Skip to content

สู่วิถีอสุรา 29

ตอนที่ 29 เสียงคร่ำครวญโศกเศร้า

เสียงกระพือปีกดังลากยาวเข้ามา ทำให้ซากชนเผ่าที่เงียบสงัดแห่งนี้ราวกับมีคลื่นลมพายุโหมกระหน่ำ แววตาซูหมิงขยับแสงวูบวาบ ทว่าเขากลับสงบนิ่งไม่เขยื้อนตัว

แม้เสียงกระพือปีกและเสียงคำรามร้องแหลมจะดังก้องข้างหู ซูหมิงก็ทราบถึงระยะทางดี แม้เสียงจะดังมาก่อน ทว่าในความจริงแล้วกว่าพวกมันจะมาถึงคงใช้เวลาอีกสักพัก

เวลาอาจจะมีไม่มาก แต่ก็ถือเป็นช่วงวินาทีสุดท้ายที่เขาอยู่ที่นี่

ซูหมิงเพ่งมองลายอักษรบนผนังหินตรงจุดที่โครงกระดูกพิลึกพิงอยู่

“สวรรค์หนอสวรรค์ เหตุใดเจ้าเศร้าโศกอยู่ผู้เดียว!”

สิ่งแรกที่เขาเห็นคือประโยคนี้ การเขียนมีพลังแฝงด้วยความกำแหงและเผด็จการ ทำให้ซูหมิงหรี่ตาลงเมื่อได้มองมัน เขาพอเข้าใจความหมายของประโยคนี้เล็กน้อย ทว่าก็ยังไม่แน่ใจนัก มีเพียงความเศร้ารันทดและความอวดดีจากตัวอักษรเท่านั้นที่เขาสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง

“สวรรค์หนอสวรรค์ เหตุใดเจ้าเศร้าโศกอยู่ผู้เดียว……” ซูหมิงกล่าวพึมพำ ก่อนเลื่อนสายตามองไปยังตัวอักษรหมานทั้งหมด

“เขาเป็นหมานปรารถนา จากปลายสุดแดนแปดทิศ เศษอัคคีหลอมโลหิต นึกคิดแผดเผาสวรรค์ นึกคิดแผดเผาฟ้ากว้าง….หากจันทร์อัคคีพ้นเมฆา ดินแดนทุกแห่งหน….ทุกความคิดเงียบสงัด เพลิงโลหิตแผดเผาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เก้าสูงสุด หนึ่งวิถี คารวะเพลิงหมานเก้าครั้ง เป็นหนทางสู่การคารวะเพลิง! สวรรค์หนอสวรรค์ เหตุใดเจ้าเศร้าโศกอยู่ผู้เดียว!”

ตัวอักษรเบื้องล่างเห็นได้ชัดว่าคนเขียนเป็นคนเดียวกัน กลับมิใช่การกล่าวจากใจ แต่เป็นการเขียนที่ค่อนข้างซับซ้อน

“คารวะเพลิงหมานเก้าครั้ง….เป็นหนทางสู่การคารวะเพลิง…..” ซูหมิงขมวดคิ้ว เนื้อความท่อนนี้ค่อนข้างซับซ้อนยากจะเข้าใจ ซูหมิงอ่านมันอีกรอบ ทว่าก็ยังงุนงงเช่นเดิม

ขณะกำลังขบคิด เสียงกระพือปีกและเสียงร้องคำรามดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดวงตาซูหมิงฉายประกาย ก่อนขยับร่างด้วยความปราดเปรียว ห้อเหยียดตรงไปยังทางเข้าดินแดนแห่งนี้

พริบตาเดียวเขาก็มาถึง เสียงแหลมของพวกมันชัดเจนยิ่งขึ้น ซูหมิงหันกลับไปมองชนเผ่าด้านหลังแวบหนึ่ง ก่อนหมุนตัวแล้ววิ่งไปตามเส้นทางอย่างรวดเร็ว

เขาวิ่งไปพลางฟังเสียงของพวกมันไปพลาง เมื่อออกมาได้ประมาณหลายสิบจั้งแล้ว ซูหมิงพลันชะงักฝีเท้า ก่อนมุดเข้าไปในซอกผนังหินด้านข้าง รอยแตกไม่ใหญ่มากนัก เพียงแต่ซูหมิงมีรูปร่างผอมบางจึงมุดเข้าไปได้สบาย เมื่อเข้ามาแล้วเขาจึงนั่งย่อตัว กระทั่งลมหายใจยังแผ่วเบาลง เขาใช้ผนังหินเป็นที่ซ่อนตัว หัวใจเต้นรัวแรง สายตามองลอดรอยแตกไปด้านนอกและรอคอยอย่างเงียบๆ

เวลาผ่านไปราวสิบลมหายใจ เหงื่อชโลมไปทั้งตัวของซูหมิง เขาเห็นได้ชัดเลยว่ามีหมอกแดงหนาแน่นกำลังเคลื่อนตัวมาตามทางเดินประดุจการระเบิด กลางหมอกมีเสียงร้องดังแสบแก้วหู

หมอกแดงพวกนั้นก็คือค้างคาวจันทรา!

