Skip to content

สู่วิถีอสุรา 326

ตอนที่ 326 คนชรา

ตอนเห็นสายลมพัดผ่านซูหมิง แล้วมีส่วนหนึ่งลอยมาจากแผ่นหลัง ชายชราแซ่จิ่งพลันมีสีหน้าจริงจัง เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดไป๋ฉางไจ้ถึงสนใจซูหมิงนัก

“ดีมากซูหมิง…” ชายชราแซ่จิ่งพึมพำเบาๆ

‘ตอนแรกข้าคิดจะใช้คำพูดกระตุ้นเขาให้ทนได้นานกว่านี้อีกหน่อย ถึงอย่างไรสายลมจากความเร็วของนภาหิมวันต์ก็มิใช่ธรรมดา เหมาะกับการฝึกฝนร่างกายยิ่งนัก…อีกทั้งตรงปลายกระบี่นี้ก็มีแค่คนเดียวที่โชคดีได้ฝึกฝนร่างกาย เห็นแก่หน้าไป๋ฉางไจ้ถึงได้ยอมให้เขามาฝึกตรงนี้ แต่ไม่คิดเลยว่า…สติปัญญาเขาจะลึกล้ำถึงเพียงนี้ เข้าใจได้ถึงระดับนี้!’ ชายชราแซ่จิ่งแววตาเป็นประกายขณะมองซูหมิง

‘ข้าให้เขาจินตนาการว่าตัวเองเป็นสายลม แบบนี้จะรู้สึกถึงพลังจากลมเมื่อลมสองชนิดกระทบกัน และสำเร็จผลของการฝึกร่างกาย ใช้ลมฝึกฝนลม…ทว่าสิ่งที่เขาเข้าใจกลับมากกว่าระดับนั้น คือให้สายลมทะลวงผ่านตัวเองได้ ฉะนั้น…เมื่อปะทะลมก็จะไม่มีลม เหมือนมีตัวตนและไม่มีตัวตน…’

ชายชราแซ่จิ่งตะลึงงันไปชั่วครู่ มองซูหมิงด้วยแววตาประหลาด

ซูหมิงนั่งฌานอยู่จุดนั้นพักใหญ่ ก่อนจะลืมตาขึ้น ช่วงที่ลืมตาอีกครั้ง แววตาของเขาสงบนิ่ง

“ผู้อาวุโสจิ่ง ลมพวกนี้ออกจะเบาไปแล้ว ขยายเพิ่มอีกเล็กน้อยได้หรือไม่”

ชายชราแซ่จิ่งแค่นเสียงหึ ไม่กล่าวคำว่าขยะอีก แต่ยกมือขวาขึ้นชี้ไปตรงหน้าซูหมิง รอยแยกพลันขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ทำให้พายุพัดรุนแรงขึ้น

ตอนที่พายุถาโถมเข้ามา ซูหมิงหลับตาลง รูขุมขนพลันเปิดทั่วทั้งตัว ในความคิดจินตนาการว่าร่างกายตนเป็นหมอกโลหิต ภายในมีซอกเล็กๆ มากมาย สายลมแล่นผ่านซอกเล็กๆ เหล่านี้ได้โดยตรง ทำให้ตัวเขาเหมือนไม่มีอยู่ตรงนั้น

ราวกับว่ารูขุมขนหายใจได้ สายลมเหล่านั้นถาโถมใส่ตัวเขา และถูกสูดเข้าไปในรูขุมขนด้วยวิธีการพิลึกบางอย่าง ก่อนแลกเปลี่ยนในตัวเขาอย่างรวดเร็วแล้วปล่อยออกจากรูขุมขนด้านหลัง

ทว่าวิธีแบบนี้ไม่อาจมาแทนที่การหายใจจริงๆ ของซูหมิง ขณะเดียวกันเขาก็เกิดความรู้สึกหายใจติดขัด กระทั่งขณะแลกเปลี่ยนลมหายใจ ในร่างกายยังเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่วิธีแบบนี้กลับทำให้เขาทนรับความเร็วท่ามกลางสายลมได้มากกว่าการแบกน้ำหนักจริงๆ กระทั่งยังอึดขึ้นอีกไม่น้อย

เวลาผ่านไป เมื่อค่ำคืนวันที่สองมาเยือน ซูหมิงลืมตาขึ้น พลันถอยหลังไปหลายก้าว หลังสูดลมหายใจเฮือกใหญ่หลายครั้ง ใบหน้าเริ่มกลับมาเป็นปกติทีละน้อย ในวันนี้เขาทำแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง

