Skip to content

สู่วิถีอสุรา 343

ตอนที่ 343 ตรารัตติกาล

หลังจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขนาดหมื่นจั้งสองตัวตายลง ผู้แข็งแกร่งเชมันสามคนที่เดินออกมาจากมวลอากาศหยุดชะงัก นักรบหมานทั้งหมดบนแผ่นดินเชมันนอกเมืองหมอกนภา บุกทะลวงเข่นฆ่าตามเสียงกลองสงคราม

ขณะเดียวกัน เสาผลึกยักษ์เก้าต้นในเมืองหมอกนภากำลังรวมแสง ทั้งเมืองหมอกนภาสั่นสะเทือนอีกครั้ง จากนั้นมีศิลาหินยักษ์สูงหมื่นจั้งกว้างพันจั้งโผล่ขึ้นมาตรงใจกลางเมืองหมอกนภาในฉับพลัน ความสูงของมันมากกว่าเสาผลึกเก้าต้น ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองหมอกนภา ความรู้สึกโบราณแผ่กระจายมาพร้อมกับศิลาหิน

บนศิลาหินมีชื่อสลักไว้จำนวนมาก ด้านหลังชื่อเหล่านั้นแสดงถึงว่ามาจากชนเผ่าหรือสำนักใด ศิลาหินนี้ก็คือศิลาคุณความดีที่บันทึกคุณูปการของเผ่าหมานแดนอรุณใต้!

เมื่อมันปรากฏขึ้น นักรบหมานในสนามรบล้วนส่งเสียงเข่นฆ่ากันดังขึ้น อันดับรายชื่อบนศิลาคุณความดีนี้จะไม่เปลี่ยนตลอดเวลา แต่ต้องรอจนสงครามจบครั้งหนึ่งแล้วถึงจะมีผู้รับหน้าที่บันทึกคุณูปการโดยเฉพาะมาปรับแก้

ทว่าคนที่ถูกบันทึกบนศิลาหินนี้จะเป็นที่จับตามองของเผ่าหมาน นั่นเป็นเกียรติยศของเผ่าหมาน และเป็นตัวแทนเกียรติยศของสำนักหรือชนเผ่าของพวกเขา

ศิลาหินนี้จะบักทึกผู้สังหารศัตรูสามร้อยคนแรก สามร้อยคนหลังจากนั้นจะไม่ติดอันดับ!

ยามนี้อันดับหนึ่งมีนามว่าเหอลั่ว

บุคคลนี้มิใช่คนสำนักเหมันต์สวรรค์หรือทะเลตะวันออก แต่มาจากชนเผ่าที่ชื่อว่า วารีร่วงหล่น ผลคะแนนเขาตอนนี้เกือบสามพันแล้ว

การสะสมคะแนนมิใช่ว่าสังหารหนึ่งจะเพิ่มมาหนึ่ง แต่วัดตามขั้นพลังและฐานะที่ต่างกันของศัตรูที่สังหาร หลังจากผู้รับหน้าที่เฉพาะคำนวณแล้วก็จะออกมาเป็นคะแนน

อันดับสิบมีคะแนนเกือบสองพันแล้ว หลังจากนั้นก็ไล่เลี่ยกัน จนกระทั่งถึงอันดับแปดสิบถึงค่อยต่ำกว่าหนึ่งพัน แม้จะเป็นอันดับสุดท้ายก็ยังมีคะแนนหลายร้อยกว่า

เห็นได้ชัดว่าคะแนนเหล่านี้เกิดขึ้นจากการต่อสู้หลายครั้งก่อนหน้านี้ ยิ่งเข้าร่วมสงครามเร็วเท่าไร ผลคะแนนก็จะยิ่งมากเท่านั้น ซูหมิงมาถึงเมืองหมอกนภาช้า บวกกับมิได้ต่อสู้อย่างดุเดือด ฉะนั้นเขาจึงไม่ติดอันดับ

ขณะเดียวกับที่ศิลาหินปรากฏ ผู้แข็งแกร่งเชมันสามคนที่ปรากฏตัวจากมวลอากาศ ยามนี้ยืนอยู่กลางฟ้าด้วยสีหน้าทะมึนทึบ

