ตอนที่ 324 ไม่ยอม?
‘รู้มากไปก็มิใช่เรื่องดี…’ ซูหมิงนั่งอยู่ตรงขอบกระบี่ยักษ์ ในความคิดมีเสียงอาจารย์ก่อนจากกันผุดขึ้น
ตอนนั้นเขาถามเทียนเสียจื่อเกี่ยวกับเรื่องดาวตกสิบดวง และเทียนเสียจื่อก็บอกมาเช่นนี้
ซูหมิงในตอนนี้เข้าใจความหมายแล้ว ยิ่งรู้เยอะเท่าไร บางทีอาจมิใช่เรื่องดี ตอนนี้ในความคิดเขาผุดขึ้นมาแต่ภาพแผ่นดินรกร้างบูรพาผลักดันทะเลมรณะเข้ามาเป็นฉากๆ
เขามองเห็นแผ่นดินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วใต้ท้องฟ้า มองเทือกเขาสูงต่ำ กระทั่งมองเห็นชนเผ่าบางส่วน ทว่าพริบตาเดียว สิ่งที่ปรากฏในความคิดเขาคือเทือกเขาถล่ม แผ่นดินยกขึ้น บาดเจ็บล้มตายกันจำนวนมาก ขณะเดียวกันทะเลมรณะท่วมเข้ามา จมสิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่ง
เทียนหลันเมิ่งนั่งเงียบอยู่ข้างซูหมิง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หรือบางทีอาจไม่ได้คิดอะไร
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ไม่นานค่ำคืนวันแรกก็มาถึง ท้องฟ้ามืดมิด ทว่าไกลออกไปกลับเห็นเป็นเส้นสีขาว ราวกับว่าตรงนั้นมีแสงสว่าง
หลังจากศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์บนกระบี่ยักษ์นั่งฌานสมาธิครบหนึ่งวันแล้วก็เริ่มเคลื่อนไหว คนรู้จักกันรวมกลุ่มสามถึงห้าคน ส่งเสียงหัวเราะดังระงม ประหนึ่งใช้วิธีนี้มาทำใจให้สงบก่อนสงครามแห่งหมอกนภา
เสียงหัวเราะดังแว่วมาจากกระบี่ยักษ์นภาหิมวันต์ ซูหมิงมองพวกเขา มองผู้คนที่ไม่รู้ความจริง เขาจินตนาการได้ว่าหากยามนี้ทุกคนรู้ความจริง…จะมีสักกี่คนที่ยิ้มออก จะมีสักกี่คนที่จะเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้…..
ช่วงที่ซูหมิงมองศิษย์เหล่านี้ เขาเห็นตรงขอบกระบี่ยักษ์ห่างกันทุกๆ ช่วงจะมีคนจากฝ่ายนภานั่งฌานอยู่ พวกเขาจะนั่งเว้นระยะเท่าๆ กัน
และยังมีชายชรานั่งอยู่ตรงปลายกระบี่ยักษ์ ยามนี้มีสีหน้าสงบนิ่ง ทว่าจะขมวดคิ้วเป็นบางครั้ง ซูหมิงรู้สึกว่าสภาพจิตใจของอีกฝ่ายอาจมิได้สงบเหมือนคำพูดและสีหน้า
‘เขารู้ความจริง…บางทีเก้าคนจากฝ่ายนภาอาจจะรู้ด้วย’ ช่วงที่ซูหมิงกวาดสายตามองชายชราแซ่จิ่งตรงปลายกระบี่ อีกฝ่ายพลันลืมตาขึ้น มองซูหมิงด้วยแววตาประดุจสายฟ้า
ซูหมิงหลับตา เขารู้สึกเหมือนกับถูกเข็มแทงจากสายตาของอีกฝ่าย ผ่านไปพักหนึ่งถึงเริ่มหายไป
“เจ้าชื่อซูหมิง?” มีเสียงแก่ชราดังแว่วมาข้างหูซูหมิง ซูหมิงลืมตาขึ้น เขาพบว่าชายชราแซ่จิ่งตรงปลายกระบี่ยังไม่ละสายตากลับ ยังคงมองตนแต่ไม่มีความรู้สึกเฉียบคม
ซูหมิงพยักหน้า
“มาหาข้า” ชายชราแซ่จิ่งมองซูหมิง เสียงเขาก้องข้างหูซูหมิง นี่เป็นวิธีที่ต่างจากการส่งกระแสจิตแบบเทียนหลันเมิ่ง ทว่าผลกลับคล้ายกัน
