Skip to content

สู่วิถีอสุรา 582

ตอนที่ 582 พี่ลาซู…

วินาทีที่เปิดม่านกระโจมหนังเข้าไป มีแสงไฟอบอุ่นส่องมาจากข้างใน แสงไฟนั้นเหมือนกับลำแสงหลายเส้น ส่องสะท้อนลงบนตัวซูหมิง

เสียงเพลงซวินก็เหมือนดังขึ้นชัดเจนเรื่อยๆ จากการเปิดม่าน

ภายในกระโจมหนังมีชายชรานั่งอยู่ผู้หนึ่ง มือถือซวินกระดูกหนึ่งอันไว้ตรงมุมปาก กำลังหลับตาบรรเลงเพลงซวินอันเศร้าโศก เสียงเพลิงวนเวียนไปรอบๆ ทำให้ซูหมิงรู้สึกเหมือนแยกจากโลกใบนี้

เขาเดินเข้าไปในกระโจมหนังอย่างเงียบๆ แล้วนั่งลงตรงหน้าชายชรา หลับตาลงฟังเพลงซวิน จิตก็ล่องลอยขึ้นตามเสียงซวิน ไม่รู้ว่าไปที่ใด…..บางทีอาจกำลังร่อนเร่อยู่กระมัง

เวลาผ่านไปทีละน้อย ซูหมิงยังคงหลับตา จิตวิญญาณเหมือนหาที่หยุดไม่พบ ยังคงวนเวียนอยู่ตลอด

นอกชนเผ่า ยามนี้กระเรียนขนร่วงขนลุกชันทั้งร่าง มันเบิกตากว้างมองไปรอบๆ ไม่หยุด สีหน้าเผยความตื่นกลัว โดยรอบนี้ว่างเปล่า นอกจากซูหมิงแล้วไม่มีใครเลย

ทว่าซูหมิงกลับนั่งหลับตาอยู่ไกลๆ บนพื้นที่กว้างโล่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

หากเพียงเท่านี้กระเรียนคงไม่รู้สึกหวาดกลัว ที่มันกลัวเพราะบนเกาะนี้มีพลังงานพิลึกบางอย่าง พลังงานนี้ไร้รูป ทว่ากลับทำให้มันขยับตัวไม่ได้เลย

เดิมทีโดยรอบว่างเปล่า แต่บางครั้งก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กดังกึกก้อง เหมือนมีกลุ่มเด็กไม่มีตัวตนกำลังวิ่งไล่จับอยู่รอบๆ ตัวมัน….

บางครั้งยังมีความเย็นเยียบแทรกซึมเข้าสู่ในใจมัน ราวกับว่าตรงจุดที่มันอยู่ถูกเด็กเหล่านี้ทะลวงผ่านไป

ปากมันสั่นเทา แต่กลับไม่อาจขยับตัว มันมองซูหมิง มองไปรอบๆ พร้อมกับเกิดความกลัวต่อเกาะนี้ขึ้นในใจ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ฟ้ายังคงดำมืดประหนึ่งจะไม่มีแสงสว่างไปชั่วนิรันดร์ เสียงซวินข้างหูซูหมิงค่อยๆ เบาลง จนกระทั่งหายไปหมดสิ้น ก่อนมีเสียงแก่ชราดังแว่วมาข้างหูเขา

“เจ้ามาแล้ว…..”

ซูหมิงลืมตามองชายชราที่กำลังวางซวินไว้ตรงหน้า ชายชราเผยรอยยิ้มเมตตา ดวงตาเขาดูเหมือนปกติ ทว่าซูหมิงรู้ว่า…เขาเป็นคนตาบอด

“ผู้อาวุโสรู้ว่าข้าจะมาหรือ?” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา เขามาที่นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว และทุกครั้งจะรู้สึกต่างกัน

“เพราะความสับสนของเจ้าทำให้เจ้าร่อนเร่มาตลอด ฉะนั้น….เจ้าถึงมาที่นี่ได้” ชายชรามองซูหมิง ใบหน้าเผยรอยยิ้มเมตตาอย่างยิ่งพร้อมกับกล่าวคำพูดที่เขาไม่เข้าใจ

“อะไรคือร่อนเร่?” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพลันกล่าวขึ้น

“หากจิตใจไม่มีที่พักพิง ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ล้วนคือร่อนเร่….”

