ตอนที่ 238 ลอกแบบ
คนต่างกันสองคน ชื่อต่างกันสองชื่อ ชีวิตต่างกันสองช่วง
เหมือนกับเส้นสองเส้นที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน แม้ไปทางเดียวกันทว่าก็ไม่มีวันมาเจอกัน นี่คือซูหมิงกับซือหม่าซิ่นก่อนต่อสู้กันในสำนักเหมันต์สวรรค์
ช่วงที่ทั้งสองคนเพิ่งลงมือ ความคล้ายอย่างน่าประหลาดที่แม้แต่คนนอกยังมองออกล้วนไม่เคยมีอยู่ แต่หลังจากลงมือ ทั้งสองคนจึงค่อยๆ พบจุดนี้ในช่วงท้ายที่สุด
ผู้ชมโดยรอบมองการต่อสู้มาโดยตลอด ความรู้สึกคล้ายคลึงเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งเป็นสายฟ้า อีกหนึ่งเป็นน้ำแข็ง ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน ทว่าคนหนึ่งมีสายฟ้าไหลเวียนรอบตัว อีกคนหนึ่งมีหิมะโอบล้อม บางทีแค่นี้อาจไม่มากพอเรียกว่าคล้าย แต่ต่อมา หลังจากกระบี่เล็กแสงดำปะทะกับหอกน้ำแข็ง เกราะดำแม่ทัพเทพและเกราะน้ำแข็งแวววับปรากฏ ความรู้สึกคล้ายคลึงก็แตกหน่อออกมา
จนกระทั่งซือหม่าซิ่นหยิบขวดกลม ปล่อยหมาป่าที่สร้างจากจิตวิญญาณของวัตถุที่หายากยิ่งและน้อยคนนักจะได้ครอบครอง ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ซูหมิงปล่อยเหอเฟิงออกมาเช่นกัน ความรู้สึกคล้ายพลันไปถึงระดับสูงพอสมควร
ความคล้ายนี้ทะยานถึงขีดสุดเมื่อซูหมิงหยิบโอสถชิงวิญญาณ และซือหม่าซิ่นปล่อยหนอนเล็กพิลึกออกมาจากปาก ของวิเศษที่ต่างกันสองชนิด กลิ่นอายพลังและสีหน้าที่คลับคล้ายกันของทั้งสองคน ในวินาทีนั้นราวหลอมรวมเข้ากับทุกอย่างก่อนหน้านี้และปะทุออกมาทั้งหมด ก่อขึ้นเป็นความคล้ายคลึง…ที่แม้แต่คนนอกยังสังเกตเห็น!
เสียงระฆังดังกึกก้องรอบทิศ ยามนี้หนอนไม้พลองดำทึบขนาดเท่าเล็บมือกระเด็นถอย เพียงแต่ความเร็วในการถอยของมันช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังส่ายไปมา ประหนึ่งการโจมตีเมื่อครู่มันเคลื่อนตัวเร็วเกินไป พอระฆังเขาหานส่งเสียง จึงเกิดเป็นแรงสะท้อนกลับจนมันแทบทนรับไม่ไหว
ซูหมิงเห็นหนอนไม้พลองกระเด็นถอย เห็นมันใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็จะพุ่งเข้ามาใหม่ ภาพนี้ทำให้ซูหมิงเปลี่ยนสีหน้า เขากดความรู้สึกเอาไว้ รู้ดีถึงอานุภาพพลังของระฆังเขาหาน โดยเฉพาะการโจมตีแบบกระแทกเช่นนี้ แม้แรงดีดกลับจะทำให้เขาทนรับไม่ไหวเหมือนกัน ทว่าหนอนประหลาดตัวนี้กลับฟื้นฟูได้เร็วยิ่งนัก
นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย เขารู้ดีว่าจะให้หนอนฟื้นฟูกลับมาไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้ว ลำพังแค่มันก็สร้างปัญหาให้กับเขาอย่างใหญ่หลวง แทบจะเป็นช่วงที่หนอนกระเด็นออกไป ซูหมิงชี้นิ้วมือขวาไปทางมัน ขณะเดียวกันก็พลันสาวเท้ายาวหนึ่งก้าว
เมื่อเหยียบเท้าลง ตัวเขามายืนอยู่เหนือหนอนไม้พลองที่กำลังกระเด็น จากนั้นในมือปรากฏระฆังเขาหานคล้ายกระดิ่งใบเล็ก ก่อนครอบหนอนเล็กเอาไว้ราวกับฝาครอบใบใหญ่
ซือหม่าซิ่นอยู่ไกลๆ ภายใต้อานุภาพของโอสถชิงวิญญาณ เขาจำต้องสละเงาโลหิตที่สร้างจากพลังโลหิตของตน ยามนี้ใบหน้าจึงซีดขาว แม้มิได้กระอักโลหิตเหมือนซูหมิง แต่ก็อ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด พอเห็นการกระทำของซูหมิง นัยน์ตาก็ฉายแววโมโหในทันที
เขาห้อเหยียดไปด้านหน้าพร้อมกับแผดเสียงตะโกน มือขวาคว้าอากาศไปด้านหลัง ภูเขาเจ็ดสีที่ยังคงลอยอยู่ไกลๆ พลันเปล่งแสงเจ็ดสีสว่างจ้าตา เด็กสาวที่อยู่บนภูเขาเจ็ดสีร้องออกมาด้วยความตกใจขณะรีบบินถอย ใต้ฝ่าเท้านางมีเส้นแสงค้ำยันตัวเอาไว้
ต่อสู้กับซูหมิงมาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดซือหม่าซิ่นก็ใช้ของวิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ภูเขาเจ็ดสี!