ซูหมิงลังเลครู่หนึ่ง ยืนขึ้นมองเทียนหลันเมิ่งข้างกายแวบหนึ่งแต่ไม่กล่าวอะไร เขาเดินไปด้านหน้า ผ่านกลุ่มคนหลายกลุ่ม ผ่านศิษย์ร่วมสำนักที่นั่งฌานอยู่แต่ละคน ได้ยินเสียงหัวเราะทั้งใกล้และไกล รู้สึกถึงลมหายใจต่างกันของผู้นั่งฌาน จนกระทั่งเดินออกมาไกลมากถึงส่วนปลายกระบี่ยักษ์ มาอยู่ตรงหน้าชายชราแซ่จิ่ง
จุดที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ห่างจากตรงนี้ไม่ไกลนัก มิเช่นนั้นแล้วทั้งสองคนคงยากจะเห็นกัน จะเดินมาตรงนี้ก็ยังกินเวลาไปเล็กน้อย
“นั่งลง” ชายชราแซ่จิ่งมองซูหมิง กล่าวเสียงแหบแห้ง
ตรงปลายกระบี่ เบื้องหน้าเป็นความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด และเป็นจุดที่เสียงลมรุนแรงมากที่สุดเช่นกัน กระทั่งหากยืนตรงนี้ ซูหมิงยังรู้สึกถึงสายลมที่กระทบใบหน้า รู้สึกถึงพลังทะลวงอากาศของปลายแหลมกระบี่ภายใต้ความเร็วสูง
บริเวณนี้มีพื้นที่ห่างราวสิบกว่าจั้ง มีเพียงชายชราแซ่จิ่งนั่งฌานอยู่เพียงลำพัง หากเขาไม่เรียกก็จะไม่มีใครเข้ามาได้
ซูหมิงเงียบ นั่งขัดสมาธิลงข้างชายชรา ช่วงที่เขานั่งลงพลันมีพายุกระทบใบหน้า ทำให้หายใจกระชั้น กระทั่งยังเกิดความรู้สึกว่าร่างกายฉีกขาด ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกะทันหันยิ่งนัก แม้แต่ซูหมิงยังคิดว่ารู้สึกไปเอง
เส้นผมเขาหยุ่งเหยิง กระเด็นถอยหลังอย่างรวดเร็ว ไม่อาจนั่งลงได้ ขณะโซเซถอยหลังไปหลายก้าว นัยน์ตาซูหมิงพลันขยับประกาย เหยียบเท้าลงหนึ่งข้างเพื่อหยุดเอาไว้ ใบหน้าเขามีเลือดฝาด เดินหน้าไปอีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงจุดที่ต้องนั่งก่อนหน้านี้แล้วก็ค่อยๆ นั่งลง
ตอนที่นั่งลง ความรู้สึกฉีกขาดแล่นเข้ามาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ซูหมิงเตรียมตัวไว้ก่อน ในกายเขามีเสียงกระแทกดังปึกๆ จนในที่สุดก็นั่งลงสำเร็จ
เมื่อนั่งลงแล้วซูหมิงตัวสั่นเทา โลหิตทั้งตัวโคจรอย่างรวดเร็ว พลังชำระล้างในกายเคลื่อนไหวตาม แม้แต่จิตสัมผัสยังปล่อยออกมา ยามนี้ร่างกายเขาเข้าต่อต้านกับพายุเองโดยไร้การควบคุม
“นี่ต่างหากคือการฝึกฝนร่างกาย!” ชายชราแซ่จิ่งเห็นซูหมิงนั่งลงแล้ว นัยน์ตาฉายแววชื่นชม
“ต่อให้เจ้าสวมกำไลน้ำแข็งหนักอึ้งยี่สิบวง อย่างมากก็ฝึกฝนได้เพียงผิวเผินเท่านั้น” แววตาชื่นชมหายไป กลายเป็นไม่สนใจ
ซูหมิงหายใจลำบาก อ้าปากไม่ขึ้น ทว่าแววตากลับสงสัย นี่เป็นวิธีที่เขาคิดขึ้นเอง อีกทั้งวิธีนี้ยังทำให้เขาทนรับต่อสภาพความเร็วสูงได้ไม่น้อย กระทั่งหากใช้ความเร็วสูงสุดอาจยังสามารถแซงหน้ากระบี่นภาหิมวันต์ได้ในระยะทางสั้นๆ
“ไม่ยอมรับ? ข้าจะให้โอกาสเจ้าพิสูจน์ตัวเอง” ชายชราแซ่จิ่งแค่นเสียงหึ พลันยกมือขวาจับไหล่ซูหมิงเอาไว้ ก่อนออกแรงสะบัดไปด้านข้าง
ชายชรารวดเร็วยิ่งนัก ซูหมิงไม่มีโอกาสหลบแม้แต่น้อย รู้สึกเพียงสายตาพร่ามัว ตัวเขาถูกชายชราเหวี่ยงออกจากตัวกระบี่ยักษ์นภาหิมวันต์!