พวกเขามิใช่เชมันระดับสูงสุด ยังเป็นเพียงเชมันระดับปลาย ทว่าก็เป็นผู้โดดเด่นในเชมันระดับปลายด้วยกัน ขั้นพลังเทียบเคียงกับขั้นวิญญาณหมานตอนกลาง ไม่ใช่สิ่งที่พวกเชมันหน้าตาเหมือนกันสามคนที่ปรากฏตัวจากรอยแยกในเมืองหมอกนภาจะเทียบได้ ชาวเผ่าเชมันหน้าตาเหมือนกันสามคนนั้นก็มิใช่เชมันระดับสูงสุดเช่นกัน แต่เพิ่งทะลวงสู่เชมันระดับปลายเท่านั้น

ขณะเดียวกับที่พวกเขามีสีหน้าทะมึนทึบ ผู้แข็งแกร่งเผ่าหมานใต้รอยแยกหลายคนก่อนหน้านั้นตรงเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว หากเพียงเท่านี้คงไม่เท่าไร เพราะทางซ้ายและขวาตรงหน้าทั้งสามคนเป็นกระบี่ใหญ่นภาหิมวันต์ของสำนักเหมันต์สวรรค์ ปล่อยไอหนาวเยือกบีบเค้น ปลายกระบี่เคลื่อนตัวตรงดิ่งใส่พวกเขาสามคน

ขณะเดียวกัน กระจกยักษ์ของสำนักทะเลตะวันออกก็ขยับแสงวิบวับ เหมือนจะแสดงอภินิหารเช่นกัน

และยังมีรูปปั้นยักษ์สิบแปดรูปใต้เมืองหมอกนภา ตอนนี้มีครึ่งหนึ่งเหมือนฟื้นคืนชีพกลับมา และเดินหน้าไปทางสนามรบ

“ตามคำสั่งยอดจ้าวเชมัน พวกเราโจมตีสามครั้งถือเป็นการหยั่งเชิงเท่านั้น เป้าหมายต่างกับสองครั้งก่อนหน้านี้ ครั้งนี้เป็นการทดลองขยายรอยแยกของคู่ดาราระดับสูงสุด และใช้เรื่องนี้มาตัดพลังลำแสงเทพผลึกของเมืองหมอกนภา…”

“ตอนนี้ดูท่าเผ่าหมานอ่านแผนการยอดจ้าวเชมันออกแล้ว ทว่าก็ยังไม่ส่งขั้นวิญญาณหมานตอนกลางมา มีแค่วิญญาณหมานตอนต้นเล็กน้อยเท่านั้น…”

“พวกมันตรงมาจัดการพวกเรา ดูแล้วเมืองหมอกนภาคงอยากจะรู้ความแข็งแกร่งของเผ่าเชมันในช่วงหลายปีมานี้จากพวกเราสามคน…กระจกโบราณของสำนักทะเลตะวันออกนั่นน่ารังเกียจจริงๆ มีมันอยู่ วิชาของพวกเราจะถูกมันบันทึกเอาไว้ แล้วเผ่าหมานก็จะใช้มัน! ส่วนกระบี่นภาหิมวันต์แห่งสำนักเหมันต์สวรรค์ กระบี่นี้…น่าจะไม่ใช้พลังเต็มที่กับพวกเรา”

“หึ เผ่าหมานเชี่ยวชาญเรื่องการใช้เหยื่อล่อ ก่อนหน้านี้ก็เป็นอย่างนั้นมิใช่รึ ตอนนี้ดูแล้วคงจะใช้พวกเราเป็นเหยื่อล่อเชมันระดับสูงสุด…”

ผู้แข็งแกร่งเชมันสามคนมองกันไปมา สองคนในนั้นเดินหน้าหนึ่งก้าว มวลอากาศใต้เท้าเกิดระลอกคลื่นวงกว้าง ทั้งยังแผ่ขยายเกิดเสียงอึกทึก รอบตัวพวกเขาสองคนพลันปรากฏหมอกเขียวกลุ่มใหญ่ หมอกนี้พลันแผ่กระจายโดยรอบ พริบตาเดียวก็อบอวลรอบแปดทิศ

จากนั้นหนึ่งคนสุดท้ายในสามคนก็นั่งขัดสมาธิลง ยกสองมือขึ้นกดไปทางแผ่นดินใหญ่ ทันใดนั้นแผ่นดินสั่นสะเทือน มีเสียงคำรามแหลมดังแว่วมาจากโลหิตของผู้ตายบนแผ่นดิน

แทบจะเป็นช่วงที่ทั้งสามคนแสดงวิชา ผู้แข็งแกร่งขั้นวิญญาณหมานสี่คนใต้รอยแยกที่ถูกทำลายไปก่อนหน้านี้ห้อเหยียดเข้ามาในหมอก เสียงระเบิดดังมาจากในหมอกอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน กระจกยักษ์แห่งสำนักทะเลตะวันออกเอียงตัวพร้อมกับขยับแสง ส่องสะท้อนเข้าใส่หมอกนั้น

ส่วนกระบี่นภาหิมวันต์แห่งสำนักเหมันต์สวรรค์ หลังจากชี้ปลายกระบี่แล้วก็เปล่งแสงสีขาวจากด้ามกระบี่ไหลอาบไปทั้งตัวกระบี่ มารวมอยู่ตรงปลายกระบี่ ก่อนยิงแสงกระบี่ออกไปหนึ่งเส้น!

