ์ ท่ามกลางแสงจากอาคมเคลื่อนย้ายที่หมุนวนเป็นเกลียว ซูหมิงจึงละสายตากลับ แล้วหายไปทีละน้อยตามแสงวงแหวนอาคม

เสียงอึกทึกดังขึ้น ก่อนภูเขาลูกนี้จะกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ประกายแสงทองค่อยๆ หายไป

เคลื่อนย้ายและพักผ่อนหลายครั้งจนกระทั่งผ่านไปเจ็ดวัน

พวกซูหมิงก็เหยียบเข้าไปในอาคมเคลื่อนย้ายครั้งสุดท้าย เมื่อพวกเขาปรากฏตัวก็มาอยู่ในสำนักเหมันต์สวรรค์

โลกภายในของแดนอรุณใต้ ตำแหน่งทางทิศเหนือมีชนเผ่าหนึ่งที่มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนดินแดนแห่งนี้ นามของชนเผ่านี้คือเหมันต์สวรรค์!

เผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ เป็นหนึ่งในสองเผ่าใหญ่ของแดนอรุณใต้!

เผ่านี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของดินแดน แม้ครอบครองพื้นที่ไม่ใหญ่นัก ทว่าชนเผ่าเล็กใหญ่ที่เป็นเผ่าบริวารกลับมีมากยิ่งนัก

ด้วยชนเผ่าบริวารเหล่านั้น ทำให้อำนาจของเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์สั่นสะเทือนแดนอรุณใต้เหมือนกับเผ่าใหญ่ทะเลตะวันออก อีกทั้งยังทำให้เผ่าเชมันนอกกำแพงไม่อาจรุกรานเข้ามาในกำแพงหลายพันปี

สำนักเหมันต์สวรรค์เป็นสำนักที่สร้างโดยเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์เมื่อนานมาแล้ว อีกทั้งยังใช้เรื่องนี้พัฒนาจากเผ่ากลางมาเป็นเผ่าใหญ่เช่นปัจจุบัน สำนักตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมะปกคลุมทางทิศเหนือของแดนอรุณใต้

ภูมิภาคนี้อยู่ในกำแพงของแดนอรุณใต้ทั้งหมด เป็นภูมิภาคเดียวที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี มันครองแดนเหนือไปครึ่งหนึ่งเหมือนกับเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ กลายเป็นขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนเหนือ

สำนักเหมันต์สวรรค์กว้างใหญ่ยิ่งนัก ภายในมีศิษย์จำนวนมาก มาจากชนเผ่าแทบทั้งหมดในการปกครองของเผ่าเหมันต์สวรรค์ ทั้งสำนักมีเก้ายอดเขาหลัก

เก้ายอดเขานี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข็ง โอบล้อมบนแผ่นดินใหญ่ ทุกยอดเขาหลักจะมีชื่อเรียกว่าฝ่ายเขาเหมันต์สวรรค์

ด้านหลังยอดเขาหลักทั้งเก้าจะเป็นยอดเขาน้ำแข็งเล็กเตี้ยเรียงตามลำดับอยู่ติดกัน หากมองจากท้องฟ้าลงไปจะพบว่าตำแหน่งของยอดเขาเหมือนกับการวางวงแหวนอาคม เผยกลิ่นอายพลังน่าเกรงขาม

ตามตำนานกล่าวว่าเมื่อหลายพันปีก่อน ทิศเหนือของแดนอรุณใต้เดิมทีเป็นมหาสมุทร ทว่าช่วงสร้างสำนักเหมันต์สวรรค์ได้ถูกแช่แข็ง ทำให้พื้นมหาสมุทรกลายเป็นชั้นนำแข็งราวกับแผ่นดิน และกลายเป็นที่มาของแดนสำนักเหมันต์สวรรค์

ทั้งยังมีตำนานกล่าวอีกว่า ใต้สำนักเหมันต์สวรรค์ลึกลงไปที่สุดยังคงเป็นน้ำมหาสมุทร เพียงแต่ตรงนั้นมีอะไรอยู่กันแน่ เหตุใดสำนักเหมันต์สวรรค์ถึงเลือกตรงนี้ อีกทั้งยังแช่แข็งน้ำทะเลให้กลายเป็นแผ่นดิน นี่เป็นความลับไม่มีใครทายถูก

เก้ายอดเขาหลักมียอดเขารองจำนวนมากตั้งอยู่บนพื้นน้ำแข็ง มองแวบแรกก็ไม่เห็นเขตสิ้นสุดราวกับเป็นกำแพงเมืองน้ำแข็งยักษ์ของสำนักเหมันต์สวรรค์!