พอได้สังเกตค้างคาวจันทราใกล้ๆ แบบนี้ ยิ่งทำให้หัวใจซูหมิงเต้นระรัว ทว่าเขาไม่ได้เคลื่อนตัว เพียงแต่หลับตา กระทั่งประกายแววตายังไม่ปรากฏให้เห็น

จำนวนของพวกมันมีมากเกินไป ส่งเสียงหวีดร้องมาตามเส้นทางอย่างต่อเนื่อง ที่แย่ไปกว่านั้นคือมีค้างคาวจันทราตัวหนึ่งชนเข้ากับขอบรอยแตก ห่างจากจุดที่ซูหมิงนั่งอยู่ไม่ถึงครึ่งจั้ง

ซูหมิงกำเขากระดูกในมือขวาแน่น เหตุเพราะใช้แรงบีบมากเกินไป ฝ่ามือจึงซีดขาว ในช่วงวินาทีนั้นแม้แต่เสียงเต้นของหัวใจเขายังไม่อาจสัมผัสได้ ร่างแข็งค้างไปทั้งตัว

ซูหมิงจ้องค้างคาวจันทราตัวที่ชนกับรอยแตก มองใบหน้าดุร้ายของมัน มองปีกที่กำลังโบกสะบัดของมัน ทว่าพริบตาเดียวมันก็บินจากไป แต่ถึงกระนั้นความตื่นตัวของซูหมิงไม่ได้ลดน้อยลง ในทางตรงกันข้ามมันกลับเพิ่มมากขึ้นไปอีก

ในช่วงนั้นพลันได้ยินเสียงร้องสะอื้นด้วยความสิ้นหวัง ซูหมิงมองลอดตามรอยแตก ก็พบว่าในหมอกมีร่างคนหลายคนถูกค้างคาวจันทราจำนวนมากตรึงเอาไว้ กำลังพากลับไปยังชนเผ่าที่อยู่สุดปลายทาง

มีทั้งหมดเก้าคนด้วยกัน…

ในเก้าคนนี้ ซูหมิงไม่มีทางมองเห็นลักษณะหน้าตาของพวกเขาได้ครบทุกคน แต่ยามมองไปกลับเห็นเงาชุดขาวและใบหน้างดงามที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

“เป็นนาง!” ซูหมิงหรี่ตาลง เพียงมองแวบแรกเขาก็จำได้ นางคือไป๋หลิงแห่งเผ่ามังกรทมิฬที่เขาพบในตลาดพร้อมกับเหลยเฉิน!

ซูหมิงนิ่งเงียบ

เวลาเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่นานเสียงร้องของพวกมันก็ค่อยๆ เงียบลง แม้แต่หมอกยังจางลงไปกว่าครึ่ง เมื่อค้างคาวจันทรากลับไปถึงรังของพวกมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างจึงกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง

ยามนี้กลิ่นอายร้อนผ่าวตลบไปทั่วทุกสารทิศ เข้ามาแทนที่ความหนาวเหน็บ แม้แต่รอยแตกบนผนังหินยังร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว มีเสียงกึกกึกดังก้อง ซูหมิงเห็นกับตาว่ามีรอยร้าวเกิดหลายจุดขึ้นบนผนังหิน

“ที่แท้รอยแตกก็เกิดจากสิ่งนี้…” แววตาซูหมิงแน่วแน่ รีบมุดออกจากรอยแตกอย่างรวดเร็วแล้วมายืนอยู่ตรงทางเดิน หมอกโดยรอบบางตามากแล้ว ทั้งยังมีคลื่นไอร้อนแผ่ขยายมาจากชนเผ่าตรงสุดปลายทางเป็นระลอกๆ ทำให้ซูหมิงเริ่มมีเหงื่อซึมบริเวณหลัง

หินหนืดบนพื้นมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความรู้สึกร้อนที่ฝ่าเท้าเล็กน้อย ซูหมิงรู้ดี อีกไม่นานตรงนี้จะร้อนเกินกว่าที่เขาจะทนอยู่ได้!

จะไปหรือว่าไม่ไป!

