Skip to content

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 263


บทที่ 263 กุดหัวมันให้หมด! (ต้น)

“นางจะระดมกำลังให้มาช่วยเหลือสินะ!”

พลันเยี่ยฉวนขัดขึ้นทันที “แม่นางลู่นี่เป็นปัญหาของข้า พวกเจ้าไม่เกี่ยว ข้าจะ……”

หญิงสาวหันขวับมาจ้องหน้าคนพูดเขม็ง “ใครบอกว่าเป็นเรื่องของเจ้าคนเดียว?” สุ้มเสียงเฉียบขาดดังต่อมาอีกว่า “เรื่องของเจ้า ก็เป็นเรื่องของพวกเราเหมือนกัน!”

เยี่ยฉวนนิ่งอึ้ง “……”

เหยี่ยลี่กัดน่องไก่เคี้ยว จากนั้นได้พูดเสริมขึ้นว่า “อย่างที่พี่ใหญ่บอกนั่นแหละพี่เยี่ย พวกเราเป็นสหายร่วมชะตากรรมเดียวกันไม่ว่าจะเป็นหรือตาย เมื่อพวกเราตกลงกัน ก็ย่อมร่วมเป็นร่วมตายตามคำเช่นนั้น คำสัญญาของพวกเราไม่ใช่แค่อยากพูดก็พูด!”

หลิงฮั่นพยักหน้าเป็นการยืนยันมาอีกคน “พี่เยี่ย ไม่ว่าเรื่องราวแต่หนหลังของเจ้าจะเป็นมาอย่างไร แต่เวลานี้สถานศึกษาฉางมู่ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่เจ้าเพียงคนเดียวแต่หมายหัวเราทุกคน ทั้งที่เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางมาก่อน แต่กลับส่งคนมาจู่โจมครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นเราจะไม่ทนอีกต่อไป!”

หลังลู่ป้านจวงได้ยินคนพูด นางตวัดสายตาคมปลาบแววตาขุ่นมัวพลางส่งเสียงเอ็ดให้ว่า “ยังจะใช้คำว่า ‘เจ้า’ กับคำว่า ‘พวกเรา’ อยู่อีกหรือ? ทุกคนกำลังตกที่นั่งเดียวกันไม่ใช่หรือ?!” หลิงฮั่นรีบยกมือขึ้นโบกเป็นพัลวัน “ข้าพูดผิด! ข้าพูดผิด!”

จากนั้นจึงเบนสายตาไปทางเยี่ยฉวน “พี่เยี่ยก็อย่าถือสาเลย เวลานี้พวกเราร่วมลงเรือลำเดียวกันแล้วฉะนั้นข้าจะไม่อ้อมค้อมละ เอาไว้โอกาสหน้าถ้าพวกเรามีปัญหาจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าบ้างก็แล้วกัน!”

เหยี่ยลี่ส่งเสียงมาจากอีกด้าน “เรามาร่วมแรงร่วมใจกำจัดพวกมันให้หมด!” ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นพ้องต้องกัน

คนที่ยืนฟังเงียบเชียบอยู่อีกมุมหนึ่ง จ้าวหอชั้นแปดกวาดตามองลู่ป้านจวงและพวกคนอื่นๆ แววตาเป็นประกายลึกล้ำยากจะเข้าใจ ‘คนพวกนี้ล้วนเป็นอัจฉริยะระดับต้นแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขามีความภาคภูมิใจและหยิ่งผยองโดยนิสัย ยากที่คนธรรมดาสามัญจะอยู่ในความสนใจของคนเหล่านี้! ทว่าบัดนี้เยี่ยฉวนได้รับการยอมรับนับถือ ข้าสันนิษฐานว่ามิใช่เพราะรับรู้ในความเป็นยอดฝีมือของชายหนุ่มเยี่ยฉวนเท่านั้น! พวกเขายังรู้สึกภักดีในฐานะสหายร่วมเป็นร่วมตายอีกด้วย!’

