Skip to content

สู่วิถีอสุรา 327

ตอนที่ 327 หนีทหาร

สำหรับชายชราท่านนี้แล้ว แม้ซูหมิงจะตรวจไม่พบคลื่นขั้นพลังอีกฝ่าย กระทั่งยังเหมือนเพียงพายุโหมกระหน่ำใส่ก็จะมอดดับได้ทุกเมื่อ ทว่าในใจซูหมิงกลับเต็มไปด้วยความเคารพ

เขาเคารพชายชราผู้นี้ มิใช่เพราะเทียนเสียจื่อก็ต้องนั่งอยู่ตรงหน้าบุคคลนี้เงียบๆ

เขาเคารพชายชราผู้นี้ มิใช่เพราะความลับ หรือเพราะเทียนเสียจื่อเสื้อคลุมเปลี่ยนสีเมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย

เขาเคารพชายชราผู้นี้ มีเพียงสาเหตุเดียว นั่นคืออีกฝ่ายซ่อมซวินกระดูกธรรมดาๆ ให้เขา ซวินนี้มีความทรงจำของเขา การซ่อมมัน สำหรับซูหมิงแล้วเป็นเหมือนกับบุญคุณ

เขารู้สึกขอบคุณชายชราผู้นี้ ฉะนั้นจึงเกิดความเคารพในใจ ต่อให้ขั้นพลังซูหมิงสูงกว่านี้อีก ต่อให้ชายชราเป็นเพียงคนธรรมดาจริงๆ มันก็จะไม่เปลี่ยนไปชั่วนิรันดร์

“บุญคุณที่ผู้อาวุโสช่วยซ่อมซวิน ผู้เยาว์จะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต!” ซูหมิงประสานมือคารวะชายชรา

ชายชราซ่อมซวินยิ้ม มือขวาคลำบนเสื่อข้างกาย ไม่นานก็หยิบซวินกระดูกของซูหมิงมาจากในนั้น

“แค่เรื่องเล็กน้อยมิใช่บุญคุณอะไรหรอก เจ้าเชื่อว่าคนตาบอดอย่างข้าจะซ่อมมันได้ ก็เลยยอมส่งมันมาให้ข้า มันมีวาสนากับข้า เจ้าก็มีวาสนากับข้า วาสนานี้ไม่ใช่บุญคุณ” ชายชราถือซวินกระดูก ใช้มือซ้ายลูบเบาๆ

“มา มาตรงหน้าข้า…จุดเสียหายของซวินนี้ ด้านนอกไม่สำคัญ สำคัญคือมันไม่มีจิตวิญญาณ เจ้านายคนก่อนของมัน ตอนเป่าบทเพลงซวิน เมื่อเพลงนั้นจบเขาก็จากไปใช่หรือไม่?” ชายชราถามเสียงเบา

ซูหมิงเงียบงัน นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าชายชรา มองซวินกระดูกในมืออีกฝ่าย นัยน์ตาฉายแววเศร้าโศก

“น่าจะใช่…” ชายชราถอนหายใจ

“สิ่งที่จากไปมิใช่เพียงวิญญาณของเจ้าของคนก่อน ยังมีจิตวิญญาณซวินด้วย ทำให้มันไม่ยอมเปล่งเสียงอีก นี่ต่างหากคือจุดสำคัญ” ชายชรายกมือขวา ยื่นกระดูกไปด้านหน้า

ยามนี้ซูหมิงถึงเห็นชัดว่า ชายชราผู้นี้ตาบอดจริงๆ

“ตอนนี้….มันส่งเสียงได้แล้วรึ?” ซูหมิงรับซวินกระดูก รอยร้าวเมื่อก่อน ตอนนี้กลายเป็นเส้นโลหิตหลายเส้น ดูเหมือนนำมาปะเอาไว้ อีกทั้งน้ำหนักยังมากขึ้นไม่น้อย รู้สึกหน่วงๆ ในมือ

“ข้าซ่อมมันได้เพียงภายนอก ส่วนจิตวิญญาณมันไม่ยอมบรรเลงเพลงอีก เรื่องนี้ข้าไม่มีพลังจะแก้ไขมันได้ คนที่ทำได้มีเพียงเจ้า” ชายชรากล่าวเบาๆ