ซูหมิงเกิดความลังเล พร้อมกับมีเสียงร้องโหยหวนดังเข้ามา ช่างน่าเวทนายิ่งนัก หากผู้ใดได้ฟังเสียงนี้แล้วเป็นอันต้องจิตใจสั่นไหว

“ช่างมัน ในเมื่อข้ารวมหัวกับเหลยเฉินหลอกนางที่ตลาด วันนี้ได้เจอนางอีกครั้ง ให้เพิกเฉยข้าคงทำไม่ได้….. “ ถึงอย่างไรซูหมิงก็ยังเป็นเด็ก ก้นบึ้งหัวใจของเขายังคงบริสุทธิ์ ยามนี้สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนพุ่งทะยานตรงไปยังสุดทาง

“หากช่วยได้ก็ช่วย! หากไม่ได้ก็คงไม่เสียใจ” แววตาซูหมิงเด็ดขาด มือกำเขากระดูกตรงเข้าไปยังสุดทาง ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งสัมผัสได้ถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

ดีที่เขาอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ไม่นานซูหมิงก็มาถึงทางตันของทางสายนี้ เขาแนบกายกับผนังโดยไม่แยแสความร้อน ค่อยๆ โผล่หน้าเข้าไปมองข้างใน

ทันใดนั้น ดวงตาทั้งสองข้างพลันเป็นประกาย หนามแหลมจำนวนมากที่เขาเห็นใต้แอ่งกระทะใหญ่ยักษ์ก่อนหน้านี้ ตอนนี้บนปลายแหลมมีคนเจ็ดคนกำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด

ร่างของทั้งเจ็ดคนนั้นถูกหนามแหลมทั้งเจ็ดแทงทะลุหลังบริเวณท้องน้อย โลหิตสดไหลลงมาตามทาง พวกเขายังไม่ตายและกำลังร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา รู้สึกว่าเวลาชีวิตของตนกำลังจะหมดลง

ทั้งเจ็ดคนล้วนเป็นเพศชาย ซูหมิงเพ่งมองไป ในใจคลายกังวลไปเล็กน้อย เพราะทั้งเจ็ดคนนี้เขาไม่รู้จัก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนจากเผ่าเขาทมิฬ

ยิ่งไปกว่านั้นหนามแหลมรอบตัวพวกเขาค่อยๆ หลอมละลายด้วยความเร็วระดับสายตาเห็น จากการหลอมของพวกมัน ทำให้มีหินหนืดสีแดงเข้มมหาศาลบนพื้นชนเผ่าประดุจสายธารน้ำไหล…..

เห็นดังนั้น ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเพิ่งเข้าใจว่าหนามแหลมพวกนั้นมีไว้ทำอะไร!

‘แดนแห่งนี้พิกลยิ่งนัก บางทีการตื่นและการจากไปของพวกมันอาจเกี่ยวข้องกับหนามแหลมพวกนั้น!’ ซูหมิงตั้งข้อสันนิษฐาน หนามแหลมพวกนี้อาจจะหลอมละลายเป็นช่วงระยะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกมันถึงก่อตัวขึ้นมาได้ อีกทั้งดูแล้วช่วงเวลาการหลอมละลายคงไม่นานมากนัก หลังจากผ่านคืนนี้ไป เมื่อค้างคาวจันทรากลับมา พวกมันจะเกิดการหลอมละลายขึ้นและกลับไปเป็นหินหนืดอีกครั้ง

‘จากจำนวนหนามแหลมพวกนี้ เกรงว่าเมื่อละลายจนหมดแล้วน่าจะเต็มแอ่งกระทะพอดี ทำให้ชนเผ่าถูกซ่อนด้วยหินหนืดอีกครั้ง…..’ ซูหมิงพลันแหงนหน้าขึ้นมองไปยังลำต้นสีแดงที่โผล่ขึ้น ณ ใจกลางชนเผ่า

ด้วยอุณภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ยามนี้ดูเหมือนมันกำลังหลอมละลาย มีการเคลื่อนไหวประหลาดบนลำต้น หากมองอย่างถี่ถ้วนจะเห็นได้ว่าข้างในมีลายเส้นหมุนวนเป็นเกลียวและจะผลุบโผล่เป็นบางครั้ง พวกมันก็คือค้างคาวจันทรา!