เมื่อยิงแสงกระบี่นี้ออกไป ฟ้าดินกลายเป็นน้ำแข็ง ลำแสงที่ประหนึ่งมีจิตวิญญาณตรงเข้าไปในหมอก หลังจากทะลวงผ่านแล้วก็เข้าต่อสู้กับเชมันทั้งสามคนพร้อมกับผู้แข็งแกร่งเผ่าหมานทั้งสี่

บนแผ่นดิน ภายใต้หมอกเขียวบนท้องฟ้าเกิดสงครามกันขึ้นอีกครั้ง

ซูหมิงอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาซั่นหวาเป็นประกาย หันไปมองซูหมิงกับสตรีใบหน้าเสียโฉมแวบหนึ่ง เมื่อพยักหน้าให้แล้วก็ตรงเข้าไปในหมอกบนท้องฟ้า

“พวกเจ้าสองคนผ่านการทดสอบของข้าแล้ว ขอแต่งตั้งพวกเจ้าเป็นนักรบรัตติกาลหมอกนภา!” ขณะซั่นหวาจากไป ก็ส่งเสียงดังแว่วเข้ามาถึงหูซูหมิงกับสตรีผู้นั้น ทั้งยังมีตราสีดำสองชิ้นลอยมาจากซั่นหวา

ซูหมิงใช้มือขวารับตราเอาไว้ ตรานี้ดูธรรมดายิ่งนัก เป็นสีดำทึบ สีดำนี้เหมือนกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไร้ดาว

‘ติดตามมาเจ็ดคน ตายไปห้า…’ ซูหมิงถอนหายใจเบา มองตราในมือแวบหนึ่ง เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับตรานี้มากนัก และก็ไม่รู้ด้วยว่ามันมีความหมายอะไร

การต่อสู้ระหว่างเผ่าเชมันกับเผ่าหมาน เดิมทีซูหมิงอยากจะเป็นผู้ชมอยู่ข้างๆ เพื่อเป็นประจักษ์พยาน ต่อให้เข้าร่วมก็ต่อสู้เพื่อตัวเอง ทว่าตอนนี้ เพียงการต่อสู้ครั้งแรกของเขา เขากลับรู้สึกว่าจะให้เป็นอย่างที่ตนคิดก็ไม่ง่ายขนาดนั้น บางทีตนอาจไม่เป็นอิสระเลย

“ข้าแนะนำว่าเจ้าแขวนตราไว้ตรงเอวให้เห็นชัดๆ จะดีกว่า” ช่วงที่ซูหมิงถอนหายใจเบา สตรีจากสำนักทะเลตะวันออกกล่าวขึ้น นางมองซูหมิงอย่างเย็นชา แล้วนำตราของนางแขวนไว้นอกเสื้อผ้า

“ตราสงครามแห่งเมืองหมอกนภาแบ่งเป็นสี่ระดับชั้นคือ รัตติกาล ดารา จันทรา และตะวัน ตรารัตติกาลนี้ก็เท่ากับว่าเจ้าเป็นคนเมืองหมอกนภา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อให้เป็นสำนักของเจ้าก็ไม่อาจก้าวก่ายหรือลงโทษในสิ่งที่เจ้าทำ ทุกอย่างของเจ้า หากสงครามยังไม่จบ เจ้าจะฟังคำสั่งเมืองหมอกนภาเพียงอย่างเดียว” นางกล่าวอย่างเย็นชา

“ในสนามรบมีหลายคนอยากได้ตราสงครามแห่งเมืองหมอกนภา ทว่ากลับไม่ได้ เพราะตราสงครามนี้มีเพียงขั้นวิญญาณหมานแห่งเมืองหมอกนภาเท่านั้นถึงจะมอบให้ได้ พวกเราสูญเสียไปไม่เยอะ แต่ที่ได้ตรานี้มาก็เพราะว่าผู้อาวุโสซั่นสนใจ