ความสัมพันธ์ของคนรุ่นใหม่บางครั้งบางคราก็เกิดง่ายดายยิ่ง เช่นเดียวกันมิตรภาพที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ทว่าเปี่ยมล้นไปด้วยความจริงใจที่มีค่ายิ่งกว่าแก้วแหวนเงินทอง!

จังหวะเดียวกันนั้น ลู่ป้านจวงหยิบศิลาถ่ายทอดสัญญาณและจัดการถ่ายเทพลังปราณลงสู่ศิลานั่น ครู่หนึ่งต่อมาศิลาเริ่มสั่นเบาๆ ทันใดนั้นมีเสียงของสตรีดังแว่วมาจากศิลาในมือ “ว่าไงสาวน้อย เกิดคิดถึงข้าขึ้นมาหรือ?”

คนอื่น “……”

ลู่ป้านจวงกล่าวด้วยน้ำเสียงธรรมดา “ตอนนี้ข้าอยู่ที่แคว้นถัง แผ่นดินชิง มาช่วยสู้กับศัตรูหน่อยสิ!” สิ้นเสียงพูดนั้น พลันความเงียบครอบคลุมอยู่ชั่วขณะ ทันใดมีเสียงดังมาจากศิลาถ่ายทอดสัญญาณอีกครั้ง “จะไปเดี๋ยวนี้!” จากนั้นเสียงเงียบหายและศิลาถ่ายทอดสัญญาณก็เงียบเสียงลงทันทีเช่นกัน

หญิงสาวทรุดนั่งลงกับม้านั่ง จากนั้นก็เงยหน้ามองมาทางหลิงฮั่นและเบนไปทางคนอื่นด้วย “อ้าวมัวนั่งงงอะไร? ระดมคนมาช่วยสิ!” พลันทุกคนราวกับเพิ่งรู้สึกตัว ต่างรีบควักศิลาถ่ายทอดสัญญาณของตนออกมาเป็นระวิง……

คนที่พวกเขาติดต่อหาใช่บิดามารดาหรือผู้อาวุโสในครอบครัว แต่เป็นบรรดาสหายสนิทซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะและยอดคนทั้งสิ้น อันที่จริง……มันคงจะน่าละอายไม่หากขอความช่วยเหลือจากคนอาวุโสในครอบครัว!

เปรียบไปก็เหมือนเด็กสองคนทะเลาะกัน และเด็กคนที่สู้แพ้ก็วิ่งไปตามพ่อแม่ให้ออกมาจัดการกับเด็กที่สู้ชนะ ในสายตาของพวกเขากลับมองว่าการณ์เช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับคนขี้ขลาด! หากเป็นความขัดแย้งที่เกิดกับคนรุ่นหนุ่มสาวด้วยกันเอง พวกเขาจึงควรต้องหาทางขจัดมันด้วยตัวเอง!

เมื่อเห็นว่าทุกคนตั้งหน้าตั้งตาระดมคนมาช่วย จ้าวหอชั้นแปดจึงได้แต่ทำเสียงหัวเราะหึหึในลำคอ “ในเมื่อทุกคนที่อยู่นี่ล้วนเป็นคนกล้าแกร่ง ไฉนเลยญาติสนิทมิตรสหายของเขาจะอ่อนด้อยไปได้เล่า? เชื่อเถอะงานนี้น่าดูชมแน่!”