ทว่ากลางอากาศบนเก้ายอดเขาหลักมีสิ่งก่อสร้างเป็นสัญลักษณ์ของสำนัก ตรงนั้นเรียกว่าฝ่ายนภา เหมันต์สวรรค์ทั้งหมดใช้สิ่งนี้เป็นตัวแทน

กล่าวคือฝ่าย ทว่าความจริงแล้วมันเป็นแผ่นดินลอยอยู่เก้าแผ่นดิน แผ่นดินทั้งเก้านี้ซ้อนทับกันเป็นหอคอย ทุกแผ่นดินห่างกันหมื่นจั้ง ใช้เก้าหอคอยหลักเป็นใจกลาง

บนแผ่นดินทุกแห่งล้วนสร้างเป็นหออาศัยสวยเรียบๆ เป็นที่อาศัยของศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ของฝ่ายนภา มิได้ปล่อยไว้เฉยๆ เมื่อแหงนหน้ามองจะเห็นได้เพียงแผ่นดินห้าชั้น ส่วนที่สูงไปกว่านั้นจะมีทะเลหมอกปกคลุมจนมองไม่เห็น

ภายในมีพลังงานพิลึกบางอย่าง ต่อให้บินขึ้นไป หากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่มีทางเข้าใกล้ได้อย่างแน่นอน ศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ รวมถึงคนที่ออกไปฝึกข้างนอกและกองรักษาการณ์เมืองหมอกนภามีราวหนึ่งแสนกว่าคน นักรบหมานหนึ่งแสนคนประโยคนี้ หากกล่าวโดยเหมันต์สวรรค์ย่อมมิใช่การพูดพล่อยๆ

ในวันนี้บนยอดเขาหลักอันดับสี่ ตรงกลางภูเขามีแท่นโอบล้อมมากกว่าหนึ่งร้อยแท่น แท่นเหล่านี้กระจัดกระจายกัน ในแต่ละแท่นจะมีวงแหวนอาคมอยู่ ยามนี้บนแท่นแห่งหนึ่งมีแสงสีทองเด่นชัดพลันขยับวูบวาบ ลมหนาวพัดผ่านเข้ามา ภายในวงแหวนอาคมบนแท่นปรากฏเงาคนห้าคน

‘สำนักเหมันต์สวรรค์…’ ลมหนาวพัดผ่านใบหน้าซูหมิง และยังมีเกล็ดหิมะเล็กน้อยทำให้เกิดความรู้สึกหนาวเย็นบนใบหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสถึงหิมะจริงๆ จากในแดนอรุณใต้ ไม่ใช่จากพลังหรืออาคม

บนแท่นแห่งนี้ โดยรอบมีสามคนกำลังนั่งขัดสมาธิ ช่วงที่แสงสีทองจากอาคมเคลื่อนย้ายบนแท่นขยับวูบวาบ ทั้งสามคนลืมตาขึ้น

“น่าจะเป็นศิษย์น้องเฉินกับศิษย์น้องหญิงสวี่” หนึ่งในนั้นมีสีหน้าสงบนิ่ง ขณะกล่าวกวาดสายตามองเงาคนทั้งห้าในแสงสีทอง

ผ่านไปครู่หนึ่ง แสงจากอาคมเคลื่อนย้ายพลันหายไป เผยให้เห็นพวกซูหมิงทั้งห้าคน

“ศิษย์น้องหญิงฟางก็กลับมาด้วยรึ? ศิษย์น้องเฉิน ออกไปครั้งนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง” ทั้งสามคนบนแท่นยามนี้ยืนขึ้น หนึ่งในนั้นยิ้มกล่าว

“ศิษย์พี่โจวอย่าหยอกล้อข้าเลย เรื่องนี้อย่าพูดถึงมันจะดีกว่า….” หลังจากเฉินลั่วปิ่งกลับถึงสำนักเหมันต์สวรรค์ เขาดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด ได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะเสียงดังแล้วเดินไปหาคนทั้งสาม