“ซูหมิง เจ้ากล้าแตะงูล้ำค่าของข้า!” ซือหม่าซิ่นมีสีหน้าเหี้ยมเกรียม มือขวาที่คว้าอากาศอยู่เคลื่อนไหว ภายในแสงของภูเขาเจ็ดสี มีแสงสีแดงพลันสว่างจ้าขึ้นมา
ท่ามกลางแสงสีอื่น ประหนึ่งถูกอัญเชิญมาจากในแสงเจ็ดสี หลังจากเปล่งประกายระยิบระยับ ภูเขาเจ็ดสีก็เหมือนว่ามีเพียงสีนี้สีเดียว
“เปลี่ยนเทพหมาน หลอมเจ็ดสี แดงฉาน!” เส้นเลือดดำปูดโปนบนใบหน้าของซือหม่าซิ่น ร่างกายเขากลายเป็นสีแดงในชั่วพริบตา โดยเฉพาะที่มือขวา ยามนี้ห้ากรงเล็บงอลงเป็นสีแดงดูพิลึกยิ่งนัก ก่อนจะคว้าอากาศไปทางภูเขาแผ่แสงแดงฉานที่กำลังลอยเข้ามา
เมื่อคว้าไปแล้ว แสงสีแดงจากภูเขาเจ็ดสีประหนึ่งหมอกเดือดพล่าน เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวทึบไม่มั่นคง ภายใต้แสงวิบวับ ภูเขาลูกนี้ส่งเสียงหึ่ง หากมองจากไกลๆ แสงสีแดงผืนใหญ่จะเหมือนถูกมือขวาซือหม่าซิ่นดูดเข้าไปรวมตัวกันอย่างเนืองแน่น แล้วพลันกลายเป็นกระบี่ยาวสีชาด
กระบี่เล่มนี้ยาวเจ็ดฉื่อ ทุกส่วนราวย้อมด้วยโลหิตสด ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความเศร้าโศกน่าตกตะลึง ซือหม่าซิ่นถือมันไว้ในมือ ฟาดฟันไปทางซูหมิงในพริบตา!
ครั้นฟันลง ฟ้าดินโดยรอบเหมือนมืดสลัว แรงกดดันพลันแผ่ขยาย ทุกคนโดยรอบเกิดความรู้สึกหายใจติดขัด คล้ายกับว่าการฟันกระบี่ครั้งนี้สูบอากาศหายใจทั้งหมดของฟ้าดินไป
ความเศร้าโศกที่มากพอจะส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึก แผ่ขยายรอบทิศพร้อมกับกระบี่เล่มนี้
“ในตอนแรกเริ่ม ชีวิตข้าไม่มีอะไรเลย…” ซือหม่าซิ่นที่กำลังร่ายรำกระบี่กล่าวพึมพำด้วยความเจ็บปวด สีหน้าเขาราวหลอมรวมกับกระบี่ หนึ่งคำพูด หนึ่งคมกระบี่!
วินาทีที่กระบี่ฟันฉับลง หานชางจื่อบนยอดเขาลำดับสามพลันหน้าซีดขาว หญิงสาวใบหน้ารูปไข่ห่านข้างกายนางสูดลมหายใจเข้าลึก
“เขาใช้วิชาเปลี่ยนเทพหมาน!”