ชายชราแซ่จิ่งยังคงเงียบ เพียงพิจารณามองซูหมิงด้วยแววตาประหลาดใจอยู่ตลอด จับตามองซูหมิงใช้รูขุมขนสูดสายลมเข้าไป

“ตามที่ข้ารู้มา มีสัตว์ร้ายบางชนิดไม่ต้องใช้จมูกหายใจ พวกมันใช้ผิวหนังแทนจมูก…

หากข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนเผ่าหมาน และยังเห็นเจ้าหายใจติดขัดเป็นบางครั้งละก็ ข้าคงคิดว่าเจ้าเป็นสัตว์ร้ายแปลงกายมาเป็นคนแน่ๆ” ชายชราแซ่จิ่งกล่าวอย่างประหลาดใจ

“วิธีของเจ้ายังไม่เหมือนกับที่ข้าคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ ทว่าดูจากท่าทางของเจ้าแล้ว วิธีนี้คงยืดหยัดได้อีกไม่นาน สุดท้าย…ก็ไม่มีทางสมบูรณ์แบบ” ชายชราแซ่จิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวช้าๆ

“แต่ความเร็วข้ามากกว่าแต่ก่อนเยอะ อีกทั้งยังอึดกว่าเดิมมาก เท่านี้ข้าก็พอใจมากแล้ว ส่วนวิธีที่สมบูรณ์แบบกว่า…ให้รอดตายจากสงครามนี้ก่อน ถึงจะมีคุณสมบัติเข้าใจมัน” ซูหมิงเงียบไปพักหนึ่ง เอ่ยเสียงหนักแน่น

ชายชราแซ่จิ่งเหมือนไม่คิดเช่นนั้น ทว่ากลับนึกอะไรบางอย่างออก จึงไม่กล่าวโต้แย้ง เพียงถอนหายใจคราหนึ่ง

“บางทีเจ้าอาจจะพูดถูก มีชีวิตรอดถึงมีโอกาส เจ้าฝึกฝนต่อไปเถอะ ข้ารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย…” เขาส่ายศีรษะแล้วหลับตาลง นั่งฌานต่อไปเงียบๆ

ในยามค่ำคืน บนท้องฟ้ามีดาวระยิบระยับ แต่ซูหมิงไม่มีเวลามาชมมัน หลังจากพักผ่อนครู่หนึ่งแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วมาตรงรอยแยกปลายกระบี่อีกครั้ง นั่งขัดสมาธิลง และใช้วิธีที่แม้แต่ชายชราแซ่จิ่งยังไม่ค่อยเข้าใจฝึกฝนร่างกายต่อ

ความจริงแล้วซูหมิงก็มิได้เข้าใจมันมากนัก เพียงแต่ใช้การสังเกตจากหมอกโลหิตที่ไม่หายไป คลำหาวิธีนี้ออกมาเอง วิธีเช่นนี้ดูเหมือนง่าย แต่การควบคุมลมหายใจที่ต่างกันทุกครั้งของรูขุมขนทั่วร่าง สิ่งนี้จำเป็นต้องมีความรู้สึกละเอียดอ่อน คนธรรมดายากจะทำได้ ต่อให้เป็นซูหมิงก็ยังต้องใช้การทดลองหลายครั้งกว่าจะหากฏเกณฑ์พบทีละนิด และค่อยๆ ฝึกฝนร่างกายที่ต่างจากการแบกน้ำหนักโดยสิ้นเชิง

‘จะเลิกแบกน้ำหนักไม่ได้ ใช่ว่าสิ่งที่คนอื่นพูดจะถูกทั้งหมด อีกอย่างสงครามครั้งนี้เกรงว่าจะยืดยาวหลายปี และยังรุนแรงถึงขั้นไม่อาจจินตนาการ ต้องมีชีวิตรอด….คือสิ่งสำคัญ!’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววหนักแน่น จากนั้นหลับตาลง

เวลาหนึ่งคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้า เมื่อยามเช้าตรู่วันที่สามมาถึง ตะวันแรกปรากฏ ซูหมิงเห็นตะวันบนฟ้าขึ้นต่างออกไป

