ตอนที่ 305 บทนำของทะเลตะวันออก
ซูหมิงเติบโตแล้ว มิใช่เด็กหนุ่มทึ่มทื่อกับทุกอย่างเหมือนตอนอยู่ภูเขาทมิฬอีก ตั้งแต่ภูเขาทมิฬจนตื่นขึ้นมาในแดนอรุณใต้ ทั้งยังผ่านเรื่องเมืองเขาหาน เผ่าเชมันและสำนักเหมันต์สวรรค์ สติปัญญาซูหมิงแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้ยังไม่เทียบเท่าขั้นปีศาจ ทว่าก็ไม่ถึงกับขาดประสบการณ์
อย่างเช่นเรื่องในตอนนี้ หากเป็นเขาตอนอยู่ภูเขาทมิฬ เขาในตอนนั้นจะต้องถามเหตุผลทันทีเลยแน่นอน และหากเป็นตัวเขาที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ภูเขาทมิฬ มาอยู่ในเมืองเขาหาน ณ แดนอรุณใต้ ยามนี้คงเลือกต่างกันอีก มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะถอยแล้วไปทางเลือกรอง หลังจากเห็นห้องนี้ เห็นสตรีตรงหน้าแล้ว คงจะหมุนตัวกลับไปหามุมด้านล่างเข้าร่วมงานประมูล ใช้วิธีการไม่ยอมเล่นด้วยมาทำลายแผนการทุกอย่างของอีกฝ่าย
ทว่าตอนนี้ซูหมิงทำต่างออกไปตามประสบการณ์ เขาไม่กล่าวถามหาเหตุผลในทันที และมิได้เลือกหลีกหนี แต่ใช้อีกวิธีหนึ่ง เหมือนกับการหลอกถามความจริง และพิจารณาจากจุดเล็กๆ อย่างพวกสีหน้าและแววตาเป็นต้น
“สหายซูกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” จื่อซาน สตรีรูปร่างน่าหลงใหล มีกลิ่นหอมเหมือนดอกกล้วยไม้ พอได้ยินคำพูดของซูหมิงก็สีหน้าเป็นปกติ ยิ้มอย่างอ่อนหวาน
ซูหมิงไม่กล่าว แต่มองสตรีตรงหน้าอย่างสงบ ก่อนหมุนตัวเดินผ่านฉางอี้ด้านหลังที่มีสีหน้างุนงง ดูจากท่าทางแล้วคงอยากออกจากห้องหมายเลขเก้า
จื่อเชออยู่ข้างๆ ติดตามอย่างเงียบๆ จื่อซานในห้องยามนี้นัยน์ตาขยับประกาย มิได้กล่าวในทันที แต่รอจนซูหมิงเหยียบเท้าออกจากห้องครึ่งหนึ่งเหมือนจะไปจริงๆ แล้ว จึงกล่าวขึ้น
“ข้าคงน่าเกลียดเหมือนกับสัตว์ป่า มิเช่นนั้น เหตุใดพอสหายซูเห็นหน้าแล้วถึงออกไป”
น้ำเสียงนางไพเราะยิ่งนัก ดูรู้สึกน่าสงสาร อีกทั้งยังเต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ทำให้คนอยากฟังต่อไป ทว่ามิใช่กับซูหมิง เขาก้าวออกจากห้องทันทีแล้วเดินหน้าต่อโดยไม่หันกลับมามอง
จนกระทั่งเดินออกมาสามถึงห้าก้าว มีเสียงของจื่อซานดังแว่วมาจากในห้องอีกครั้ง
“ช้าก่อนสหายซู แน่นอนว่ามิใช่แค่นี้หรอก อาจารย์ข้าอยากขอโทษ ของในงานประมูลครั้งนี้ สหายซูเลือกได้หนึ่งอย่าง อาจารย์ข้าจะเป็นคนซื้อให้เอง”
ช่วงที่จื่อซานกล่าว นางเดินออกมาจากห้อง ก่อนยิ้มให้ซูหมิง รอยยิ้มบนใบหน้านางดูงดงามยิ่งนัก มีความรู้สึกที่ทำให้ใจเต้นแรง อย่างน้อยฉางอี้ที่อยู่ตรงนี้ก็มีสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติแล้ว
