Skip to content

สู่วิถีอสุรา 344

ตอนที่ 344 จื่อเชอ

ซูหมิงเหนื่อยล้า เขาไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เพราะท้องฟ้ายังคงถูกหมอกเขียวปกคลุม หมอกนั้นม้วนตัว มีเสียงกึกก้องดังมาจากภายในอย่างต่อเนื่อง

เสียงเข่นฆ่าโดยรอบ เสียงกรีดร้องทุกอย่างหลอมรวมกัน เหมือนกลายเป็นทำนองที่ไม่แปรเปลี่ยนไปทุกยุคทุกสมัย ภายใต้ทำนองเสียงแบบนี้ ทุกอย่างวนซ้ำไปซ้ำมา และซ้ำไปซ้ำมาอีก

ราวกับว่าตนเองผู้เล็กจ้อยในสงครามสังหารคนและสังหารคนอีกเรื่อยๆ ความเหนื่อยล้าเพิ่มพูนขึ้นทีละน้อย ทำให้ทนไม่ไหวและใจลอย

ทว่าจุดจบของอาการใจลอยนี้มักจะเป็นความเป็นและความตาย หากตายก็หลับใหลไปชั่วนิรันดร์ หากรอดก็จะเป็นการกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง แลกความฮึกเหิมในเวลาอันสั้นมาได้ ทว่าความฮึกเหิมนี้ได้มาจากการทุ่มชีวิตสุดตัว…เมื่อความฮึกเหิมหมดไป ก็จะกลับมาเหนื่อยล้าและใจลอยยิ่งกว่าเดิม

มีกี่คนกันที่สามารถหลีกหนีความเป็นตายจากอาการเหม่อลอยครั้งแรกภายใต้ความเหนื่อยล้าได้ บางทีครั้งแรกอาจทำได้ ครั้งที่สองอาจทำได้ ทว่าครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ และหลายต่อหลายครั้ง…นี่เป็นสงครามที่ไม่ใช่เพียงเผ่าเชมันรอบด้านที่เป็นศัตรู ตัวเองก็เป็นศัตรูเช่นกัน

การสังหารดำเนินไปโดยไม่หยุดพัก โลหิตซึมเข้าสู่แผ่นดินอย่างต่อเนื่อง ทำให้เผ่าเชมันนอกเมืองหมอกนภา จะบอกว่าโลหิตไหลเป็นแม่น้ำคงไม่พูดโอ้อวดเกินไป โลหิตบนพื้นกับคลื่นเล็กๆ แตกกระเซ็น เหมือนมีดวงตาเย็นชานับไม่ถ้วนกำลังมองทุกอย่างด้วยความเหี้ยมโหด

เหอเฟิงกลับมาอยู่ข้างซูหมิงแล้ว มิใช่ว่าเขาสมัครใจเอง แต่เพราะเสียงคำรามซูหมิงเหนี่ยวนำค้างคาวจันทราที่รับรู้ได้ เหอเฟิงจึงต้องกลับมา

เมื่อกลับมาข้างกายซูหมิงแล้ว ร่างสัตว์ยักษ์ที่เขาควบคุมก่อนหน้านี้เหลือเพียงครึ่งเดียว กลับยังมีชีวิตอยู่อย่างน่าอัศจรรย์

การต่อสู้ดำเนินมาถึงตรงนี้ ซูหมิงไม่รู้ว่าสังหารเผ่าเชมันไปเท่าไร ไม่รู้ด้วยว่าบนตัวมีบาดแผลกี่จุด และยิ่งไม่รู้อีกว่าเกราะแม่ทัพเทพแตกไปกี่ครั้งแล้ว

แม้แต่ระฆังเขาหานถูกอภินิหารวิชามากมายบีบจนส่งเสียงสะท้อนกลับ สร้างบาดแผลให้เขาตั้งกี่ครั้งก็ยังไม่รู้

โดยเฉพาะตรงหน้าอกที่ถูกทะลวงแทบเอาชีวิตไม่รอด บาดแผลนี้เกิดขึ้นช่วงที่สตรีหมอกดำของศิษย์พี่ใหญ่บินออกมาขวางการโจมตีอีกอย่างให้ซูหมิง ทว่าอีกด้านหนึ่งมีหอกยาวตรงเข้ามาทะลวงผ่านไป