“ข้าคิดเสมอว่าซวินมีจิตวิญญาณ เสียงของมัน…หากซวินไม่มีจิตวิญญาณ แล้วจะแบกรับอารมณ์ของผู้คนได้อย่างไร จะเปล่งเสียงให้ผู้คนตกอยู่ในห้วงภายในได้อย่างไร เพียงแต่ว่าบางคนก็สัมผัสถึงจิตวิญญาณของซวินได้ บางคนก็ทำไม่ได้”

ชายชรามองซูหมิง ทว่าความมืดบอดในดวงตามอบความรู้สึกประหนึ่งโลกที่เขามองเห็นต่างจากคนอื่น

“ซวินมีจิตวิญญาณ…” ซูหมิงพึมพำ เขานึกออกแล้ว ในยามค่ำคืนโดดเดี่ยว เขาจะเป่าบทเพลงซวินที่มีเพียงตนที่ได้ยินอย่างเงียบๆ ความเศร้าของบทเพลงปานแสงจันทร์สาดส่อง ทำให้ซูหมิงหวนคะนึงคิดหลายครั้ง

“จิตวิญญาณของซวินนี้ตายแล้ว…การตายที่ว่าคือลอยหายไป ไม่อาจแก้ไขอะไรได้ ทว่าตอนแรกที่ข้าเห็นมันข้าก็รู้แล้วว่าจิตวิญญาณมันไม่อยู่แล้ว

หากเจ้าอยากให้มันมีเสียงอีกครั้ง ให้มันบรรเลงเพื่อเจ้า รวมถึงเสียงเหล่านั้นที่เจ้าอยากได้ยิน เจ้าต้อง…..เพิ่มจิตวิญญาณดวงใหม่!” ชายชรากล่าวเสียงแหบพร่าดังก้องในเรือนพัก ด้านนอกมีเสียงเด็กเล่นกันเป็นบางครั้ง เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกล ทำให้คนฟังไปฟังมาเริ่มไม่แน่ใจ

“จะทำอย่างไร?” ซูหมิงเงยหน้ามองชายชรา

“ลืมมัน” ชายชราเงียบไปชั่วครู่ ก่อนหลับตาลง

ซูหมิงมองซวินในมือ หลังเหม่อมองอยู่นานก็ยันกายขึ้นแล้วคารวะชายชรา ก่อนหมุนตัวเตรียมจากไป ทว่าเขากลับหยุดชะงักก่อน

“ผู้อาวุโส แดนอรุณใต้มีภัยพิบัติ โดยเฉพาะบริเวณชนเผ่านี้ ยิ่งห่างจากเมืองหมอกนภาไม่ไกล…หากเป็นไปได้อพยพไปทางตอนกลางเถอะ สงครามหนึ่งร้อยปีอาจไม่เหมือนเมื่อก่อน” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา แล้วเปิดประตูเดินออกไป

ช่วงที่เขาเดินออกจากเรือนครึ่งก้าว มีเสียงชายชราดังมาจากด้านหลัง

“โลกใบนี้ไม่มีที่ที่ปลอดภัยจริงๆ หรอก ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีที่ที่อันตรายจริงๆ เช่นกัน ต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้น พวกมันมีสิทธิ์เลือกหรือไม่?”

ซูหมิงหยุดชะงัก เข้าเหมือนจะเข้าใจและไม่เข้าใจความหมายแฝงในคำพูดเล็กน้อย ก่อนเดินออกจากเรือนอย่างเงียบๆ แล้วออกจากชนเผ่าเล็กแห่งนี้ไป

ซูหมิงมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าซับซ้อน แต่จิตใจเขากลับแน่วแน่ เขารู้ว่าต่อไปจะต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในแดนอรุณใต้ และเขาก็รู้ด้วยว่าภัยพิบัติครั้งนี้จะต้องพรากชีวิตคนไปจำนวนมาก

เขาเลือกหลบหนีได้ หาที่นั่งฌานและรอการมาเยือนของภัยพิบัติ บางทีอาจหนีพ้น ทว่าขณะเดียวกันจะเลือกไม่หนีก็ได้ แต่ต้องให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นในแบบทดสอบภัยพิบัติ!