ต่อมามีชายชราผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องท่าทางรีบร้อนผิดปกติ พลันเขากล่าวกับจ้าวหอชั้นแปดด้วยสุ้มเสียงเคร่งเครียด “ท่านจ้าวหอ เวลานี้อาคารสำนักอัปสรเมรัยถูกกองทัพทหารของแคว้นถังล้อมไว้หมดทุกด้านแล้วขอรับ” พลันทุกคนหันมามองคนที่เข้ามาใหม่เป็นตาเดียว

คนรับฟังพยักหน้าพลางหันไปถามอย่างสนใจ “มีมาแต่พวกทหารงั้นหรือ?” คนชราส่ายหน้าพลางตอบปฏิเสธ “มิได้ขอรับนายท่าน พวกที่มามีบางคนไม่ใช่ทหาร อ้อ มีอีกเรื่องหนึ่ง……องค์ฮ่องเต้แห่งแคว้นถังส่งเทียบเชิญให้ท่านไปเข้าเฝ้าที่วังหลวงด้วยขอรับ!”

จ้าวหอเหยียดมุมปากออก ขณะส่ายหน้าน้อยๆ “ตอบไปว่าข้าไม่เจรจาด้วย” คนที่รับคำสั่งเงยหน้ามองจ้าวหอชั้นแปด ก่อนพยักหน้ารับคำสั่งและล่าถอยออกไป ทันทีที่ชายชราลับกายไป จ้าวหอหันกลับมาทางเยี่ยฉวน รวมทั้งคนอื่น “ข้าว่าพวกเจ้าคงจะเหน็ดเหนื่อยมาพอสมควร กรุณาพักอยู่ที่นี่สักคืน ข้าคงจะรับปากอะไรมากไม่ได้ แต่สำหรับคืนนี้ขอรับรองว่าพวกเจ้าจะพักได้อย่างปลอดภัย” จากนั้นเขาค้อมตัวลงและถอยกลับออกไป

ภายในห้องพักมีเพียงความเงียบงัน ลู่ป้านจวงกำลังนั่งเคี้ยวขนมเงียบๆ ส่วนคนอื่นหันกลับไปสวาปามอาหารบนโต๊ะ! พักใหญ่ต่อมาเยี่ยฉวนเอ่ยถามคนในโต๊ะแบบเหมารวม “พวกเจ้าตอนอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่ มีเรื่องสนุกบ้างไหม?”

“เรื่องสนุกงั้นหรือ?” คนอื่นยกเว้นเยี่ยฉวนหันไปสบตากันไปมา สีหน้าของแต่ละคนแลกระอักกระอ่วนพิกล เหมือนชายหนุ่มจะรู้ตัว “ข้าพูดผิดหรือ?” ลู่ป้านจวงซึ่งนั่งเคี้ยวขนมถึงกับหยุดกึก ตวัดสายตาเหลือบมองทว่าไม่มีคำพูดออกจากปาก

แต่เป็นหลิงฮั่นที่สั่นศีรษะพลางตอบให้ว่า “ไม่มีเรื่องสนุกสักนิด ที่นั่นคนหนุ่มคนสาวเอาแต่ประลองกำลังกันไม่เว้นแต่ละวัน!” พร้อมกันจิ้มนิ้วไปที่หน้าอกตนเองปั้กๆ “อย่างข้าหากไม่ได้พี่ใหญ่ช่วยไว้ ป่านนี้คงถูกเขาตีจนตายไปแล้ว!”

เยี่ยฉวนนิ่งฟังอย่างสนใจ พลันเอ่ยถามว่า “คนที่นั่นฆ่ากันตายง่ายอย่างนั้นเชียวหรือ?” คราวนี้ทุกสายตาหันมามองเป็นตาเดียว ในที่สุดหลิงฮั่นส่ายหน้าน้อยๆ “ข้าก็ไม่แน่ใจ คงขึ้นกับว่าใครเป็นศัตรูกับใครมากกว่า!”