นี่คือสนามรบ ปัจจัยที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีเยอะเกินไป ศัตรูเยอะเกินไป มิใช่ว่าจะสู้คนเดียวได้… สงครามดำเนินต่อไป ซูหมิงไม่รู้ว่าตนมาอยู่ตรงไหนของสนามรบ เขาเห็นเพียงศีรษะที่คุ้นตาหนึ่งหัว หลังจากถูกเผ่าเชมันตัดลงแล้วก็ลอยไป บุคคลนี้ซูหมิงไม่รู้ชื่อ แต่เขาเคยเห็นว่าเป็นศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์

ศีรษะลอยมาตกตรงหน้าซูหมิง สีหน้าของคนผู้นั้นสับสน ทั้งยังมีความหลุดพ้น เหมือนว่าในที่สุดก็ได้หลับตาพักผ่อนจากความเหนื่อยล้าเสียที

ซูหมิงมองศีรษะคน พลันยกมือขวาขึ้นปล่อยฝ่ามือลงไปด้านหลัง ด้านหลังเขามีเสียงอึกทึกและเสียงลากยาวดังขึ้น เสียงอึกทึกที่ว่านี้มาจากชาวเผ่าเชมันคนหนึ่งจู่โจมด้านหลัง ทว่าก็ถูกฝ่ามือซัดจนกระเด็นไป ส่วนเสียงลากยาวมาจากกระบี่เล็กแสงดำที่ล่าสังหารและทะลวงผ่านไป

ซูหมิงกางแขนซ้าย มีฝุ่นปลิวว่อนแล้วหายไปกับสายลม มันคือเหรียญหินหนึ่งเหรียญ

เขากินเม็ดโอสถไปจำนวนมาก แบบนี้ถึงจะทำให้เขามีพลังสู้ต่อ เหรียญหินก็ใช้ไปจำนวนมากเช่นกัน เช่นนี้จะทำให้เขาแผ่ขยายจิตสัมผัสได้อย่างต่อเนื่อง มีโอกาสชีวิตรอดมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้กระบี่เล็กแสงดำคงความคมเอาไว้

บนสนามรบ อภินิหารทุกอย่างเทียบไม่ได้กับความรวดเร็วและสะดวกจากการสังหารแบบแคล่วคล่องหมดจด ซูหมิงเร็วบ้างช้าบ้าง ลงมือทุกครั้งจะมีจิตสังหาร หากสังหารอีกฝ่ายแล้ว เขาจะค่อยๆ เรียนรู้ไม่ต่อสู้มากจนเกินไป และรีบถอยไปอีกทาง

“ซูหมิง!” ท่ามกลางสงครามดุเดือด ซูหมิงกำลังสังหารเผ่าเชมันคนหนึ่ง ตัวเขามีใบหน้าซีดขาว ตรงต้นขามีบาดแผลเห็นกระดูก ทันใดนั้นมีเสียงประหลาดใจดังแว่วมาข้างหูซูหมิง

ซูหมิงหันกลับไป สติยังคงเหม่อลอยเล็กน้อย ทว่าแม้จะใจลอย จิตสัมผัสที่เขาแผ่ขยายก็มีการป้องกันตามสัญชาตญาณ เขาเห็นชายร่างกำยำตัดศีรษะชาวเชมันคนหนึ่งแล้วมองมาทางเขา บุคคลนี้ซูหมิงเคยเห็นหน้า เป็นศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์

ชายร่างกำยำดวงตาแดงก่ำเช่นกัน เหนื่อยล้าสุดขีด หลังจากพยักหน้าให้ซูหมิงแล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว

“ความรู้สึกแบบนี้เหมือนอยู่ในความฝัน…” ซูหมิงหันหน้ากลับ เดินหน้าสังหารต่อไป และเหนื่อยล้ายิ่งนัก เสียงเข่นฆ่าข้างหูเหมือนจะดังไปชั่วนิรันดร์ กึกก้องไม่หยุด

เขาเห็นชาวเผ่าเชมันขี่สัตว์ร้ายต่างชนิด และยังเห็นว่าในเผ่าเชมันมีคนสวมหน้ากากอยู่บ้าง คนเหล่านี้เหมือนกับซูหมิง ทะลวงผ่านสนามรบ จุดที่ผ่านล้วนมีฝนโลหิตตกลงมาไม่หยุด

เพียงแต่ชาวเผ่าเชมันสวมหน้ากากแบบนี้มีพลังชั่วร้ายที่แกร่งกล้าแผ่ซ่าน ชาวหมานธรรมดามิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ซูหมิงเห็นว่าชาวเผ่าหมานที่ต่อกรกับคนพวกนั้นได้ บางส่วนก็สวมหน้ากากเช่นเดียวกัน