แรงเหวี่ยงนี้ไม่เพียงแต่เหวี่ยงซูหมิงออกจากตัวกระบี่ มันยังเหวี่ยงเขาออกจากม่านแสงที่คุ้มกันอยู่นอกกระบี่ด้วย ซูหมิงหลุดออกจากตัวกระบี่ในชั่วพริบตา ตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิดและลมพายุคลั่ง
จนถึงตอนนี้ มีคนบนกระบี่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว จึงพลันร้องออกมาด้วยความตกใจ
ช่วงที่ซูหมิงถูกเหวี่ยงออกจากกระบี่ ทั้งตัวเขาพลันมีเสียงอึกทึกดังขึ้น กระบี่เคลื่อนตัวหนึ่งหมื่นจั้งในชั่วพริบตา ตอนที่เขามองเห็นทุกอย่างรอบตัวชัด ก็พบว่ากระบี่ตรงหน้าพุ่งไปอย่างรวดเร็ว คลื่นลมพายุจากตัวมันกระแทกใส่ซูหมิง ทำให้เขาไม่อาจยืนไหว
นัยน์ตาซูหมิงฉายแววโมโห เขาไม่เคยล่วงเกินชายชราผู้นั้น อีกฝ่ายกลับทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดมาก กระบี่ยักษ์ไกลออกไปอย่างเร็วรี่ พลันมีเสียงระเบิดดังขึ้นทั่วตัวซูหมิง กำไลน้ำแข็งทั้งหมดระเบิดกระจาย แล้วใช้ความเร็วน่าสะพรึงไล่ตามกระบี่ยักษ์ไป
ในระยะทางสั้นๆ เขาจะแซงกระบี่เล่มนี้ได้ ตัวเขาประหนึ่งทะลวงผ่านความว่างเปล่ามาปรากฏอยู่หลังกระบี่ยักษ์หนึ่งร้อยจั้ง พายุคลั่งฉีกร่างกายซูหมิง ดวงตาเขามีเส้นเลือดฝอยผุดขึ้น ก่อนพุ่งทะลวงไปอีกครั้ง ตอนที่ปรากฏตัวก็ตามกระบี่ทันแล้ว ทว่าอยู่ข้างกระบี่เท่านั้น
ซูหมิงมีโลหิตไหลมาจากมุมปาก พลันเดินหนึ่งก้าว ทะลวงผ่านม่านคุ้มกันขึ้นมาเหยียบบนปลายกระบี่ ขณะเดียวกันเขากระอักโลหิตกองโต ใบหน้าซีดขาว
ซูหมิงเช็ดคราบเลือด สาวเท้ายาวไปข้างหน้า จุดที่เดินผ่าน ทุกคนที่มองเขา นัยน์ตาล้วนฉายแววเคารพยำเกรงและต่างพากันหลีกทางให้ เมื่อครู่นี้พวกเขาเห็นกับตาเลยว่าซูหมิงไล่ตามมาจากด้านหลัง
ทว่ากระบี่ก็ใหญ่นัก ฉะนั้นคนที่เห็นจึงมีไม่มาก ซูหมิงห้อเหยียดมาตลอดทาง ผ่านไปครู่หนึ่งก็วิ่งมาหนึ่งหมื่นจั้ง แล้วกลับมาอยู่ตรงปลายกระบี่อีกครั้ง ชายชราแซ่จิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ มองซูหมิงด้วยความเย็นชา
“ยังไม่ยอมรับอีก? คิดว่าตามกระบี่ทันแล้วตัวเองเก่งมากอย่างนั้นรึ?”