ซูหมิงหยุดชะงัก ใบหน้าเผยรอยยิ้ม หมุนตัวกลับมาสบตากับจื่อซานแล้วเดินเข้าไปในห้อง ขณะจื่อซานตั้งใจเดินตามหลังครึ่งก้าว ซูหมิงก็เข้าไปในห้องแล้วนั่งบนเก้าอี้ด้านข้าง
จื่อเชอยืนอยู่ด้านหลังซูหมิงอย่างเงียบๆ เหมือนกับท่อนไม้ แม้หลับตาอยู่ แต่ความตื่นตัวกลับไม่ลดลงแม้แต่น้อย แทบจะใช้สมาธิทั้งหมดไปกับสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่รอบตัว
จื่อซานปิดประตู ร่างงามเดินเข้ามา นางนั่งลงตรงหน้าซูหมิง เมื่อกวาดสายตามองจื่อเชอด้านหลังเขาแล้วก็ยิ้มมองซูหมิง ก่อนกล่าวขึ้น
“สหายซูช่างสมกับเป็นศิษย์ยอดเขาอันดับเก้า จะเข้าจะออกก็พาผู้ติดตามไปด้วยตลอด จุดนี้ข้าเทียบไม่ติดเลย”
ตรงตำแหน่งของซูหมิง เขาเห็นใจกลางลานประมูลด้านล่างได้อย่างชัดเจน ยามนี้ด้านล่างเสียงคนดังระงม คนเข้ามากันไม่ขาดสาย
“เขาไม่ใช่ผู้ติดตาม เขาเป็นศิษย์หลานข้า” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ข้าว่าอยู่เหตุใดสหายท่านนี้ถึงดูคุ้นตานัก ท่านพูดแบบนี้ข้าเลยนึกออก นี่มันจื่อเชอหนึ่งในสิบบนตารางจัดอันดับแผ่นดินเหมันต์ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือมิใช่รึ” จื่อซานปิดปาก ดูตะลึงงันเหมือนเพิ่งจำได้
จื่อเชอเงียบ เขาชินกับท่าทีเช่นนี้แล้ว ตอนแรกก็ยังเขินอาย ทว่าตอนนี้ไม่สนใจ เพราะเขารู้ว่าคนยอดเขาลำดับเก้าได้สร้างความประทับใจให้กับเขาอย่างที่ที่อื่นไม่มีให้
ขณะจื่อซานกล่าว นัยน์ตานางเหมือนไม่สนใจ มองซูหมิงราวกับอยากอ่านเขาให้ออก แต่น่าเสียดายที่นางไม่เห็นอะไรเลย
ซูหมิงยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง เขาฝึกฝนจิตใจสงบ หากเผชิญหน้ากับผู้มีประสบการณ์ อาจจะยังอ่อนหัดอยู่เล็กน้อย ทว่าสตรีตรงหน้าจะไปอ่านเขาออกได้อย่างไร แม้ในใจเขายามนี้ไม่พอใจก็ตาม
ซูหมิงหลับตา ไม่สนใจคำพูดของสตรีผู้นี้ เขาหายใจอย่างสงบ รองานประมูลเริ่ม ท่าทางเช่นนี้ไป๋ซู่เป็นสตรีที่เคยเห็นมากที่สุด และหลายครั้งถูกเมินเฉยจนเกิดโทสะ คิดหาทุกวิถีทางก็ยังไร้ประโยชน์
จากตรงนี้จะเห็นได้ว่า สำหรับจื่อซานแล้ว ท่าทางของซูหมิงเป็นการโจมตีที่ไม่เบา
จื่อซานจ้องซูหมิงอยู่นาน นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นซูหมิงมีสีหน้าเช่นนี้ ราวกับมองนางเป็นสิ่งของ หรืออาจไม่มีตัวตนอยู่เลย ทำให้นางที่เหมือนอยากจะพูดต่อต้องกลืนคำลงไป