เพียงแต่ค้างคาวจันทราที่เข้าไปในลำต้นพวกนี้จะโผล่หัวมาเป็นบางครั้ง ไม่มีใบหน้าดุร้าย แต่กลับเป็นใบหน้าเจ็บปวด อ้างว้างและเศร้าโศก

พวกมันไม่ได้ร้องคำราม หากแต่ใบหน้าของพวกมันราวกำลังร้องไห้สะอื้นไร้เสียง นอกจากนี้ยังมีค้างคาวจันทราอีกไม่น้อยที่มีพฤติกรรมประหลาด กัดนิ้วมือของตัวเองจนแตกด้วยความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นนำไปป้ายดวงตาทั้งสองข้าง ทว่านิ้วมือที่พวกมันกัดจนแตกกลับไม่มีเลือดไหลแม้แต่น้อย

“ค้างคาวจันทรามุดเข้าไปในลำต้นไม้ต้นนั้น! พวกมัน…ทำอะไรกันแน่…” ซูหมิงจ้องลำต้น ขณะขบคิดพลันสัมผัสได้ถึงความร้อนจากใต้ฝ่าเท้าที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนว่าเขาจะอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว

“หานางไม่เจอ….ช่างเถอะ…..” ซูหมิงส่ายหน้า เขาพยามเต็มที่แล้ว ยามนี้ต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่ขณะกำลังจะขยับตัว เขาพลันหยุดชะงัก

สายตาของเขาเหลือบไปเห็นใบหน้าคนโผล่มาจากในลำต้นไม้สีแดงตรงใจกลางเผ่า หนึ่งในนั้นเขาไม่รู้จัก ทว่าอีกคนก็คือไป๋หลิง

ไป๋หลิงเบิ่งตา แววตาเหม่อลอย ไร้ซึ่งความโมโหใดๆ ราวกับตนเองอยู่อย่างสิ้นหวัง ใบหน้าเผยความงดงามแต่เย็นชา

ซูหมิงมองใบหน้างามสลับกับหินหนืดที่ค่อยๆ รวมตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า มันเพิ่มขึ้นตามการหลอมละลายของหนามแหลม ทับถมกันจนหนาขึ้นหลายชั้น สูงได้ประมาณครึ่งหนึ่งของบ้านเรือนในเผ่า

ยามนี้หินหนืดในแอ่งกระทะเพิ่มมากขึ้นจนเกือบมิดหลังคาเรือนหิน ยอดหลังคาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง

‘ค้างคาวจันทราออกไปข้างนอกได้เพราะจันทร์โลหิต แต่ดูแล้วมันน่าจะเกี่ยวกับความร้อนจากดินแดนแห่งนี้ด้วย เหมือนพวกมันจะกลัวความร้อนมาก….ดังนั้นจึงต้องรอให้แดนแห่งนี้หนาวเย็นเสียก่อนถึงจะออกไปหากินได้…..นอกจากนี้พอกลับมาแล้วพวกมันยังเข้าไปในลำต้นนั้นทั้งหมด ไม่มีสักตัวที่อยู่ข้างนอก จุดนี้ตรงกับข้อสันนิษฐานของข้า’ ซูหมิงไม่หุนหันพลันแล่น แต่ยังคงยืนที่เดิม ดวงตาเป็นประกาย

‘น่าจะช่วยได้….แต่ว่ายังต้องรออีกหน่อย….’ ซูหมิงจ้องลำต้น มองสลับกับหินหนืดในแอ่งกระทะเบื้องล่าง

ผ่านไปครู่หนึ่ง อุณภูมิความร้อนเพิ่มสูงขึ้นอีก ทำให้เหงื่อไหลชโลมไปทั้งตัวของซูหมิง ผิวหนังเริ่มเกิดรอยแตกลาย ดวงตาของเขาขยับแสง โลหิตในกายเดือดพล่าน พลังจากเส้นเลือดเส้นที่สิบเอ็ดพลันหลั่งทะลักไปทั่วร่าง ก่อนพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า

ด้วยความเร็วของเขาทำให้ไปถึงหนึ่งในยอดหลังคาเรือนหินได้ในพริบตา ช่วงที่ฝ่าเท้าสัมผัสพื้นพลันเกิดเสียงดังซู่ๆ มีควันสีขาวพวยพุ่ง

ซูหมิงกระโดดข้ามไปยังเรือนอีกหลังอย่างรวดเร็ว และกระโดดข้ามไปมาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานก็มาอยู่ใกล้กับต้นไม้สีแดงประหลาด

ซูหมิงพลันเห็นด้านข้างใบหน้าของไป๋หลิง เป็นสตรีอีกคนที่เขาไม่รู้จัก ทั้งยังส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา ใบหน้าแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นโครงกระดูกน่าสะพรึง!

ราวกับว่าร่างของนางถูกหลอมละลายเข้าไปในลำต้น ถูกพลังพิลึกบางอย่างดูดกินเลือดเนื้อและชีวิตไปจนหมดสิ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version