การฝึกฝนแบบปกติ จะค่อยๆ พัฒนาตัวเองในเวลาไม่ถึงสิบปี หากอยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้ อยากให้ตนแข็งแกร่งกว่านี้ เช่นนั้นก็ต้องมีจิตใจกล้าหาญ

หากไม่มีโชคก็จงต่อสู้เพื่อสร้างมัน หากไม่มีโอกาสก็จงสังหารเพื่อสร้างมัน หากขั้นพลังถึงคอขวด เช่นนั้นก็ใช้เลือดแก้ไขมัน หากชีวิตตกอยู่ในอันตราย ก็จงใช้ความบ้าคลั่งระหว่างความเป็นตายมาสร้างเป็นเส้นทางให้ตนมีชีวิตรอด

“โลกใบนี้ไม่มีที่ที่ปลอดภัยจริงๆ และก็ไม่มีที่ที่อันตรายจริงๆ…” ซูหมิงพึมพำ เดินไปไกลขึ้น ฝีเท้าหนักแน่นยิ่งขึ้น

ซูหมิงเดินไปอย่างนั้น เขามิได้ใช้ความเร็ว กระทั่งไม่ได้โคจรขั้นพลังรวมถึงพลังโลหิตด้วย ใช้เพียงร่างกายเดินอยู่ในเทือกเขา เดินอยู่ในป่าเยี่ยงคนธรรมดา

เดินมุ่งหน้าไปเมืองหมอกนภา

เป้าหมายเขาคือเมืองหมอกนภา เป้าหมายในใจกลับเป็นภูเขาทมิฬ แม้เดินอยู่บนทางเส้นนี้ แต่ในความคิดก็ยังเป็นภูเขาทมิฬ

เดินอยู่บนเส้นทางกลับบ้าน เดินอยู่ในความทรงจำเขา ราวกับแสวงหา

เทือกเขาสูงเตี้ย หนองบึงและแอ่งน้ำในป่าทึบ ไม่ทำให้ซูหมิงหยุดนานนัก เขาเดินแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปสามวัน

การเดินทางสามวันนี้ ความจริงแล้วหากซูหมิงใช้ความเร็ว เพียงชั่วครู่ก็ไปได้ไกลกว่านั้น ทว่าเขากลับไม่ทำ

ตอนเริ่มแรกเขาตั้งใจให้ตนลืมขั้นพลัง ลืมทุกอย่าง ทว่าหลังจากเดินผ่านเทือกเขา ป่าทึบและที่ราบแล้ว ตอนที่เขามองท้องฟ้ากว้างใหญ่แล้วไม่เห็นเงาผู้ใดก็เหมือนว่าเขาจะอยู่ในสภาวะลืมเลือนได้

เขาลืมขั้นพลังตัวเอง ลืมว่าตนเดินอยู่ในแดนอรุณใต้ ลืมเป้าหมายของตน ลืมหลายสิ่ง จนกระทั่งคืนวันที่สี่มาถึง ณ ป่าทึบ ซูหมิงรู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว

เขายืนพิงต้นไม้ใหญ่ด้วยความเหนื่อยล้า เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน มองดวงจันทร์ถูกบดบังครึ่งดวงด้านหลังใบไม้ ก่อนหยิบซวินขึ้นมา

เขาวางซวินไว้ตรงริมฝีปาก หลับตาลงเป่าเบาๆ ผ่านไปพักใหญ่กลับไม่มีเสียงซวินดังในป่าทึบ ทว่าซูหมิงมีสีหน้าคะนึงคิด ประหนึ่งตกอยู่ในห้วงเพลงซวินในความทรงจำ

ท่ามกลางความเงียบสงัด ตรงชายแดนป่าทึบ ห่างจากซูหมิงไปเล็กน้อย ยามนี้มีเงาคนสามคนกำลังห้อเหยียดมาจากเมืองหมอกนภา

เงาสามคนนี้ดูระวังตัวยิ่งนัก หนึ่งคนหน้าสุดหลับตา ในขอบเขตหลายร้อยจั้งมีระลอกคลื่นไร้รูปแผ่เป็นวงกว้าง เมื่อระลอกคลื่นปะทะกับต้นไม้ใหญ่ จะเกิดเสียงดีดกลับเล็กน้อย ทว่าหากสัมผัสกับสัตว์น้อยในป่าทึบ มันถึงจะรวมกันเข้าไปจำนวนมาก

ภายใต้แสงจันทร์ จะเห็นว่าบนใบหน้าบุคคลนี้สักเป็นภาพค้างคาว นี่มิใช่ลายหมาน…แต่เป็นลายสัก

ลายสักของเผ่าเชมัน!