ซูหมิงใจสั่นสะท้าน คำพูดนี้กึกก้องอยู่ในใจ ทำให้เขาเหม่อลอยอยู่นาน จิตใจเขาไม่มีที่พักจริงๆ ภูเขาทมิฬเป็นของปลอม ยอดเขาลำดับเก้าก็รกร้างหากไม่นับหู่จื่อ ชีวิตเขาร่อนเร่มาโดยตลอด

ไม่รู้เส้นทางของบ้าน ไม่รู้เหตุและผลของทุกสิ่ง ไม่รู้ว่าวนเวียนอยู่ที่ใด…..

“ท่านเป็นใคร” ผ่านไปพักหนึ่ง นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย

“ตอนที่เจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าจะรู้ว่าข้าเป็นใคร”

ชายชราส่ายศีรษะพลางลูบซวินกระดูกในมือ เล็บมือเคาะซวินจนเกิดเสียงดังก๊อกๆ

เสียงนี้ดังก้องอยู่ในกระโจมและกระจายสู่ข้างนอก

“ข้างนอกนั่นเจ้าก็เห็นแล้ว ผู้เยาว์ จงบอกข้ามาว่าเจ้าเห็นอะไร?” ดวงตาว่างเปล่าของชายชราไม่มองซูหมิง แต่มองกระโจมหนังพลางกล่าวเสียงเบา

“ที่นี่ไม่มีอยู่จริงๆ เกาะนี้ว่างเปล่า ชาวเผ่าข้างนอกน่าจะตายไปแล้ว ที่นี่มีวิญญาณเงามืดวนเวียนอยู่ รวมถึงผู้อาวุโสด้วย ดูแล้วก็คงจะเป็นเช่นนั้น”

ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“สิ่งที่เจ้าเห็นไม่แน่ว่าอาจเป็นของจริง สิ่งที่เจ้าคิดว่าไม่มีอยู่ ไม่แน่ว่า…อาจไม่มีอยู่จริงๆ” ชายชราหลับตาลง เสียงเข้าถึงหูซูหมิง

นัยน์ตาซูหมิงฉายแววสับสน ความสับสนนี้หยั่งลึกยิ่งนัก วนเวียนในใจอยู่นานไม่เลือนหาย

“พวกเขามีอยู่จริง เจ้าเห็นแล้ว…ทว่าเจ้าไม่เชื่อ…คนนอกมองไม่เห็นก็จะกลัว เหมือนกับคนนับพันนับหมื่นนอนหลับทว่าเจ้าลืมตาอยู่ เจ้าเป็นคนโชคดีและก็เป็นคนเศร้า เพราะเจ้าไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เพราะหากเจ้าเชื่อ เจ้าจะเป็นจุดต่างของโลกนี้…เพราะว่าเจ้าตื่นแล้ว” ชายชรากล่าวเสียงเบา ในคำพูดแฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง ทำให้ซูหมิงงุนงง

“คนนับพันนับหมื่นตื่น แต่เจ้ายังคงหลับ…เป็นเพราะไม่ยอมตื่นหรือว่าเจ้าคิดว่าตัวเองตื่นแล้ว อะไรคือหลับ อะไรคือตื่น ทุกอย่างเป็นเพียงโลกที่เจ้ามองเห็น ทว่าคนอื่น…..มองไม่เห็น” ชายชรากล่าวเสียงเนิบช้า เสียงแฝงไว้ด้วยกาลเวลาเนิ่นนาน ชวนให้คนฟังเกิดความรู้สึกเหมือนเห็นยุคสมัยที่ผ่านมานาน

“เหมือนกับโชคชะตาที่มีทั้งยอมรับและต่อต้าน เหมือนกับชีวิตคนเราซึ่งมีความสุขและความเศร้า เหมือนกับเจ้าและข้า สิ่งที่ข้ามองเห็น เจ้ามองไม่เห็น สิ่งที่เจ้ามองเห็น ข้า…มองไม่เห็น ผู้เยาว์ เจ้าเข้าใจหรือไม่?” ชายชราลืมตา ดวงตาเป็นโพรงเหมือนมองซูหมิงพลางยิ้มเมตตา

