ตอนที่ 246 เจ้าเข้าใจรึไม่?
บนยอดเขาลำดับเก้า ซูหมิงค่อยๆ ลืมตาจากฌานสมาธิ แววตาของเขาดูเหนื่อยล้าหลังจากประทับตราลงในจิตใจหนอนงู เรื่องนี้ผลาญจิตเขาไปจำนวนมาก ต่อให้มีพลังวิญญาณจากเหรียญหินเหล่านั้นช่วย แต่เพราะการลุกไหม้ของภาพโลหิตหนังมนุษย์ เขาในตอนนี้จึงดูเหนื่อยล้ายิ่งนัก
แม้จะอ่อนล้า ทว่าสีหน้ากลับปีติ มือขวาที่ยื่นออกมามีหนอนไม้พลองสีดำขนาดยาวหนาเท่านิ้วมือตัวหนึ่งกำลังนอนคว่ำอย่างสงบนิ่ง
หากมองอย่างละเอียดจะพบว่ามันคือหนอนงูที่มีลักษณะเป็นไม้พลองประหลาดตัวนั้น
ยานนี้มันก้มหน้าลง หากไม่มองดีๆ คงยากจะสังเกตเห็นว่าดวงตาที่หลับอยู่และตัวของมันเหนื่อยล้าไม่ต่างจากซูหมิง และยังอ่อนแอมาก
เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้หนอนงูไหวพริบดีตัวนี้ได้รับบาดเจ็บ แม้แต่จิตใจก็ยังขึ้นๆ ลงๆ
ทว่าซูหมิงกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจน หลังจากหนอนตัวนี้ผ่านเรื่องเปลี่ยนเจ้านาย เหมือนว่ามันจะต่างไปจากเดิม ราวกับว่าจิตใจเกิดการแปรเปลี่ยน เขาสัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายมหาศาลที่แผ่ออกจากตัวมัน
“ตอนที่เจ้าตื่น…เจ้าจะเป็นอาวุธสังหารอีกอย่างหนึ่งของข้า!” ซูหมิงพึมพำ มือซ้ายลูบหนอนไม้พลองเบาๆ
หนอนนอนแน่นิ่ง มิได้ขัดขืนหรือดิ้นรนเหมือนตอนแรก
ซูหมิงตกอยู่ห้วงความคิดครู่หนึ่ง ก่อนวางหนอนงูเข้าไปในระฆังเขาหาน แม้บอกว่าเป็นการผนึก แต่ความหมายต่างจากก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้คือการพันธนาการ ยามนี้คือการปกป้อง
ใช้ความแข็งแกร่งของระฆังเขาหานเพื่อปกป้องหนอนงูที่กำลังอ่อนแอถึงขีดสุด ให้มันมีเวลามากพอฟื้นตัว จนกระทั่งตื่นขึ้น!
ซูหมิงเก็บระฆังเขาหาน สูดลมหายใจเข้าลึก ยามนี้ท้องฟ้าโลกภายนอกมืดครึ้มอีกครั้ง ไม่นานก็มืดสนิทลง เขายืนขึ้นแล้วเดินออกไปนอกถ้ำ
ช่วงที่เขาเดินออกมา ลมหนาวกระทบใบหน้า พัดผ่านเส้นผมและอาภรณ์จนอดตื่นตะลึงมิได้ เขาหายใจเป็นไอหนาว ความเย็นเยือกแผ่ขยายออกมาจากในร่างกาย จนกระทั่งปกคลุมรอบตัว
ทว่าความหนาวนี้หนาวเพียงแค่ร่างกายเท่านั้น เพราะเขายืนอยู่บนยอดเขาลำดับเก้าที่เป็นบ้าน ดังนั้นจิตใจจึงอบอุ่น
จื่อเชออยู่ไม่ไกลนัก เห็นซูหมิงเดินออกมาก็รีบตรงเข้ามาทันที เขาอยู่ห่างจากซูหมิงหลายจั้ง ก่อนคารวะด้วยความเคารพ
“จื่อเชอคารวะอาจารย์อาซู”
ซูหมิงไม่กล่าวสิ่งใด เขามองฟ้าดินไกลๆ ตรงนั้นเหมือนแสงเทียนใกล้จะมอดดับ มีแสงสว่างรำไรค่อยๆ ถูกความมืดกลืนกิน จนกระทั่งมืดสนิทลง
จื่อเชอไม่ได้มีสีหน้าไม่พอใจ แต่ยืนด้วยความเคารพ รอคำสั่งของซูหมิง
เขาคิดจนกระจ่างแจ้งแล้ว สามปีนี้เขาต้องสร้างรากฐานบนยอดเขาลำดับเก้า เพราะว่าเขาเข้าใจยอดเขาแห่งนี้!