ยังมีอีกหลายคนที่พยายามมากกว่าพวกเราทว่าไม่มีใครสนใจ บ้างก็ตาย บ้างก็ไม่ได้ตรา เจ้ายังไม่พอใจอีกรึ?” สตรีนางนั้นไม่มองซูหมิงอีก แต่ไหวตัวเข้าไปในสนามรบ

ซูหมิงเงียบมองตราในมือ ไม่แขวนเอาไว้ แต่เก็บเข้าในอกเสื้อ

แล้วหมุนตัวไปทางตรงกันข้ามกับสตรีหน้าเสียโฉม มุ่งหน้าไปทางสนามรบบนแผ่นดินเผ่าหมานกว้างใหญ่

ทุกจุดตรงนี้เป็นการเข่นฆ่าอย่างอย่างไม่ลดละระหว่างเผ่าหมานกับเชมัน เสียงคำรามและเสียงกรีดร้อง เสียงเนื้อฉีกขาดรวมถึงเสียงตัวระเบิดปะปนเข้าด้วยกัน กลายเป็นเสียงอื้ออึงและแตกหักที่ข้างหู ทุกคนในสนามรบ นอกจากผู้แข็งแกร่งที่ต่อสู้ในหมอกบนท้องฟ้าแล้ว คนที่เหลือล้วนเล็กจ้อย เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสนามรบเท่านั้น

ซูหมิงไม่รู้ว่าสงครามจะยืดเยื้อไปนานเท่าไร เขาเพียงทะลวงผ่านไปและสังหารเผ่าเชมันที่ขวางหน้าทุกคน

มันเป็นความรู้สึกที่ต่างจากการต่อสู้บนแผ่นดินเผ่าหมานเมืองหมอกนภาโดยสิ้นเชิง สนามรบตรงนั้นเทียบกับตรงนี้แล้วเล็กเกินไปจริงๆ ทว่าที่นี่ ซูหมิงมองไม่เป็นสุดปลาย สิ่งที่เห็นคือนอกจากเผ่าหมาน ก็เป็นแม่ทัพใหญ่เผ่าเชมันจำนวนนับไม่ถ้วน

สังหาร มีเพียงสังหาร! ซูหมิงถือกระบี่เล็กแสงดำ พุ่งทะยานอยู่ท่ามกลางฝนโลหิตและสายลมคาวเลือด

สังหาร ต้องสังหาร! ขณะกวัดแกว่งมือ มีหมอกดำโอบล้อมรอบตัวซูหมิง เพียงแต่มันจะจัดการกับคนที่เป็นภัยกับเขาเท่านั้น หมอกดำนี้จะบินออกไปเอง แล้วกลายเป็นเงาสตรีด้านหลังเผ่าเชมัน บ้างก็สังหาร บ้างก็บีบให้ถอยไป

ต้องสังหารเพื่อมีชีวิตรอด เพื่อให้ตัวเองผู้เล็กจ้อยในสงครามได้เห็นตะวันของวันพรุ่ง เพราะหากเจ้าไม่สังหาร จุดจบก็คือตาย สงครามครั้งนี้เหมือนกับจิตใจอันแน่วแน่ที่ทำให้ทุกคนไม่อาจต่อต้าน ภายใต้จิตใจนี้ ไม่สังหารก็ต้องตาย!

เว้นแต่จะปลอมเป็นศพ นำโลหิตมาทาบนใบหน้า เมื่อเป็นเช่นนั้นอาจมีชีวิตรอด ขณะซูหมิงพุ่งทะยานก็เห็นบุคคลลักษณะดังกล่าว ในนั้นมีทั้งเผ่าหมานและเผ่าเชมัน

เพียงแต่นี่มิใช่กลยุทธ์ที่ดี เนื่องด้วยความต้องการในผลคะแนนและการสะสมศีรษะคน….มีแต่ศีรษะต้องหายไป มิเช่นนั้นแล้วคงยากจะรอดพ้นจากการถูกเด็ดศีรษะเสียเอง

“ฆ่า!” ซูหมิงตาแดง โลหิตชโลมทั้งตัว เขาอ้าปากตะโกนเสียงดัง พลังโลหิตโคจรทั้งตัว หนึ่งหมัดอัดเข้าใส่หน้าอกชาวเผ่าเชมันคนหนึ่ง เสียงระฆังในตัวดังกึกก้อง ก่อเป็นแรงสะท้อนกลับใส่อีกฝ่าย ขณะกระอักโลหิตก็ใช้ความเร็วพุ่งไปหาอีกคน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version