ความโออ่าของดวงตะวันดึงดูดความสนใจของซูหมิง ผ่านไปพักใหญ่เขาจึงหลับตาลง และตกอยู่ในห้วงการฝึกฝนในสายลม จนกระทั่งยามค่ำคืนมาถึงและผ่านไป เช้าตรู่วันใหม่มาถึงอีกครั้ง ซูหมิงยืนขึ้นแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าชายชราแซ่จิ่งที่ยังคงหลับตาปานหลับใหล

ช่วงที่เขาเดินเข้ามา ชายชราลืมตาขึ้น

“ผู้อาวุโสจิ่ง ขอบคุณท่านที่ชี้แนะ” ซูหมิงประสานมือคารวะ แววตาซาบซึ้งใจ

“ไม่ต้องขอบคุณข้าตอนนี้ หากเจ้ามีชีวิตรอดจากสงครามได้ ค่อยขอบคุณก็ยังไม่สาย” ซูหมิงเริ่มชินกับวิธีการพูดของชายชราแซ่จิ่งแล้ว พอได้ยินดังนั้นเลยยิ้ม แล้วหยิบแผ่นไม้บันทึกที่เทียนเสียจื่อมอบให้เขาออกมายื่นให้ชายชราด้วยความนอบน้อม

ผู้อาวุโสจิ่งรับมาแล้วก็กวาดสายตามองรอบหนึ่ง ก่อนขมวดคิ้ว

“ผู้อาวุโส ผู้เยาว์ต้องไปแล้ว” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“ถือตราของผู้อาวุโสเทียนเสียจื่อ เจ้าจะไปเมื่อไรก็ได้ ทว่าอีกวันกว่าก็จะถึงเมืองหมอกนภาแล้ว หากเจ้าไปตอนนี้ ก็ต้องเดินทางไปที่เมืองเอง” ชายชราแซ่จิ่งเงยหน้ามองซูหมิงแวบหนึ่ง

“หากมิใช่เรื่องสำคัญอะไรมาก ข้าว่าเจ้าอย่าไปเลย”

“เรื่องนี้สำคัญกับผู้เยาว์มาก” ซูหมิงมองชายชรา

“ให้เวลาเจ้าเจ็ดวัน ด้วยความเร็วของเจ้าต้องมาถึงเมืองหมอกนภาได้แล้ว ส่วนตำแหน่งโดยละเอียด เจ้าสัมผัสพลังชีวิตที่เจ้าประทับบนตัวกระบี่ก็จะรู้เอง หากเจ้าไม่กลับมาในเจ็ดวันจะถูกลงโทษฐานทรยศแล้วหลบหนี!” ชายชราแซ่จิ่งสะบัดแขนเสื้อ โยนแผ่นไม้บันทึกในมือให้ซูหมิงแล้วหลับตาลงอีกครั้ง ไม่สนใจอีก

ทว่าช่วงที่สะบัดเมื่อครู่ ม่านแสงคุ้มกันกระบี่ยักษ์ด้านหลังเขากลับมีจุดหนึ่งเกิดระลอกคลื่นบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าตรงนั้นเป็นทางออกสำหรับซูหมิง

ซูหมิงรับแผ่นไม้บันทึกมา ประสานมือคารวะชายชราหนึ่งครั้ง แล้วหมุนตัวไปมองจื่อเชอในกลุ่มคนตรงขอบกระบี่ที่กำลังมองตนอยู่เช่นกัน ซูหมิงยิ้มพยักหน้าให้ แววตาให้กำลังใจ

จื่อเชอนิ่งเงียบมองซูหมิง และพยักหน้าให้เช่นกัน

ส่วนเทียนหลันเมิ่ง นางยังคงนั่งอยู่ตรงขอบกระบี่ หันหลังให้ซูหมิง เส้นผมงามพาดบ่า เหมือนกำลังมองท้องฟ้า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ซูหมิงละสายตากลับ ภายใต้สายตาประหลาดใจของผู้คนโดยรอบ เขาเคลื่อนตัวไปยังทางออกด้านหลังชายชรา พริบตาเดียวก็ทะลวงเข้าไปในม่านแสงบิดเบี้ยว

วินาทีที่ซูหมิงหลุดจากม่านแสง มีเสียงระเบิดดังก้องข้างหูเขาและยังคงดังอย่างต่อเนื่อง กระบี่ยักษ์นภาหิมวันต์ลากยาวไกลออกไป ครั้นซูหมิงหันไปมอง เขาเห็นเพียงจุดสีดำค่อยๆ หายไป