สองคนผู้ติดตามหลังบุคคลนี้ หนึ่งเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ยิ่งนัก ดูมีพละกำลังมหาศาล กล้ามเนื้อปูดนูน ทำให้ดูเหมือนภูเขาเล็ก ทุกย่างก้าวแผ่นดินสะเทือน ทว่าที่น่าแปลกคือไม่มีเสียงใด

บนบ่าของบุคคลนี้แบกขวานยักษ์ ตรงคมขวานเป็นสีน้ำตาลแดงทึบ นั่นคือรอยหลังจากโลหิตแห้งแล้ว

ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นเงาคนรูปร่างผอมเตี้ย ดูจากส่วนเว้าโค้งแล้วก็รู้เลยว่าเป็นสตรี นางมีใบหน้าธรรมดา ผิวหน้าค่อนข้างดำ ดวงตาปานสายฟ้า ในสามคนนี้นางวิ่งสบายที่สุด ราวกับว่านางต้องชะลอความเร็วลงเพื่อไปให้พร้อมกับอีกสองคน

บนใบหน้าสตรีสักเป็นรูปแมลงวันพิษ ทำให้นางดูอัปลักษณ์

ขณะสามคนห้อเหยียด ไม่นานก็หยุดในป่าทึบ

ยามนี้พวกเขาห่างจากซูหมิงเพียงห้าพันจั้ง ทว่าเห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนนี้ยังตรวจไม่พบซูหมิง อีกทั้งซูหมิงยังตกอยู่ในห้วงบทเพลงซวินไร้เสียง ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ เมื่อทั้งสองฝ่ายมาพบกัน จะต้องเกิดการเข่นฆ่ากันอย่างแน่นอน

“ตรงนี้แหละ ตามสัญญาพวกเราต้องรออูตัวอีกหนึ่งชั่วยาม อิ๋งฮ่วน เจ้าเร็วสุด จงไปตรวจสอบโดยรอบในระยะหมื่นจั้งสักรอบว่าปลอดภัยจริงๆ แล้วหรือไม่ ตามแผนที่แล้ว ที่นี่ไม่มีชนเผ่าอยู่ ชนเผ่าใกล้สุดก็ห่างไปไกลอยู่เล็กน้อย ไม่น่าจะมีชาวเผ่าหมานอยู่ตรงนี้ แต่ก็ต้องระวังตัวด้วย”

“หากหนึ่งชั่วยามจากนี้อูตัวยังไม่มา ข้าจะไป” สตรีหนึ่งในสามคนหันหน้ามองคนกล่าวแวบหนึ่ง ก่อนไหวตัวหายไปในค่ำคืนมืด

“อูตัวมีนิสัยชอบเข่นฆ่า หากเขาไม่มาข้าก็จะไปเหมือนกัน” ชายร่างกำยำแบกขวาน นั่งลงข้างๆ มองคนสักลายค้างคาวบนใบหน้าด้วยความเย็นชาแวบหนึ่ง

“วางใจเถอะ เขาต้องการผลึกเชมันของพวกเรา อย่างไรก็ต้องมาแน่นอน หากค้าขายสำเร็จ ชีวิตผู้คนเหล่านั้นจะไม่ต้องสูญเปล่าที่ให้พวกเราเข้ามาในเผ่าหมาน ด้วยวิชาของเขา พวกเราจะแปลงกายเป็นเผ่าหมาน และหลีกหนี…..ภัยพิบัติแดนรกร้างบูรพา” คนสักลายค้างคาวกล่าวเสียงเบา ช่วงที่กล่าวถึงคำว่าภัยพิบัติแดนรกร้างบูรพา เขาหายใจกระชั้นถี่ขึ้นเล็กน้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version