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ครู่ใหญ่ต่อมา ซูหมิงมองความมืดตรงเส้นขอบฟ้า เสียงของเขาเหมือนดังแว่วมาจากความมืดมิดห่างไกล
“ไป๋ซู่คือใคร!” ถามชื่อของไป๋ซู่ผู้เช่นนี้ มิใช่ว่าเขามีนางอยู่ในใจ
ทว่าเพราะซือหม่าซิ่นเคยใช้หนอนไม้พลองมาเป็นตัวกลางในการต่อสู้ ซูหมิงจึงพอคาดเดาแผนการของซือหม่าซิ่นได้บ้าง
“เรียนอาจารย์อา ไป๋ซู่เป็นศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดแห่งสำนักเหมันต์สวรรค์ ปกติเป็นคนพูดน้อยมาก ผู้เยาว์รู้ไม่มากจริงๆ แต่จากความเข้าใจเกี่ยวกับซือหม่าซิ่น เขาไม่มีทางเข้าใกล้ศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งโดยไม่มีผลประโยชน์แน่นอน นางมีพรสวรรค์ทั่วไป แต่กลับได้รับความสนใจจากซือหม่าซิ่น ดูท่าอาจจะเป็นฐานะของนางที่พิเศษกว่าเล็กน้อย” จื่อเชอเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวด้วยความเคารพ
ซูหมิงเงียบไปชั่วครู่ หมุนตัวเดินออกจากแท่น จื่อเชอรีบตามหลังไป ทั้งสองคนเดินอยู่บนยอดเขาลำดับเก้ากลางดึก นอกจากเสียงลมโดยรอบแล้วก็ไม่มีเสียงอื่นอีก ภายในความเงียบ จังหวะก้าวของซูหมิงไม่เร็วนัก ทว่าทุกก้าวล้วนเหมือนมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน จื่อเชอตามอยู่ด้านหลัง ยิ่งมองยิ่งตกตะลึง
‘คนยอดเขาลำดับเก้าเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ ซูหมิงตรงหน้านี้ ตอนเขาเดินเหมือนแฝงไว้ด้วยความพิลึก ข้ามองอยู่นานแล้ว ไม่อยากเชื่อว่าจะรู้สึกเหมือนจิตใจถูกก้าวย่างของเขาเหยียบย่ำ’ จื่อเชอเลียริมฝีปาก แววตาเฝ้าปรารถนา
ขณะทั้งสองคนเดิน จื่อเชอพลันมีสีหน้าจริงจัง หันศีรษะมองเงามืดด้านข้าง เมื่อครู่นี้หางตาเขาเหมือนเห็นมีเงาคนลอยผ่าน
“นั่นคือศิษย์พี่รองของข้า” ยังไม่ทันที่จื่อเชอจะได้แจ้งเตือน น้ำเสียงของซูหมิงดังเข้ามาอย่างสงบนิ่ง
จื่อเชอตะลึงงัน ยังไม่ทันเรียกสติกลับมา ดวงตาพลันหรี่ลง เขาเห็นชัดเลยว่าในเงามืดห่างไปไม่ไกลมีเงาคนพิลึกลอยเข้ามา
ช่วงที่เงาคนลอยผ่านพลันหยุดชะงัก หย่อนตัวลงมองซ้ายมองขวา ก้มหน้าดึงพืชดอกอย่างรวดเร็ว ก่อนลอยหายไป เงาของเขาประหนึ่งวิญญาณ ทำให้ผู้พบเห็นต้องเกิดความตื่นกลัว
เห็นพฤติกรรมของเงาคนนั้นและการลอยแบบไร้เสียง จื่อเชอรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ยามนี้เป็นกลางดึก โดยรอบเงียบสงัด พลันปรากฏเงาคนพิลึกเช่นนี้ โดยเฉพาะเมื่อทราบฐานะของอีกฝ่าย นี่ยิ่งทำให้จื่อเชอทึ่ง
