Skip to content

สู่วิถีอสุรา 242

ตอนที่ 242 คำร้องขอของเฉินเซียง

ซูหมิงมิได้กล่าวในทันที แต่ยืนอยู่ตรงนั้น มองเฉินเซียงหญิงแปลงชายตรงหน้า แววตาแฝงไว้ด้วยความเฉียบแหลม สายตาที่มองเฉินเซียงทำให้นางเกิดความรู้สึกราวกับถูกมองทะลุจิตใจ เห็นส่วนลึกในใจของตน

เฉินเซียงใจสั่น ก้มหน้าลงไม่สบตา และถอยหลังอีกหลายก้าว

“พูดมาเถอะ ข้าจะพิจารณา” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ น้ำเสียงไม่ช้าไม่เร็ว

“เรื่องนี้…หากอาจารย์อาอยากช่วยย่อมทำได้แน่นอน…” เฉินเซียงกัดริมฝีปากล่าง นางในตอนนี้เผยสีหน้าของสตรีโดยมิได้ตั้งใจมากขึ้น

“อาจารย์อาโปรดช่วยบอก…บอกอาจารย์อาซุนต้าหู่ว่าอย่ามา…แอบมองนอกห้องข้าตอนกลางคืนอีก…มันทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายตัว…” เฉินเซียงกล่าวเสียงเบา ไม่ง่ายเลยที่จะใช้ถ้อยคำภาษาที่ค่อนข้างรื่นหูมาแสดงความหมายแฝงของนาง ยามนี้กล่าวจบก็โค้งตัวคำนับซูหมิง

“ได้โปรด อาจารย์อาซูช่วยข้าด้วย…”

ซูหมิงพลันมีสีหน้าประหลาดใจ เขานึกถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง ทว่ากลับไม่คิดเลยว่าเฉินเซียงตรงหน้าจะมอบแผ่นไม้และเส้นเอ็นให้แก่เขาเพราะเรื่องนี้

จากตรงนี้จะเห็นได้ว่า หู่จื่อในสายตาของนางส่งผลกระทบด้านลบมากเพียงใด

โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงตอนก่อนหู่จื่อจะหลับและพาเขาออกจากยอดเขาลำดับเก้า เหตุการณ์ระหว่างทางเหล่านั้นทำให้ซูหมิงอดยิ้มแห้งๆ มิได้

“เรื่องนี้ข้าจะเกลี้ยกล่อมเขาอย่างเต็มที่ แต่ก็รับประกันไม่ได้” ซูหมิงลังเลครู่หนึ่ง กล่าวความในใจ เขาเองก็ไม่อยากให้มีคนมานั่งแอบอยู่ข้างนอกในยามค่ำคืนและมองกิจวัตรของตนตลอดเหมือนกัน

โดยเฉพาะตอนนึกถึงรอยยิ้มมุมปากประหลาดตอนหู่จื่อแอบมองศิษย์พี่รอง

ซูหมิงเดาได้ไม่ยากว่าตอนหู่จื่อแอบมองคนอื่นก็คงมีรอยยิ้มอย่างนั้นเหมือนกัน

เขามองเฉินเซียงพลางกล่าวด้วยความเห็นใจ พอนางได้ยินซูหมิงกล่าวก็พลันมีสีหน้าซาบซึ้งใจ ความซาบซึ้งใจนั้นมิใช่การแสร้งทำ แต่ออกมาจากใจจริง เห็นได้ชัดว่าหู่จื่อคุกคามนางหนักมากเพียงใด

หากเชิญอาจารย์อาหู่จื่อที่เป็นเหมือนฝันร้ายออกไปได้ สำหรับเฉินเซียงแล้ว มันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในความรู้สึกนางตอนนี้

ภายใต้ความซาบซึ้งใจและความเคารพของเฉินเซียง

ซูหมิงเดินออกจากวิหารวัตถุ เฉินเซียงเดินตามอยู่ด้านหลัง ท้ายที่สุดก็ยังคารวะซูหมิงอีก ความคาดหวังในแววตานาง ทำเอาซูหมิงมองหู่จื่อที่กำลังนอนกรนอยู่ด้านหลังจื่อเชอไม่ไกลนักรอบหนึ่ง

“ข้าจะพยายามเต็มที่” ซูหมิงพยักหน้าให้เฉินเซียง ก่อนเดินไปหาหู่จื่อแล้วอุ้มเขาขึ้นมา ร่างเหยียบอากาศกลายเป็นสายรุ้งยาวมุ่งหน้าไปทางยอดเขาลำดับเก้า