“หากไม่สนใจอดีต ก็ไม่ต้องสนใจอนาคต ไม่ยึดมั่นอยากรู้ว่าข้าเป็นใคร ก็ไม่ต้องใคร่ครวญว่าข้าเป็นใคร…แม้พายุหมุนจะรุนแรง ทว่าขอเพียงไม่อาจดับไฟในใจข้า ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่ง…โลกนี้จะถูกแผดเผา!” ซูหมิงเงียบอยู่ชั่วครู่แล้วเงยหน้ามองชายชรา นัยน์ตามีเสี้ยวความเข้าใจวาบผ่านก่อนกล่าวช้าๆ

ชายชราได้ยินซูหมิงกล่าว รอยยิ้มก็เบิกบานใจ สีหน้ามีความชื่นชมน้อยๆ

“ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่ง โลกนี้จะถูกแผดเผา! นี่…ก็คือโชคชะตา ไม่ใช่โชคชะตาของเจ้า ไม่ใช่โชคชะตาของคนอื่น แต่เป็นโชคชะตาของโลกใบนี้!

คำว่าโชคชะตาไหนเลยจะไม่ใช่เช่นนี้เหมือนกัน ไยต้องไปยึดมั่นกับมัน…จริงๆ แล้วเจ้ายังไม่เข้าใจ…” ชายชรายิ้ม

ซูหมิงเงียบ

“ตอนที่เจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นเจ้า เจ้าจะไม่ใช่เจ้า…ตอนที่เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นเจ้า เจ้า…..ก็คือเจ้า” ชายชรายกมือขวา ซวินกระดูกในมือพลันลอยไปหาซูหมิง

“รับมันไว้ มันจะชี้ทางสู่บ้านให้กับเจ้า” เสียงชายชราดังก้อง ซูหมิงมองซวินกระดูกที่ลอยอยู่ตรงหน้าตน ว่ากันตามตรงสิ่งนี้เป็นกระดูกสันหลังสัตว์ป่าชิ้นหนึ่ง ตัวมันมันวาวยิ่งนัก และมีร่องรอยของกาลเวลา

“มันจะขวางภัยพิบัติโชคชะตาให้กับเจ้าหนึ่งครั้ง! ภัยพิบัตินี้…ใกล้จะมาถึงแล้ว หากผ่านครั้งนี้ไป จากนี้ในชะตาชีวิตเจ้าจะมีลายเส้นเพิ่มมาหนึ่งเส้น จากนี้ไปคนอื่นจะควบคุมชะตาชีวิตของเจ้ายากขึ้น” ชายชรามองซูหมิงพลางอมยิ้ม จากนั้นหลับตาลง

“เจ้ากับข้าเจอกันสามครั้ง เหมือนกับพรหมลิขิตสามชีวิต ตอนเดินออกจากกระโจมหนังนี้ ข้าจะมอบโชควาสนาสามวันให้กับเจ้าเพื่อเปิดรูปปั้นแห่งวิญญาณหมาน”

เสียงชายชราแหบแห้งดังกังวาน ซูหมิงมองซวินและถือมันไว้อย่างเงียบๆ ตอนที่มองชายชราสีหน้าเขาสับสนเล็กน้อย จนกระทั่งผ่านไปนาน ชายชราไม่กล่าวอะไรอีก ซูหมิงจึงค่อยประสานมือคารวะ

แม้เขาไม่รู้นามและประวัติของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกว่าในตัวชายชราคนนี้มีสติปัญญาและผ่านโลกมาอย่างโชกโชน หลังจากคารวะเงียบๆ แล้วซูหมิงก็เหมือนนึกอะไรออก เขาหมุนตัวเดินไปยังทางออกกระโจมแล้วเปิดม่านขึ้น วินาทีที่กำลังยกเท้าจะก้าวออกไปนั้น เขาพลันตัวสั่น ร่างกายเหมือนหยุดนิ่ง ลืมกระทั่งเหยียบเท้าลง

เขาตัวสั่นเทา จิตวิญญาณตื่นตะลึง นัยน์ตาฉายแววเหลือเชื่อ วินาทีนี้หัวใจเขายิ่งเต้นระรัวอย่างแรง

เพราะตอนเปิดม่านออก สิ่งที่เห็นไม่ใช่เกาะ ไม่ใช่ท้องฟ้ามืดมิด ไม่ใช่เมฆหนาบดบังดวงจันทร์ ทั้งยังไม่มีคลื่นทะเลจากรอบๆ