“เขา…..เอ่อ…ศิษย์พี่รองกำลังทำอะไรรึ?” จื่อเชอสูดลมหายใจเข้าลึก สายตายังคงมองไปด้านหน้า ก่อนรีบตามซูหมิงที่ก้าวย่างช้ามาโดยตลอด หลังจากลังเลครู่หนึ่งจึงถามเสียงเบา
“กำลังขโมยพืชดอกของตัวเอง” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง ไม่นานก็เดินมาถึงถ้ำของหู่จื่อ ซูหมิงเคยรับปากกับเฉินเซียงเอาไว้ว่าจะช่วยเกลี้ยกล่อมหู่จื่อให้ ในเมื่อเขารับของจากเฉินเซียงแล้ว ก็จะไม่ลืมเรื่องนี้เด็ดขาด
“ขโมยพืชดอกของตัวเอง….” จื่อเชอมีสีหน้าประหลาดใจและสับสนตลอดทาง เขายิ่งรู้สึกว่ายอดเขาลำดับเก้านี้ยากจะเข้าถึงจริงๆ
ด้านนอกถ้ำของหู่จื่อ ซูหมิงมิได้ยินเสียงกรนของศิษย์พี่สาม พอเข้าไปดูก็พบว่าภายในถ้ำว่างเปล่า ไม่รู้ว่าศิษย์พี่สามไปไหน
ซูหมิงรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย รู้ดีว่าหากหู่จื่อไม่มีธุระอะไร ทุกคืนเขาจะต้องไป ‘แอบมอง’ พร้อมรอยยิ้มลึกลับอย่างแน่นอน และตอนนี้ไม่รู้ด้วยว่าเขาไปยอดเขาใด นั่งซุ่มหัวเราะพลางแอบมองอยู่ตรงมุมไหน
จื่อเชออยู่ด้านหลังซูหมิง เห็นถ้ำว่างเปล่าก็ยังไม่คิดอะไร ทว่าเห็นซูหมิงขมวดคิ้วในใจกลับสั่นไหว พลันนึกถึงตำนานของหู่จื่อในสำนักเหมันต์สวรรค์ ครั้นนึกถึงตำนานนี้ จื่อเชอตัวสั่นเทิ้ม สีหน้าประหลาดใจมากขึ้น
ซูหมิงขมวดคิ้วเดินออกจากถ้ำ เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน หลังจากขบคิดครู่หนึ่งแล้ว เขาเคลื่อนตัวไกลออกไป เงียบขรึมตลอดทาง จื่อเชอด้านหลังเองก็เช่นกัน ขณะทั้งสองคนเดินทางมาได้ราวหนึ่งก้านธูป ซูหมิงพลันหยุดชะงัก
ขณะเดียวกันก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ทำให้จื่อเชอขนลุกดังแว่วมาไกลๆ เสียงหัวเราะนั้นคล้ายเสียงร้องของนกกลางคืน ในค่ำคืนเงียบสงบแห่งนี้ มันแล่นเข้าหูอย่างชัดเจนเป็นพิเศษ
“ยังเป็นท่านหู่คนนี้แหละที่ฉลาดที่สุด ศิษย์พี่รองหนอศิษย์พี่รอง ข้าบอกท่านไม่ได้ว่าหัวขโมยพืชดอกเหล่านั้นเป็นใคร เฮ้อ ฉลาดเกินไปก็ไม่ดีอีก ดังเช่นท่านหู่ตอนนี้ เหงา…เหงาเหลือเกิน….” หลังจากเสียงหัวเราะน่าขนลุก ก็มีเสียงเหมือนปลงอนิจจังดังแว่วเข้ามา
ยามนี้ความคิดของจื่อเชอว่างเปล่า แน่นอนว่าเขาต้องฟังออกว่านั่นคือเสียงของหู่จื่อ ทว่านึกไม่ออกจริงๆ ว่า หู่จื่อฉลาดตรงไหนกันแน่….