เพียงแต่ว่าผู้สวมหน้ากากของเผ่าหมานจะมีหน้ากากสีดำ ต่างกับสีขาวของเผ่าเชมันโดยสิ้นเชิง

ซูหมิงเดินหน้าสังหารด้วยความเหม่อลอยไปเรื่อยๆ บาดแผลตรงหน้าอกที่เกือบพรากชีวิตเขาก็มาจากหอกยาวของคนสวมหน้ากากเผ่าเชมัน หน้ากากของบุคคลนี้มีรอยแตกเป็นกากบาท หลังจากขว้างหอกก็มองซูหมิงด้วยความเย็นชาจากที่ไกลแวบหนึ่ง แล้วหมุนตัวจากไป

ซูหมิงเห็นสิ่งเหล่านี้ ทว่ายามนี้อยู่ในสภาพเหม่อลอยจากความเหนื่อยล้า เสียงเข่นฆ่าดังรางเลือนอยู่ข้างหู ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าวมาอยู่หน้าชายหนุ่มเชมันคนหนึ่ง เขาเป็นชาวเผ่าเชมันที่ยังดูอ่อนต่อโลก ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด เขาอ้าปากตะโกนพุ่งเข้าไป จนกระทั่งซูหมิงเดินผ่านตัวเขาพร้อมกับเด็ดศีรษะของอีกฝ่าย ตัวชายหนุ่มไร้หัวมีโลหิตสดพวยพุ่ง เดินไปอีกหลายก้าวก่อนล้มลง

ซูหมิงเดินผ่านอย่างมึนชา มาอยู่ข้างชายเผ่าเชมันอีกคน ช่วงที่เดินผ่าน ชายคนนี้ศีรษะหลุดจากบ่ามาอยู่ในมือซูหมิง ทว่าตอนตัวแยกกับศีรษะ เขาเลือกระเบิดตัวเอง เสียงระเบิดกับแรงระเบิดทำให้มีโลหิตไหลมาจากมุมปากซูหมิง ทว่าซูหมิงกลับไม่หยุดและเดินหน้าต่อไป

ซูหมิงเดินต่อไปเรื่อยๆ เกราะแม่ทัพเทพถูกทำลายและฟื้นฟูกลับมาใหม่หลายครั้ง มันเหมือนได้ความเหนื่อยล้าไปจากซูหมิง จึงฟื้นฟูช้าลงเรื่อยๆ ระฆังเขาหานก็ถูกลูกหลงการโจมตีหลายอย่างจากสนามรบที่เต็มไปด้วยผู้คนนับไม่ถ้วน ทำให้ตัวซูหมิงมีเสียงระฆังดังขึ้น เหอเฟิงก็ไม่รู้ไปไหน เพราะถูกกลุ่มคนแยกออกจากกัน บวกกับร่างสัตว์ร้ายของเขา จึงอาจถูกชาวเผ่าหมานเข้าใจผิด ยามนี้ไปไหนแล้วไม่รู้

หากเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ บางทีซูหมิงอาจมีชีวิตรอดจากในสนามรบ แต่โอกาสที่เป็นไปได้มากกว่าคือเดินไปสู่ความตายในสภาพใจลอยเช่นนี้

จนกระทั่งซูหมิงมองทอดไกลออกไป เห็นว่าในกลุ่มเผ่าหมานสิบกว่าคนถูกกลุ่มชาวเผ่าเชมันล้อมโจมตี ในนั้นมีใบหน้าที่เขาคุ้นตายิ่งนัก

ใบหน้านั้นเปื้อนไปด้วยเลือด ยามนี้มีสีหน้าสิ้นหวัง กำลังเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่ง

การปรากฏตัวของบุคคลนี้ทำให้อาการใจลอยของซูหมิงหยุดชะงัก เขาเห็นกับตาว่าเผ่าเชมันที่กำลังต่อสู้กับคนผู้นี้อยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส จึงใช้ความตายมาแลก พ่นโลหิตสีดำใส่อีกฝ่าย

เห็นได้ชัดว่าโลหิตนั้นแฝงไว้ด้วยพลังทำลายล้าง หากพ่นออกมา มันจะทะลวงผ่านใบหน้าและกะโหลกศีรษะ!