สิ่งที่หายตามไปคือเสียงระเบิดอย่างรุนแรงเมื่อครู่

ท้องฟ้ากว้างใหญ่ค่อยๆ กลับมาเงียบสงบ ซูหมิงยืนอยู่เพียงลำพัง มองทอดไกลอยู่นานก่อนละสายตากลับ แล้วมุ่งหน้าลงไปทางแผ่นดินใหญ่

ช่วงที่ก้าวเดินไป เพราะกำไลน้ำแข็งระเบิดกระจุยหมดแล้ว ความเร็วจึงเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง ขณะห้อเหยียด เขายิ่งรู้สึกได้ถึงสายลมแรงที่กระทบใบหน้า ตอนสายลมถาโถมเข้ามา เขาใช้วิธีการสูดลมหายใจจากรูขุมขนที่ตนบรรลุมาได้

ร่างกายขยับวูบวาบ หายไปในทันที

ความเร็วระดับนี้ถึงจุดที่น่าสะพรึงแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่ง บนแผ่นดินเผ่าหมาน ตรงปลายยอดเขาแห่งหนึ่งท่ามกลางเทือกเขาพลันมีพายุคลั่งพัดเข้ามา อีกทั้งมวลอากาศยังบิดเบี้ยวเป็นวงกว้าง ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้นคล้ายเป็นเศษเงาซ้อนทับกัน

เขามีใบหน้าซีดขาว หลังจากปรากฏตัวก็หอบหายใจแรงหลายครั้งถึงค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ ทว่าแววตากลับเป็นประกาย หัวใจเต้นแรงขึ้น

‘เร็วกว่าแต่ก่อนมากนัก…อีกทั้งยังอึดกว่าเดิมครึ่งชั่วยาม!’

ซูหมิงเผยยิ้มน้อยๆ รอจนพลังโลหิตในกายสงบนิ่งแล้วก็ก้มหน้ามองใต้เทือกเขา บนแผ่นดินไม่ไกลนักเป็นชนเผ่าหมานขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่โอบล้อมด้วยท่อนซุงใหญ่

ภายในชนเผ่ายามเช้าตรู่มีควันลอยขึ้น ได้ยินเสียงหยอกเล่นกันของเด็กๆ ดังแว่วมาแต่ไกลๆ ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น มองผู้คนในชนเผ่าเล็กกำลังเริ่มต้นวันใหม่

ซูหมิงมาชนเผ่านี้ครั้งที่สองแล้ว เขาเพ่งสายตามองเรือนพักธรรมดาๆ หลังหนึ่งในนั้น

เขาเคลื่อนตัวเดินลงจากเขา และเข้าไปในชนเผ่า

การมาของซูหมิงเงียบสงบยิ่งนัก ด้วยขั้นพลังของเขา สามารถลอบเข้าไปโดยที่ชาวเผ่าขนาดเล็กแห่งนี้ไม่รู้ตัว ตอนที่เขามาปรากฏตัวอยู่นอกเรือนพักธรรมดาในชนเผ่าแห่งนี้ ซูหมิงได้ยินเสียงซวินดังแว่วมาจากในเรือน

เสียงซวินนี้เต็มไปด้วยความสงบนิ่ง ทำให้ผู้ฟังเป็นต้องสงบใจลง

ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น หลับตาลง ตกอยู่ในห้วงบทเพลงซวิน ผ่านไปพักใหญ่ เสียงเพลงถึงค่อยๆ หายไป แล้วมีน้ำเสียงแก่ชราดังแหบพร่ามาจากในเรือนพัก

“เจ้ามาแล้ว…”

“ผู้เยาว์ซูหมิง มาขอพบผู้อาวุโส” ซูหมิงลืมตาขึ้น แววตาสงบนิ่งยามประสานมือคารวะ

“เข้ามาเถอะ ข้าซ่อมซวินของเจ้าเสร็จแล้ว”

ซูหมิงมีสีหน้าเคารพ ตอนที่เปิดประตูเรือนพักแล้วเดินเข้าไป ก็เห็นชายชราสร้างซวินในท่านั่งเหมือนเดิม กระทั่งที่นั่งยังเหมือนเดิม ราวกับว่าเขาไม่เคยลุกขึ้นยืนเลย

ชายชรามองซูหมิง ใบหน้าเผยรอยยิ้มเมตตา ทว่าดวงตาเขามืดบอด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version