บนยอดเขาลำดับสี่ อาจารย์ใหญ่ฝ่ายซ้ายผู้สวมเสื้อคลุมม่วงเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ดวงตาทั้งสองข้างก็หรี่ลง
“ดูท่าเขาคงเข้าใจรูปแบบแรกของวิชาเปลี่ยนเทพหมานแล้ว”
แต่ละยอดเขามีคนเข้าใจความหมายแฝงของกระบี่ ยามนี้ล้วนเพ่งมองไป บนยอดเขาลำดับเก้า ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ในมือเทียนเสียจื่อมีน้ำเต้าโผล่มา เขาวางไว้ตรงริมฝีปากแล้วดื่มลงไปหนึ่งอึก ส่ายศีรษะ นัยน์ตาฉายแววเหยียดหยาม
“เปลี่ยนเทพหมาน…ก็คู่ควรจะใช้คำว่าเปลี่ยนเหมือนกัน! สักวันหนึ่งข้าจะทำให้ทุกคนรู้ว่าอะไรคือเปลี่ยนเทพหมานของจริง! แต่ซือหม่าซิ่นแสดงอภินิหารนี้ ร่างกายกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย…” เทียนเสียจื่อกล่าวขึ้นเหมือนมิได้สนใจว่าซูหมิงจะรับมือกับกระบี่น่าสะพรึงตรงหน้านี้อย่างไร เขาดื่มสุราพลางเอ่ยคำที่นอกจากตัวเขาแล้วก็ไม่มีใครได้ยิน
เหมือนเขาเชื่อมั่นว่าซูหมิงจะรับกระบี่นี้ได้!
ขณะเดียวกันบนยอดเขาลำดับเก้า ศิษย์พี่รองกำลังก้มปลูกพืชดอกหลายต้นบนพื้นหิมะไม่หยุด ยามนี้มือขวาที่ถือพืชดอกหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นมองทอดไปไกลแวบหนึ่ง
“ศิษย์น้องเล็ก นี่เป็นโอกาสที่หายากยิ่งนัก…เปลี่ยนเทพหมาน…สร้างโดยสำนักเหมันต์สวรรค์ เป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนัก! ทุกคนที่วาดภาพล้วนต้องลอกแบบก่อน จากนั้นถึงจะสร้างผลงานของตัวเองได้” ศิษย์พี่รองเพ่งมองไปไกล กล่าวพึมพำกับตัวเอง
ใต้ฝ่ายนภา ตรงใจกลางยอดเขาทั้งเก้าของแผ่นดินเหมันต์
การต่อสู้ระหว่างซือหม่าซิ่นกับซูหมิงดึงดูดความสนใจของผู้คนมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อซือหม่าซิ่นแสดงวิชาเปลี่ยนเทพหมาน แสงสีแดงถูกดึงออกมาจากภูเขาเจ็ดสี กลายเป็นพลานุภาพดุจกระบี่ยาวย้อมด้วยโลหิตฟาดฟันลง นี่ยิ่งทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ทะยานถึงขีดสุดในชั่วพริบตา
แสงกระบี่แดงส่งเสียงลากยาวน่าประหลาด ราวกับมีคนจำนวนมากกำลังร่ำไห้ด้วยเสียงเย็นเยือก เสียงนั้นรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นเสียงจากกระบี่สีแดงฉานยามมันพุ่งตัดอากาศ
ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง แฝงไว้ด้วยความเคร่งขรึม ความแข็งแกร่งของซือหม่าซิ่น เขาทราบนานแล้ว แม้ตอนนี้เขาจะต่างจากตอนแรก แต่ก็ยังมีระยะห่างจากซือหม่าซิ่นเล็กน้อย
ไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งอื่น เอาแค่กระบี่ของซือหม่าซิ่นตรงหน้า ก็ทำให้ซูหมิงเกิดความรู้สึกว่าไม่อาจต้านทานไหวแล้ว เขาได้ยินเสียงพึมพำของซือหม่าซิ่นกึกก้องข้างหู หลอมรวมเข้ากับกระบี่ ทำให้กระบี่เล่มนี้คล้ายแฝงไว้ด้วยการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ซูหมิงไม่มีทางเข้าใจ