เยี่ยฉวนนิ่งฟัง “……”

เสียงของเหยี่ยลี่ดังมาจากอีกด้านหนึ่งของโต๊ะกินข้าว “ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่มีแต่การแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตาย เจ้าต้องหัดแย่งชิงทุกอย่างที่สามารถใช้เพื่อฝึกฝน ถ้าไม่รู้จักแข่งขันแย่งชิงเจ้าจะไม่ได้อะไรเลย การแข่งขันชิงดีชิงเด่นมีอยู่ทั่วไปไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวเดียวกัน หาไม่จะมีอะไรเหลือไว้ให้เจ้าอีกเช่นกัน ฉะนั้นเมื่อไม่อยากมีชีวิตอยู่แบบคนขี้ขลาด จึงไม่มีทางเลือกนอกจากฉกฉวยและแข่งขัน”

ชายหนุ่มพยักหน้า “การแข่งขันอันดุเดือดมีอยู่ทุกที่ทุกเวลา เพียงแต่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะแรงกล้ายิ่งกว่าที่ใด!” ในเวลาไม่นานทุกคนก็จัดการอาหารทุกจานที่วางอยู่บนโต๊ะจนเกลี้ยง และถึงเวลาแยกย้ายไปพักผ่อน!

แม้จะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์แต่พวกเขาก็เป็นคนที่ต้องการพักเฉกคนปกติสามัญทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เข้ามาในอาณาเขตแคว้นถังซึ่งหาเวลางีบจริงจังไม่ได้เลยสักครั้งเดียว ในตอนนี้แต่ละคนจึงมีสภาพอ่อนระโหยโรยแรงกันถ้วนทั่ว!

เยี่ยฉวนเดินไปหยุดที่ริมหน้าต่างและสำรวจบริเวณภายนอก เวลานี้กองทหารแห่งแคว้นถังได้โอบล้อมอาคารสำนักอัปสรเมรัยไว้อย่างแน่นหนารอบด้าน ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนเวลายิ่งผ่านไปกองทหารยังมีเข้ามาเสริมเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ

ในขณะนั้นอาคารสำนักอัปสรเมรัยเริ่มตั้งค่ายกลเพื่อป้องกันอาคารแล้ว ซึ่งค่ายกลชนิดนี้ถ้าเป็นยอดยุทธ์ขั้นผนึกยุทธ์จะไม่มีผลแต่อย่างใด แต่กับทหารธรรมดาสามัญจะได้รับผลกระทบอย่างมาก ทว่าเยี่ยฉวนก็รู้ดีว่าค่ายกลเป็นเพียงปราการสกัดกั้นกองทหารได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น!

หลังจากดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ขอบฟ้า การต่อสู้จะเริ่มขึ้น! ครู่ต่อมาปรากฏเงาของใครคนหนึ่งเดินมายืนที่ด้านข้าง เยี่ยฉวนพึมพำถามลู่ป้านจวง “ไม่อยากไปพักกับเขาบ้างหรือ?” หญิงสาวชำเลืองมองออกไปนอกหน้าต่างขณะตอบกลับว่า “ไม่เลย!”

เยี่ยฉวน “……”

ลู่ป้านจวงมองกองทัพทหารแคว้นถังนิ่งอยู่ พลันนางถามขึ้นว่า “เจ้ามีแผนหรือยัง?” ภายหลังจากเงียบอึดใจ เยี่ยฉวนจึงเอ่ยตอบ “ยิ่งนานไปยิ่งมีคนเข้ามาสมทบมากขึ้นทุกทีๆ ข้าไม่ชอบเลย คนที่มาล้วนเป็นยอดฝีมือคนรุ่นใหม่ที่เก่งที่สุดในแผ่นดินชิง แผนของข้าคือสู้กับพวกมัน ถ้าจะต้องตายก็ขอตายในสนามรบ!”

มีเสียงถอนใจแผ่วเบาจากหญิงสาวที่ยืนข้าง “ถ้างั้น มาสู้ด้วยกัน!” พูดจบคนพูดก็ควักขนมขึ้นมาโยนใส่ปากเคี้ยวกร้วม ทำเอาเยี่ยฉวนที่ชำเลืองมองเล็กน้อยพูดไม่ออก “……”

— จบตอน —

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version