“สหายซูช่างเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก…..” ผ่านไปพักใหญ่ จื่อซานกล่าวขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ สิ่งที่ได้กลับมายังเป็นท่าทีเมินเฉยราวกับไม่ได้ยินของซูหมิง
จื่อซานจ้องซูหมิงพักหนึ่ง ก่อนหลับตาไม่สนใจอีก
ภายในห้องพลันเงียบลง เทียบกับเสียงเอะอะข้างนอกแล้วประหนึ่งสองโลกที่ต่างกัน
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับซูหมิง จื่อซานยังด้อยกว่าเล็กน้อย นางไม่อาจสงบลงได้จริงๆ แต่ลืมตาเป็นบางครั้ง กวาดสายตามองซูหมิง แล้วเริ่มขมวดคิ้ว
‘ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะสงบนิ่งเช่นนี้จริงๆ นี่ต้องแสร้งทำแน่ พวกทำตัวให้ดูลึกลับ ข้าเห็นมาเยอะแล้ว’ จื่อซานแค่นเสียงหึในใจ
ภายในห้องเงียบสงัด เวลาค่อยๆ ผ่านไป ราวหนึ่งก้านธูปต่อมา มีเสียงกลองดังขึ้นจากแท่นใจกลางลานประมูล
เสียงกลองดังอึกทึก ประหนึ่งสะเทือนฟ้าดิน กึกก้องรอบแปดทิศ ทุกเสียงกลองเหมือนเคาะอยู่บนตัวคน ทำให้ผู้ฟังส่วนใหญ่จิตใจสั่นสะท้าน หลังจากเสียงกลองดังกึกก้อง ก็มีเสียงอูๆ แว่วเข้ามาปะปนกับเสียงกลอง ทว่ากลับแหลมกว่าเล็กน้อย ราวกับรวมลมหายใจของทุกคนโดยรอบตรงขึ้นสูงสวรรค์เก้าชั้น
เสียงกลองและเสียงอูๆ ทำให้ภายในลานประมูลที่จุคนได้ราวหลายพันพลันเงียบลง ทุกสายตาล้วนจับจ้องบนแท่นตรงกลาง
ยามนี้ซูหมิงลืมตาขึ้น เขามองตรงกลางลานประมูลด้านล่าง พบว่าบนแท่นมีชายร่างกำยำเก้าคนกำลังใช้สองมือตีกลองหนังสัตว์ตรงหน้าตัวเอง
เสียงกลองดังอึกทึกผสานเข้าด้วยกัน ขณะเดียวกัน ข้างชายร่างกำยำเก้าคนนั้น ยังมีสตรีสวมเสื้อคลุมยาวสีขาว เผยความงามอย่างยิ่งอีกเก้าคน
สตรีทั้งเก้าคนนี้มือถือหอยสังข์ยักษ์ เสียงแหลมอูๆ ก็มาจากหอยสังข์เหล่านี้
ช่วงที่เสียงกลองกับเสียงหอยสังข์บรรลุถึงขีดสุด แผ่นดินสั่นสะเทือน แท่นตรงใจกลางเกิดรอยร้าวประณีตหนึ่งเส้น ก่อนขยายออกโดยรอบ ขณะเดียวกัน ตอนที่ชายร่างกำยำกับสตรีเหล่านั้นยืนอยู่ตรงขอบแท่น มีเสาหินยักษ์ลอยขึ้นมาจากรอยแยกหนึ่งต้น
เสาหินนี้ลอยขึ้นสูงราวสิบกว่าจั้ง ก่อนค่อยๆ หยุดลง เสียงปานนกนางแอ่นที่ทำให้คนฟังไม่แน่ใจว่ากำลังพูดอะไรดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงดังเกรียวกราว
ผืนฟ้าเหนือลานประมูลยักษ์กลางแจ้งเกิดการเปลี่ยนแปลงท่าทึ่ง ท้องฟ้าดวงจันทร์ปรากฏระลอกคลื่นปกคลุมหลายหมื่นลี้
“สำนักทะเลตะวันออก…” น้ำเสียงแก่ชราดังแว่วมาจากท้องฟ้าในเวลานี้ ช่วงที่เสียงปรากฏ ระลอกคลื่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฟ้าดินที่ถูกระลอกคลื่นปกคลุมในระยะหลายหมื่นลี้กลายเป็นทะเลกว้างใหญ่!