จื่อเชอรีบตามหลังไปติดๆ เขามองเงาแผ่นหลังของซูหมิงด้านหน้าด้วยแววตาเด็ดขาด

ไม่นาน ทั้งสองคนหน้าหลังก็ห้อเหยียดจากกลุ่มวิหารใต้ฝ่ายนภามาเกือบถึงยอดเขาลำดับเก้า ระหว่างทางซูหมิงพบศิษย์ในสำนักบ้างเล็กน้อย หลังจากคนพวกนั้นเห็นเขาแล้ว ก็มีคนจำได้และหยุดประสานมือคารวะทันที รอจนเขาจากไปแล้วจึงค่อยขยับตัว

คำเรียกอาจารย์อาซูเหล่านั้น แม้ระหว่างทางไม่มีมากมายนัก ทว่าก็ต่างจากตอนขามาโดยสิ้นเชิง

หากข้างกายมีคนไม่เข้าใจเรื่องที่เห็นนี้ก็จะกระซิบถามทันที และเมื่อได้คำตอบสีหน้าจะดูเหลือเชื่อ แววตาที่มองเงาแผ่นหลังของซูหมิงพลันต่างออกไป

ผ่านไปครู่หนึ่ง ช่วงที่ยอดเขาลำดับเก้าปรากฏตรงหน้าซูหมิง เขากับจื่อเชอเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว จนมาถึงนอกถ้ำของหู่จื่อ เขาอุ้มหู่จื่อเดินเข้าไปในถ้ำ และวางลงตรงที่นอนประจำ

ซูหมิงมองหู่จื่อกรนเสียงดัง ใบหน้าเผยรอยยิ้มบาง หยิบน้ำเต้าสุราจากด้านข้างมาวางไว้ตรงจุดที่หู่จื่อยื่นมือถึง ก่อนหมุนตัวจากไป

ด้านนอกถ้ำ จื่อเชอยืนอย่างนอบน้อม ครั้นเห็นซูหมิงออกมา พลันก้มหน้าทำท่าทางเหมือนกำลังรอคำสั่ง

“เดิมทีตั้งใจจะหลอมเจ้าเป็นน้ำโอสถ” ซูหมิงกวาดสายตามองจื่อเชอ

จื่อเชอเงียบ มีสีหน้าทำตัวไม่ถูก ก้มหน้าไม่กล่าวสิ่งใด

“ทว่า หากเจ้าหาร่างคนใกล้ตายมาให้ข้าได้สองคน ข้าจะลบความคิดนี้ทิ้งไป” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง เดิมทีในใจเขาก็มีความคิดนี้อยู่แล้ว เรื่องที่สำคัญที่สุดของตนบนยอดเขาลำดับเก้าในสำนักนี้คือการฝึกฝน

จะต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มีแต่ทำแบบนั้นเท่านั้น ในระยะอันใกล้เขาถึงจะเอาชนะซือหม่าซิ่นได้ ในระยะไกลเขาจะสามารถออกจากกำแพงหมอกนภา และไปจากแดนอรุณใต้

ทุกอย่างจำต้องมีขั้นพลังที่แข็งแกร่ง!

ในการต่อสู้กับซือหม่าซิ่น ซูหมิงเห็นถึงความต่างกันไม่มาก แต่เขาทราบดีว่าการต่อสู้ในครั้งนั้นตนน่าจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หากมิใช่เพราะอาจารย์เข้ามาช่วย ให้เวลามากพอจนเขาลอกแบบพลังฟ้าดินของกระบี่เล่มนั้น ช่วงที่กระบี่ฟันลงเขาซูหมิงต้องพ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย

ต่อให้เทียนเสียจื่อช่วย หลังจากนั้นเมื่อซือหม่าซิ่นใช้ยอดวิชาเมล็ดพันธุ์หมานไร้ใจ เขารู้สึกถึงอันตรายร้ายแรงอย่างชัดเจน อันตรายที่ว่านี้มิใช่สิ่งระดับพลังของเขาจะรับมือไหว!