“อย่างไรถึงจะเรียกว่าฝึกฝนร่างกาย?” ซูหมิงจ้องชายชรา สูดลมหายใจเข้าลึก
“ให้ตัวเองแบกรับน้ำหนัก ตอนใช้ความเร็วก็ให้เบาลง วิธีแบบนี้โง่เขลายิ่งนัก เจ้าต่างอะไรกับใบไม้? บางทีอาจพูดได้ว่าเจ้าอยากกลายเป็นใบไม้ ช่วงที่ลมพายุพัดผ่าน ใบไม้จะถูกพัดไปไกลขึ้นเพราะตัวมันเบา ทว่ามันอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อเวลาผ่านไปจะแตกออก กระทั่งหากเจอพายุทวนลม เมื่อสายลมสองชนิดกระทบกัน ใบไม้จะแหลกเป็นเสี่ยงๆ ทันที เจ้าเชื่อหรือไม่? ยิ่งเจ้าเร็วเท่าไรก็จะยิ่งตายเร็วเท่านั้น เจ้าเชื่อหรือไม่?” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ซูหมิงพลันเงยหน้า ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
“หากมิใช่ว่าเห็นแก่หน้าไป๋ฉางไจ้ ข้าก็คงขี้เกียจจะชี้แนะเจ้าแล้ว เข้ามา มานั่งข้างข้าใหม่อีกครั้ง!” ชายชราแซ่จิ่งขมวดคิ้ว ตะโกนใส่ซูหมิง
ซูหมิงเงียบไปชั่วครู่ เดินมาอยู่ข้างชายชราแล้วประสานมือคารวะ ก่อนนั่งลงอย่างนอบน้อม
ช่วงที่ชายชราแซ่จิ่งกำลังชี้แนะซูหมิง ทางตะวันออกสุดชายแดนอรุณใต้ บริเวณนั้นเดิมทีมีหน้าผาลักษณะขั้นบันได ทว่าตอนนี้หน้าผาถูกน้ำทะเลสีดำทึบจมไปมากกว่าครึ่งแล้ว น้ำทะเลแผ่กลิ่นอายพิลึก ผิวทะเลมิได้สงบนิ่งแต่เป็นลูกคลื่นขึ้นลง
บนหน้าผาแห่งนี้ มีคนเสื้อคลุมแดงยืนอยู่เจ็ดแปดคน พวกเขาล้วนใบหน้าซีดขาว ใบหน้าหน้ามีสัญลักษณ์หลากสี หนึ่งในนั้นนั่งยองลง มองลูกคลื่นทะเลมรณะซัดสาดเข้าใส่ใต้หน้าผาลึกลงไปราวสิบกว่าจั้ง
“สูงขึ้นมาหนึ่งจั้ง…อีกไม่นานหน้าผานี้จะถูกจม หากที่นี่จมลง ทะเลมรณะจะท่วมเข้ามาจำนวนมาก…”
ขณะเดียวกับที่บุคคลนี้กล่าวเสียงเบา พลันมีเสียงคำรามลากยาวมาจากในทะเลมรณะสีดำไกลๆ จากนั้นมีลูกคลื่นใหญ่เกิดขึ้น บนผิวน้ำไกลออกไปมีหางปลาขนาดหนึ่งร้อยจั้งสะบัดขึ้นมาจากผิวทะเล เกิดเป็นเสียงตีผิวน้ำจนทำให้เกิดลูกคลื่นใหญ่กว่าเดิม
ไกลออกไปอีก มีหางปลาดีดน้ำบนผิวทะเลเช่นนี้อีก…หลายร้อยตัว!
ชาวเผ่าเชมันเหล่านั้นใบหน้าซีดขาว ชายชราหนึ่งในนั้นที่หลับตามาโดยตลอด ยามนี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ข้ารู้สึกถึงความหวาดกลัวของพวกมัน…จระเข้วิญญาณพวกนี้เดิมทีควรจะอยู่ในส่วนลึกของทะเลมรณะ พวกมันหวาดกลัวเลยต้องมาที่นี่…..คำทำนายแห่งเขาแดนหมานมิใช่ตำนานโบราณ มัน…..กลายเป็นจริงแล้ว…..” ชายชราพึมพำ ยกมือขวาขึ้นสะบัดอากาศ พลันมีจุดแสงลอยจากมือเขาตรงไปทางผิวทะเลสีดำทึบ หลังจากบินออกไปไกลมากแล้ว จุดแสงพลันระเบิด ทำให้ทะเลมรณะในรัศมีหนึ่งหมื่นจั้งพลันสว่างขึ้น!
“นั่นมัน…” ในกลุ่มคนพลันมีคนร้องด้วยความตกใจ สีหน้าเปลี่ยนไป