เหมือนว่าในหลายหมื่นลี้นี้มิใช่ดินแดนเหมันต์สวรรค์อีก แต่กลายเป็นทะเลของสำนักทะเลตะวันออก ระดับน้ำทะเลสูงเท่าฟ้า ระลอกคลื่นที่เห็นมาจากน้ำทะเล ส่วนพื้นดินตรงลานประมูลก็กลายเป็นก้นทะเล!
นัยน์ตาซูหมิงพลันเป็นประกายวาว เขายืนขึ้นเดินหน้าหลายก้าว ไปยืนอยู่ตรงขอบแท่น มองไปด้านนอก ไม่เพียงเขาที่เป็นเช่นนี้ ยามนี้ผู้คนจำนวนมากในลานประมูลล้วนยืนขึ้น มองภาพบนท้องฟ้าขณะสีหน้าเปลี่ยน
นี่มิใช่ปรากฏการณ์ธรรมดาๆ แต่เป็นปรากฏการณ์น่าทึ่งอย่างแท้จริง เปลี่ยนโดยรอบให้กลายเป็นน้ำทะเล ซูหมิงเห็นกิ่งไม้หลากสีมากเหลือคณานับ และยังมีปลาหลากชนิดว่ายไปมา มีเป็นกลุ่ม มีเดี่ยว กระทั่งตอนซูหมิงอ้าปาก ยังมีฟองอากาศลอยมาจากปากเขาจำนวนมาก
“นี่คือวงแหวนอาคมที่สำนักทะเลตะวันออกศึกษาเมื่อหลายปีก่อน สหายซูรู้สึกอย่างไรบ้าง?” จื่อซานยิ้ม มายืนข้างซูหมิง ขณะกล่าวก็มีฟองอากาศลอยขึ้นจากปากเช่นกัน ดูเหมือนอยู่ในทะเลจริงๆ
“ของหลากสีพวกนั้นเรียกว่าปะการัง” จื่อซานสังเหตเห็นสายตาของซูหมิง จึงยิ้มกล่าวเบาๆ
ขณะเดียวกับที่จื่อซานกล่าวคำว่าปะการัง ตรงใจกลางลานประมูลด้านนอก สตรีสวมเสื้อคลุมยาวแต่เผยความงามทั้งเก้าคนที่ยืนตรงขอบแท่นก่อนหน้านี้ ทุกคนหยิบเกล็ดปลาสีขาวมาคนละหนึ่งชิ้น เมื่อติดไว้บนหน้าผากแล้ว พวกนางพลันลอยขึ้น ขาทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นหางปลา กลายเป็นเงือกเก้าตัว แล้วว่ายน้ำอยู่รอบลานประมูล พลางขับร้องบทเพลงไพเราะ สะท้อนอยู่ในน้ำทะเล ทำให้ผู้ฟังต้องหลงใหล
ส่วนชายร่างกำยำเก้าคน แทบจะเป็นช่วงที่นางเงือกแหวกว่าย ทุกคนหยิบหนังสัตว์สีครามขึ้นมาคนละหนึ่งผืน เมื่อวางบนตัวแล้ว ร่างกายพวกเขาพลันบิดเบี้ยว ครู่ต่อมาเกิดเสียงอึกทึก พวกเขาทั้งเก้าคนกลายเป็นมังกรทะเลดุร้ายเก้าตัว เคลื่อนไหวไปรอบทิศพร้อมกับเสียงคำราม ผสมผสานกับเสียงเพลงของนางเงือก สร้างเป็นความตื่นตะลึงสะเทือนจิตวิญญาณ!
“งานประมูลสำนักทะเลตะวันออก ร้อยปีจากนี้จะจัดที่แดนเหมันต์สวรรค์อีกครั้ง!” ยามนี้เสียงแก่ชราดังแว่วมาจากบนเสาหิน