“มา ข้าจะแนะนำทั้งสามท่านให้รู้จัก นี่คือศิษย์น้องหญิงหานเฟยจื่อ”

หานเฟยจื่อขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบการแนะนำเช่นนี้

ทว่านางเพิ่งมาสำนักเหมันต์สวรรค์จึงต้องอดกลั้นเอาไว้ แล้วพยักหน้าให้ทั้งสามคน

ส่วนหานชางจื่อเมื่ออมยิ้มและทักทายกับทุกคนแล้ว จึงเดินมาทางซูหมิง

ซูหมิงยืนอยู่ด้านข้าง มองการสนทนาอย่างคึกคักของพวกเขา ด้วยการแนะนำของเฉินลั่วปิ่ง หลายคนดูเป็นมิตรกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนสวี่หรูเยวี่ย พอกลับมาถึงสำนัก สีหน้านางก็ค่อยๆ กลับมาหยิ่งยโสเหมือนกับคนส่วนใหญ่อีกครั้ง นี่คือความหยิ่งยโสที่ศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ส่วนใหญ่มี

ซูหมิงไม่สนใจคนเหล่านั้น แต่เดินหน้าไปเพียงลำพัง ยืนอยู่ตรงขอบแท่นแล้วมองทอดไกล ทุกอย่างที่เห็นเป็นแผ่นดินใหญ่ขาวหิมะ หิมะนี้ชวนให้เขาเกิดความรู้สึกพิเศษบางอย่าง ยืนอยู่ตรงนี้แล้วราวกับเห็นหิมะของภูเขาทมิฬ

เกล็ดหิมะพัดผ่านใบหน้าของเขา ความรู้สึกหนาวเย็นทำให้เขาพบเจอความคุ้นเคย

“รู้สึกไม่สบายตัวรึ?” เสียงหานชางจื่อดังเบาๆ อยู่ข้างกายเขา

“ตอนข้ามาสำนักเหมันต์สวรรค์ครั้งแรกก็เป็นอย่างนี้” หานชางจื่อมองซูหมิง ยิ้มด้วยความอ่อนโยน

“ก็พอได้” ซูหมิงยิ้มกล่าว

ความจริงซูหมิงเป็นที่สังเกตของทั้งสามคนตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาได้รับคำสั่งให้มารอที่นี่ เห็นหานชางจื่อกลับมาด้วยก็มิได้แปลกใจนัก ทว่าพอเห็นซูหมิงกลับรู้สึกประหลาดใจ

เพียงแต่เฉินลั่วปิ่งไม่ได้แนะนำและก็ไม่ได้ถามในทันที ยามนี้เห็นซูหมิงแยกตัวออกไปคนเดียว ทั้งสามคนจึงอดถามขึ้นมามิได้

“ศิษย์น้องเฉิน เขาเป็นใคร? เหตุใดกลับมากับพวกเจ้า?”

“เขา….” เฉินลั่วปิ่งลังเลครู่หนึ่ง กล่าวยังไม่ทันจบ พลันมีสายรุ้งลากยาวเข้ามาจากท้องฟ้า เส้นสายรุ้งนี้อันธพาลยิ่งนัก ขณะพุ่งทะยาน ศิษย์หลายคนที่กำลังเหาะอยู่เช่นกันต้องรีบหลบ มิเช่นนั้นคงได้ชนกันแน่

ศิษย์สำนักที่หลบเหล่านั้นล้วนมีสีหน้าโกรธเคือง ทว่าเมื่อเห็นเงาร่างคนในสายรุ้งยาวกลับส่ายศีรษะแล้วไม่สนใจอีก

“เฮ้ย ในพวกเจ้าใครชื่อซูหมิง!” เสียงคำรามพลันดังมาจากในสายรุ้งยาว ความดังของเสียงสั่นสะเทือนแก้วหู

สายรุ้งตรงเข้ามาใกล้ ยืนอยู่กลางอากาศนอกแท่น เผยให้เห็นเป็นชายร่างสูงใหญ่ประดุจภูเขาเล็ก ชายร่างกำยำเส้นผมยุ่งเหยิง ทั้งตัวมีแต่กลิ่นสุรา ในมือถือน้ำเต้าใหญ่ เมื่อกล่าวจบยังสะอึกสุรา ถลึงตามองทุกคนบนแท่น

“ท่านหู่คนนี้ถามพวกเจ้าอยู่ ใครคือซูหมิง!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version