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เหมือนกับเปลี่ยนจากสิ่งเน่าผุให้กลายเป็นสิ่งอัศจรรย์ เปลี่ยนจากการฟันกระบี่ธรรมดาให้กลายเป็นสิ่งที่ซูหมิงไม่อาจต้านทานไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวกระบี่ มันเป็นสมบัติล้ำค่าจากภูเขาเจ็ดสีของซือหม่าซิ่น ตัวมันมีพลังสูงส่ง เมื่อรวมเข้ากับวิชาเปลี่ยนเทพหมานจึงกลายเป็นพลังทรงอานุภาพ จากการวิเคราะห์ของซูหมิงในชั่วพริบตา กระบี่นี้เพียงพอจะสังหารนักรบหมานทุกคนที่พลังต่ำกว่าขั้นเซ่นไหว้กระดูก
ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเซ่นไหว้กระดูก เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่นี้ก็ยากจะต้านทานไหว ทว่าซูหมิงมิใช่นักรบขั้นเซ่นไหว้กระดูก จึงทำได้เพียงวิเคราะห์ ยังยืนยันมิได้
ช่วงที่กระบี่ฟันลงมา นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายวาววับ เขารู้ว่ามีเพียงระฆังเขาหานที่อาจต้านทานกระบี่เล่มนี้ได้ แต่หากใช้ระฆังเขาหาน ก็จะไม่อาจควบคุมหนอนไม้พลองที่กำลังฟื้นตัวกลับมา
หากปล่อยให้หนอนไม้พลองฟื้นฟูความเร็วและคืนสติ เช่นนั้นซูหมิงจะเป็นฝ่ายถูกกระทำแต่เพียงผู้เดียวในการต่อสู้ครั้งนี้ ทว่าหากไม่ปล่อยหนอนไป ก็ต้องรับมือกับกระบี่ของซือหม่าซิ่น ซูหมิงหรี่ตาลง แอบถอนหายใจเบาๆ ขณะกำลังจะเลือกปล่อยหนอนเล็กที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ทันใดนั้นนัยน์ตาซูหมิงพลันเปล่งประกาย
เขามองกระบี่ที่กำลังฟันลงมาจากบนท้องฟ้า ความเร็วของกระบี่ค่อยๆ ช้าลงถึงขีดสุดอย่างน่าประหลาด การช้าลงเช่นนี้เกิดขึ้นกะทันหันยิ่ง และที่แปลกกว่าคือผู้คนโดยรอบเหมือนมิได้สังเกตเห็นว่ากระบี่เชื่องช้าลง ซูหมิงมองไปรอบๆ ทันที เขาพบว่าฟ้าดินรอบตัวและการเคลื่อนไหวของทุกสิ่งช้าลงด้วยเหมือนกัน
เสมือนมีพลังอย่างหนึ่งตรงเข้ามาโดยไร้เสียง ควบคุมการไหลเวียนของเวลาไว้
“นี่คือสิ่งที่อาจารย์สร้างขึ้น เมื่อการสร้างถึงระดับที่มั่นคงพอควรแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้นเพราะการฝึกฝนที่ต่างกัน…ลักษณะเหมือนกับโลกมิติ ทว่าก็ต่างกันอีก เรื่องที่ในสายตาคนอื่นเป็นเพียงชั่วพริบตาเดียว ด้วยสภาวะของเจ้าในตอนนี้มันจะช้าลงมาก
เจ้ามีเวลามากพอจะจดจำกระบี่เล่มนี้ และทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในตัวมัน…คิดหามันออกมา จากนั้นก็รับกระบี่ของเจ้าหนูซือหม่าอย่างองอาจเสีย”
ซูหมิงมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย มองการกระทำของทุกคนที่ช้าลงหลายเท่า มองกระบี่กลางอากาศที่เปล่งแสงสีแดงฟันลงมาอย่างช้าๆ
เขาไม่รู้ว่าเทียนเสียจื่อทำได้อย่างไร ทว่ามาคิดดูแล้ว การทำเช่นนี้ต่อสายตาของผู้คนจำนวนมากในสำนักเหมันต์สวรรค์จำต้องมีพลังมหาศาล
บุญคุณของอาจารย์ในครั้งนี้ทำให้ซูหมิงเกิดความรู้สึกอบอุ่นในใจ และเกิดความรู้สึกเป็นครอบครัวเดียวกับยอดเขาลำดับเก้ามากขึ้น
เขารู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาซาบซึ้งใจ จึงมองกระบี่ที่กำลังฟันลงมาอย่างช้าๆ นั้น แววตาซูหมิงค่อยๆ ว่างเปล่า…เขายกมือขวาขึ้น ใช้นิ้วชี้เป็นพู่กัน ราวกับกำลังจะวาดวิถีการเคลื่อนที่ของกระบี่เล่มนี้