เขามองซูหมิงด้วยความสับสน ก็เห็นว่าซูหมิงคลายปมคิ้วออก ก่อนก้มตัวลงแล้วย่องเบาไปด้านหน้า
ความคิดจื่อเชอสับสนไปหมด ซูหมิงในตอนนี้ราวกับกลายเป็นอีกคน ท่าก้มตัวทำให้จื่อเชอพยายามกลืนน้ำลายหลายอึก จำต้องเลียนแบบแล้วก้มตัวย่องเบาตามไป
ไม่นานตรงหน้าปรากฏหินก้อนใหญ่ ด้านหลังหินจื่อเชอเห็นชายร่างกำยำเหมือนพยัคฆ์กำลังนั่งยองอยู่ ยืดคอยาวมองผ่านหินก้อนใหญ่
ซูหมิงเคยชินกับนิสัยของหู่จื่อแล้ว จึงก้มตัวเข้ามาใกล้ นั่งยองลงข้างหู่จื่อ
หู่จื่อหันกลับมามองซูหมิงแวบหนึ่ง ขณะกำลังจะทำท่าทางอะไรบางอย่าง ก็พบว่าซูหมิงอมยิ้มยกนิ้วชี้ขึ้นทำเสียงชู่ว
ดวงตาหู่จื่อเป็นประกาย มีสีหน้าชื่นชมยามกล่าวเสียงเบา “ได้ ศิษย์น้องเล็ก ดูท่าเจ้าคงเรียนรู้พรสวรรค์และนิสัยดีๆ ของศิษย์พี่แล้ว จากนี้ข้าจะไม่เหงาอีก ศิษย์พี่จะพาเจ้าไปทุกมุมของสำนักเหมันต์สวรรค์”
จื่อเชอนั่งอยู่ด้านข้าง ความอยากรู้อยากเห็นของเขาถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง จึงเงยหน้ามองผ่านหินก้อนใหญ่ มองเพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง
ด้านหลังหินก้อนใหญ่เป็นธารน้ำแข็งกลางภูเขา ตรงกลางมีหลุมเว้าลงไป ขนาดใหญ่ราวสิบจั้ง ในนั้นมีก้อนน้ำแข็งสูงหลายจั้งตั้งอยู่
บนก้อนน้ำแข็งนั้นเปล่งแสงรางๆ พอเห็นขมุกขมัว ด้านบนมีเงาสตรีผู้หนึ่งเหมือนกำลัง….อาบน้ำ
สตรีผู้นี้อาบน้ำพลางมองไปรอบๆ ด้วยความระแวง เพราะเห็นเพียงเงาแผ่นหลังของนาง จึงเห็นแต่เพียงผมยาวงดงาม มองไม่เห็นใบหน้าตรง ทั้งยังขมุกขมัวเล็กน้อย ทำให้มองไม่ออกว่ามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร
“นี่คือ…นี่คืออะไร” นัยน์ตาจื่อเชอฉายแววสับสน เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่า เหตุใดถึงปรากฏเงารางบนหินน้ำแข็งสูงสิบกว่าจั้งเช่นนี้ เขามองไปรอบๆ ที่นี่เงียบสงบยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครกำลังอาบน้ำ
“หึๆ นี่คือสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของท่านหู่คนนี้ การรักษาการณ์ของยอดเขาลำดับเจ็ดเข้มงวดแล้วอย่างไร ท่านหู่ไม่ต้องไปด้วยตัวเองก็มองจากตรงนี้ได้” หู่จื่อมีสีหน้าลำพองดีใจ
“….อาจารย์อาหู่ ในเมื่อท่านมองเห็นจากตรงนี้ เหตุใดถึงไม่เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก้อนน้ำแข็ง มานั่งซุ่มอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร…” จื่อเชอมึนงง จึงถามขึ้น
“แบบนี้ต่างหากถึงจะรู้สึกเหมือนได้แอบมอง เจ้าเข้าใจรึไม่!”
จื่อเชอยิ้มเฝื่อน เขารู้สึกว่าแผ่นหลังของสตรีผู้นี้คุ้นๆ แต่ก็นึกไม่ออก ยามนี้มองไปอีกครั้ง สตรีที่สะท้อนจากก้อนน้ำแข็งเหมือนจะหมุนตัวมาเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างที่ยังคงเลือนราง
ทว่าช่วงที่เห็นใบหน้าด้านข้างนั้น จื่อเชอพลันเบิกตากว้าง บนใบหน้ามีเส้นเลือดดำผุดขึ้น