แม้เขายังมีสมบัติล้ำค่าอีกชิ้น นั่นคือน้ำแข็งเพลิงที่ศิษย์พี่ใหญ่มอบให้ เขาก็ยังไม่ได้ใช้มัน ถึงอย่างไรของสิ่งนี้ก็เป็นของนอกกาย มิได้อยู่กับตัวเขา

ทุกอย่างเหล่านี้ล้วนทำให้ซูหมิงเข้าใจอย่างแจ่มชัดเลยว่าขั้นพลังของตนยังอ่อนด้อยยิ่งนัก…ด้วยขั้นพลังระดับนี้ อย่าว่าแต่กลับบ้านเลย แม้แต่กำแพงหมอกนภายังออกไปไม่ได้ กระทั่งในสำนักเหมันต์สวรรค์ก็ยังไม่มีอำนาจ

ในระหว่างทางกลับ ความคิดทุกอย่างนี้วนเวียนอยู่ในหัวซูหมิงอยู่นาน

“อาจารย์อาซู คนใกล้ตายหาไม่ยาก ผู้เยาว์รับปากกับอาจารย์อาได้ว่าภายในสามปีจะต้องหาคนใกล้ตายที่มีขั้นพลังสูงส่งมาให้อย่างแน่นอน เผ่าเชมันนอกกำแพงหมอกนภาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด” จื่อเชอกล่าวอย่างนอบน้อม

ขณะจื่อเชอกล่าว ซูหมิงหันหลังเดินจากไปไกลราวกับมิได้ยินเสียงเขา เดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจื่อเชอกระวนกระวาย ตอนที่เขาเห็นเงาซูหมิงกำลังจะเลือนหาย มีเสียงของซูหมิงดังแว่วเข้ามา

“นอกถ้ำของข้ายังขาดคนเฝ้ายามกลางดึกหนึ่งคน หากเจ้ายินยอมก็ตามมา”

จื่อเชอตื่นตะลึง พลันกล่าวเสียงดัง “ผู้เยาว์ยินยอม!” เขาเอ่ยพลางทะยานตามหลังซูหมิงและหายไปจากนอกถ้ำของหู่จื่อ

ซูหมิงกลับมาถึงถ้ำของเขา ถ้ำแบบง่ายๆ นี้ ในความคิดเขามีบางอย่างต่างออกไปจากเมื่อก่อน มันมีความอบอุ่นและความรู้สึกของครอบครัวเพิ่มเข้ามา

บนแท่นราบนอกถ้ำเต็มไปด้วยพืชสีเขียวที่เติบโตกลางหิมะ เพียงแต่ว่ามีจุดเล็กๆ ที่เป็นพื้นที่ว่าง ตรงนั้นคือที่นั่งฌานของซูหมิงที่เขาบอกให้ศิษย์พี่รองเหลือเอาไว้ให้

พืชสีเขียวเหล่านั้นขยับไปมาท่ามกลางลมหิมะ คล้ายกำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดในแดนหนาวเยือก พวกมันมีพลังชีวิตที่เข้มแข็งและอดทน ซูหมิงมองพวกมันแล้วรู้สึกเหมือนได้เห็นศิษย์พี่รอง

ซูหมิงเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดศิษย์พี่รองถึงอยากปลูกพืชดอกบนยอดเขาลำดับเก้าให้ได้มากกว่าครึ่ง นั่นก็เป็นเพราะว่านี่คือบ้านของเขา เขาก็เหมือนกับพืชดอกพวกนี้ จุดที่มันอยู่ก็คือจุดที่เขาอยากเฝ้าระวัง

เหมือนกับตรงนี้ แต่ก่อนไม่มีพืชดอก ทว่าพอซูหมิงมาเปิดถ้ำอาศัย ศิษย์พี่รองก็มาพร้อมกับพืชดอกของเขา และปลูกมันจนแน่นไปหมด

ความอบอุ่นไร้เสียงในพืชดอกที่ส่ายไปมาท่ามกลางสายลม ทำให้ซูหมิงสัมผัสได้โดยไม่รู้ตัว เขานั่งยองลงมองพืชดอกเหล่านั้น รอยยิ้มบนใบหน้ามีความอ่อนโยนอย่างที่พบเห็นได้ยากตั้งแต่เขามาถึงแดนอรุณใต้

รอยยิ้มเช่นนี้มีแค่ช่วงอยู่ในภูเขาทมิฬเท่านั้น ถึงจะยังคงอยู่ในใจของซูหมิงเสมอมา และสะท้อนผ่านทางใบหน้าเขา

จื่อเชอยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ เขากำลังมองซูหมิง ตอนที่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าอีกฝ่าย เขามีสีหน้าลังเลใจ ราวกับว่าคนตรงหน้ามิใช่อาจารย์อาซูคนที่ต่อสู้กับซือหม่าซิ่นอย่างสูสีและเต็มไปด้วยพลังชั่วร้ายจนเขายำเกรง แต่กลับกลายเป็นชายหนุ่มที่เพิ่งเติบใหญ่ และยังมีใบหน้าที่เยาว์วัยหลงเหลืออยู่เล็กน้อย