เขาไม่ได้ยินเสียงคลื่นทะเล ไม่มีแสงไฟรอบๆ ไม่ได้กลิ่นทะเล รวมถึงความขมขื่นจากความโดดเดี่ยวด้วย

ความเหลือเชื่อปรากฏในสายตาซูหมิง เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน และสิ่งที่ได้กลิ่นทุกอย่างนี้ เขาพลันหมุนตัวกลับ อยากมองชายชราในกระโจมหนังแวบหนึ่ง ทว่ากลับกลายเป็นความว่างเปล่า ด้านหลังเขาไม่มีกระโจมหนังอีก

“โชควาสนาสามวัน…” ในความคิดซูหมิงลอยขึ้นมาเป็นคำพูดชายชราก่อนหน้านี้ เขาหลับตาอย่างเงียบๆ มีน้ำตารินไหล…

เขาเห็นท้องฟ้าครามสว่างไสว เห็นภูเขาทมิฬห้านิ้วมือในความทรงจำใต้ท้องฟ้าคราม!

เขาได้กลิ่นของบ้าน เขาได้ยินเสียง…..

“พี่ลาซู ข้าหาท่านเจอแล้ว ที่แท้ก็ซ่อนอยู่ตรงนี้เอง ท่านแพ้แล้ว ตอนนี้เป็นตาข้ากับผีผีไปซ่อนบ้าง ท่านเป็นคนหา” เสียงเยาว์วัยซึ่งเต็มไปด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจดังแว่วเข้ามาข้างหูซูหมิง

………….

ระหว่างฟ้าดิน ตรงเมฆลมและสายหมอกบนผืนนภา

บนน่านฟ้าแดนรกร้างบูรพา แม้จะเหมือนกับแดนอรุณใต้ ทว่ากลับต่างกันโดยสิ้นเชิง ผืนฟ้าแดนรกร้างบูรพาเป็นท้องฟ้าที่มีเมฆลมไหลเวียน เป็นฟ้าที่ผสานรวมกับระหว่างท้องฟ้าและหมอก!

ที่นี่ไม่ได้มีชั้นเมฆหนาทุกส่วน แต่มีเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ยามกลางวันจะมีลำแสงลอดผ่านชั้นเมฆลงมายังผืนดิน หากมองไกลๆ ภาพนี้จะเต็มไปด้วยความงามน่าตะลึง

เมฆสีดำ แสงสว่างจ้า ประกอบขึ้นเป็นฟ้าของแดนรกร้างบูรพา!

นอกแดนรกร้างบูรพาเต็มไปด้วยทะเลมรณะ เสียงคำรามจากท้องทะเลและคลื่นลูกใหญ่ประหนึ่งมีอำนาจทำลายฟ้าดิน แต่กลับไม่อาจสั่นสะเทือนแดนรกร้างบูรพา ทำได้เพียงร้องคำรามอยู่ตรงชายแดน ไม่อาจปรับเปลี่ยนดินแดนอันยิ่งใหญ่นี้ได้มากนัก!

ในโบราณกาล หลังจากแยกเป็นส่วนๆ แล้ว แผ่นดินเผ่าหมานที่ใหญ่ที่สุดคือแดนรกร้างบูรพา มันแข็งแกร่งอย่างยิ่งมาโดยตลอด!

ยามนี้แผ่นดินรกร้างบูรพาเข้าใกล้ชายแดนแผ่นดินอรุณใต้ บนยอดเขาสูงเสียดเมฆตรงใจกลางแดนรกร้างบูรพา ฟ้าดินส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมกัน ก่อนพลันมีลำแสงสว่างจ้าตาสองเส้นพุ่งลงมาจากผืนฟ้าไร้ขอบเขต ผู้พบเห็นมากมายเป็นต้องตื่นตระหนก ขั้นพลังทั้งหมดหยุดโคจรโดยพลัน!

ลำแสงสองเส้นตรงดิ่งลงมายังยอดเขาตรงใจกลางแดนรกร้างบูรพา ใต้ภูเขามีคนนับหมื่นกราบไหว้ ขณะยอดเขาส่งเสียงดังสนั่นก็เห็นว่าบนยอดเขามีวิหารอยู่หลังหนึ่ง ลำแสงนี้เข้าโอบล้อมวิหารนั้น มันกว้างหลายร้อยจั้ง เชื่อมผืนดินกับท้องฟ้าเข้าด้วยกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version