ซูหมิงหรี่ตาลง เหมือนตื่นจากความฝันในชั่วพริบตา ได้สติกลับมาจากอาการใจลอยทันที

เสียงเข่นฆ่าข้างหูจากแผ่วเบาพลันชัดเจนขึ้น โลกตรงหน้าที่เลือนรางก่อนหน้านี้พลันกลับมาเป็นปกติ

“จื่อเชอ…” ซูหมิงพึมพำ เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทันทีที่ได้สติก็เดินหน้ายาวหนึ่งก้าว เสียงฆ่าฟันข้างหูหายไป แล้วแทนที่ด้วยเสียงฉีกแยกของมวลอากาศ เขาพลันพุ่งตัวเข้าไปด้วยความเร็วที่ยากจะบรรยาย

ยังไม่ทันที่ชาวเผ่าเชมันคนนั้นจะพ่นโลหิตใส่หน้าจื่อเชอ ซูหมิงก็ทะยานมาแล้วหลายร้อยจั้ง ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าจื่อเชอ สายลมแรงจากความเร็วของเขาแทบจะม้วนโลหิตดำที่พ่นมาให้หายไป ส่วนชาวเผ่าเชมันที่บาดเจ็บสาหัสยังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็รู้สึกเหมือนมีกำแพงเมืองกระแทกใส่ใบหน้า ร่างกระเด็นถอยไป แล้วถูกแรงลมบดขยี้จนตัวแตก

“อาจารย์อา!” เสียงจื่อเชอดังแว่วมาข้างหูซูหมิง ซูหมิงเดินโซเซ ทว่าก็ยังสู้ต่อไป การใช้ความเร็วสูงสุดหลายครั้งทำให้จิตใจซูหมิงเหนื่อยล้า อีกทั้งร่างกายยังถึงขีดจำกัด ทว่าก็ยังเดินหน้าต่อ และลงมือด้วยความเร็วถึงขีดสุดนั้น

เมื่อมีซูหมิงช่วย ชาวหมานสิบกว่าคนที่ถูกเผ่าเชมันล้อมโจมตีก็ฮึกเหิมขึ้นมา ต่อสู้ผลัดกับล่าถอย ครู่ต่อมาเมื่อชาวเผ่าเชมันบาดเจ็บล้มตายไปจำนวนมาก พวกเขาถึงหลุดจากวงล้อมมาได้

จนกระทั่งถึงตอนนี้ ซูหมิงหลั่งโลหิตมาหลายครั้งติดกัน ขณะโซเซก็ได้จื่อเชอมาประคองเอาไว้ ชาวเผ่าหมานที่เหลือล้วนมีบาดแผลเต็มตัว รีบล้อมซูหมิงกับจื่อเชอไว้ภายใน มองไปรอบๆ อย่างตื่นตัว แล้วพาถอยหลังไป

เสียงจื่อเชอเหมือนอยู่ไกลยิ่งนัก ซูหมิงเห็นจื่อเชอมีสีหน้าร้อนรน หลังหลับตาลงแล้วก็พลันลืมตาขึ้น ก่อนพยักหน้าให้

“จื่อเชอ เขาเป็นอาจารย์อาเจ้ารึ?”

“เขาเร็วมาก โดยเฉพาะลมจากความเร็วเขา เหมือนกับอภินิหารเลย!”

“จื่อเชอ อาจารย์อาเจ้าชื่ออะไร!” เหล่าชาวหมานที่คุ้มกันจื่อเชอกับซูหมิงให้ถอยมาพากันกล่าวขึ้น

“ข้าชื่อซูหมิง” ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ต้องให้จื่อเชอประคองอีก หลังจากหยิบเม็ดโอสถขึ้นมากินแล้วก็ถอยไปพร้อมกับสิบกว่าคนนั้น

“ในสนามรบไม่มีใครรู้ว่าจะมีชีวิตรอดหรือไม่ ฉะนั้นอย่าแบ่งรุ่นอะไรเลย สหายซู เจ้าต่อสู้กับพวกเชมันเพียงลำพังรึ?” ขณะถอย ชาวหมานสิบกว่าคนนั้นแบ่งงานกันดียิ่งนัก เจ็ดแปดคนคอยเฝ้าระวังอยู่ด้านนอก ขณะล่าถอยก็เข่นฆ่ากับชาวเผ่าเชมันที่ตรงเข้ามา จากนั้นสับเปลี่ยนกันอย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้พัก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version