ทว่าความลังเลนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น เมื่อซูหมิงยืนขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป ความรู้สึกที่จื่อเชอไม่ทราบว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ก็พลันหายไปด้วย

ชายหนุ่มที่เพิ่งเติบใหญ่หายไป แล้วแทนที่ด้วยอาจารย์อาซูที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายแฝงอยู่ท่ามกลางความสงบนิ่ง

“ไม่มีคำสั่งของข้า เจ้าห้ามเข้ามาในถ้ำเด็ดขาด อยู่นอกถ้ำรอฟังคำสั่งข้า”

ซูหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก แล้วเดินเข้าไปในถ้ำที่ไร้ประตูทางเข้า

“ขอรับ!” จื่อเชอมีสีหน้าเคารพ รีบปฏิบัติตามคำสั่งทันที เขาถอยหลังไปหลายก้าว แล้วหาที่หลบลมนั่งฌานสมาธิ แววตาของเขามีความสับสนเพียงชั่วพริบตา ก่อนแทนที่ด้วยความเด็ดเดี่ยว

‘สามปี…สามปีนี้บางทีอาจมิใช่เรื่องแย่สำหรับข้า แต่เป็นความโชคดี…หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น…’ จื่อเชอหลับตาลงตกอยู่ในห้วงฌานสมาธิ แต่จิตใจเขากลับอยู่รอบตัว เหมือนกับเป็นทาสอารักขา ทำในสิ่งที่ตนควรจะทำ

ซูหมิงในเวลานี้นั่งขัดสมาธิภายในถ้ำเช่นกัน เขากำลังมองท้องฟ้าด้านนอกที่กำลังจะมืดลง ค่อยๆ หยิบแผ่นไม้แรดขาวที่ได้มาจากวิหารวัตถุออกมาวางไว้ตรงหน้า แล้วตามด้วยเส้นเอ็นสัตว์ร้าย

เส้นเอ็นนี้แข็งแรงทนทานยิ่งนัก แม้เป็นเพียงส่วนสั้นๆ ทว่าก็ยืดยาวได้มาก

แผ่นไม้แรดขาวเหล่านี้มีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน มียาวมีสั้น หนาราวสามนิ้วมือและสองนิ้วมือเท่านั้น ซูหมิงมองแผ่นไม้เหล่านี้ หลังจากตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยกสองมือขึ้นอย่างเร็ว คว้าไม้แผ่นหนึ่งเอาไว้ ขณะสะบัดมือก็มีผงไม้จำนวนมากปลิวว่อน ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เขาวางแผ่นไม้ลงแล้วหยิบแผ่นใหม่ขึ้นมา

ผ่านไปนาน หลังจากซูหมิงจัดการไม้ทุกแผ่นครบแล้ว เขาก็วางเอาไว้ตรงหน้าทั้งหมดเก้าแผ่น ทุกแผ่นล้วนมีขนาดยาวเท่าแขน กว้างห้านิ้วมือ สูงสองนิ้วมือ มีลักษณะเหมือนกันทุกประการ ทุกส่วนเป็นสีขาวผ่อง หากมองแวบแรกจะไม่มีทางมองออกเลยว่ามันคือไม้ แต่คล้ายเป็นหยกขาว

หลังจากวางแผ่นไม้เหล่านี้เข้าด้วยกันแล้ว ก็ปรากฏเป็นกระดานภาพขนาดใหญ่ตรงหน้าเขา ระหว่างทุกแผ่นไม้แม้บอกว่ามีซอกเล็กๆ แต่หากออกแรงบีบเข้าด้วยกันแล้วจะปิดซอกเหล่านั้นได้

หลังจากนั้น ซูหมิงก็หยิบเส้นเอ็นสัตว์ร้ายขึ้นมา ตรงกลางระหว่างคิ้วเขาขยับประกายแสงดำ กระบี่เล็กบินออกมาตัดเส้นเอ็นออกเป็นหลายส่วน เส้นเอ็นนี้มีความยืดหยุ่น ขณะกำลังมัดแผ่นไม้เข้าด้วยกัน จึงทำให้ซอกระหว่างกระดานวาดภาพหายไป ทว่าหากออกแรงม้วนมันเหมือนม้วนหนังสัตว์ ความยืดหยุ่นของเส้นเอ็นจะทำให้มันมีลักษณะเป็นกระบอกกลม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version