ตอนที่ 345 ล่าเชมัน
“ช่างเถอะ เจ้าไม่ต้องไปหากลุ่มเล็กเจ้าแล้ว มากับพวกข้าดีกว่า มิเช่นนั้นแล้วหากเจ้าอยู่ตัวคนเดียวในสนามรบกว้างใหญ่ คงจะมีอาการใจลอยอีก”
ชายวัยกลางคนที่ก็มีโลหิตอาบทั้งตัวถอยมาจากรอบนอก หอบหายใจแรงพลางกล่าวกับซูหมิง ขั้นพลังของบุคคลนี้ก็ไม่ธรรมดา อยู่ขั้นเซ่นไหว้กระดูก
“อาจารย์อา เขาคือเหยียนป๋อ เป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเรา” จื่อเชอรีบอธิบายอยู่ด้านข้าง หลังจากเห็นซูหมิงเขาย่อมกลับมาเป็นแบบเดิม ติดตามอยู่หลังซูหมิง แล้วมองไปรอบๆ อย่างตื่นตัว
“ข้าว่าขั้นพลังเจ้าไม่ธรรมดา โดยเฉพาะความเร็วน่าทึ่งนั่น เอาแบบนี้ เจ้าพักตรงนี้ก่อน พวกข้าจะผลัดเปลี่ยนกันรอเจ้าฟื้นพลังกลับมาบ้าง แล้วค่อยมารวมกลุ่มกับพวกข้า!” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างรวดเร็ว กล่าวจบก็ไหวตัวตรงเข้าไปเปลี่ยนตัวกับเจ็ดแปดคนรอบนอกอีกครั้ง ทำให้กลุ่มเล็กสิบกว่าคนนี้ถอยมาได้อย่างต่อเนื่อง และยังคงเข่นฆ่าได้
ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เขาไม่ใจลอยอีก พอมานึกดูแล้วทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นเหมือนกับความฝัน จากคำพูดของชายวัยกลางคนกับการสับเปลี่ยนตำแหน่งกันของสมาชิก ซูหมิงหาเหตุผลที่เอาแต่ใจลอยก่อนหน้านี้พบแล้ว
“ข้าดีขึ้นแล้ว” นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ช่วงที่เจ็ดแปดคนรอบนอกกำลังล่าถอยและเปลี่ยนตัวกันอีกครั้ง ซูหมิงเดินออกไปยืนอยู่รอบนอก
‘นี่ไม่ใช่การต่อสู้เพียงคนเดียว…’ ซูหมิงยืนอยู่รอบนอกของกลุ่ม เขาเข้าใจสาเหตุอาการใจลอยของตนแล้ว ในนั้นมีความเหนื่อยล้าส่วนหนึ่ง มีการสังหารซ้ำไปซ้ำมาอีกส่วนหนึ่ง ทว่าที่สำคัญคือเขาไม่มีกลุ่มของตัวเอง เขาอยู่เพียงลำพังและเข่นฆ่าอย่างต่อเนื่องในสนามรบ
ต่อให้เป็นคนจิตใจแน่วแน่กว่านี้อีก หากเป็นเช่นนั้นไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วคงได้เสียสติ เว้นแต่จะเป็นพวกที่ผ่านสงครามมาเยอะและฝึกฝนมาอย่างโชกโชน คนแบบนั้นแม้จะเป็นเพียงขั้นชำระล้าง ก็เพียงพอจะเป็นที่สนใจของขั้นเซ่นไหว้กระดูก หากเป็นขั้นเซ่นไหว้กระดูกต้องเป็นที่สนใจของขั้นวิญญาณหมานแน่นอน
เพราะคนแบบนี้ต่างหาก…คือนักรบ!
และก็มีเพียงพวกเขาที่สามารถบุกทะลวงในสงครามเพียงลำพัง ทำให้ขั้นพลังสูงขึ้น อีกทั้งยังระเบิดพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองได้ จิตใจอันแน่วแน่ของพวกเขา ต่อให้ฟ้าดินพังทลายก็ไม่อาจทำลายมันได้แม้แต่น้อย ต่อให้เจอภยันตรายร้ายแรงสักเพียงใด ก็ไม่อาจทำลายจิตใจแน่วแน่ของพวกเขาได้
ฝึกฝนจนได้คนแบบนี้ บางที…อาจเป็นความต้องการของเผ่าเชมันและเผ่าหมาน!
‘จิตใจข้ายังแน่วแน่ไม่พอ…’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย สูดกลิ่นอายพิเศษของสงครามเข้าลึก เขาไม่ใจลอยอีก แต่อยู่รอบนอกของกลุ่ม คอยเข่นฆ่าพวกเชมันที่เข้ามาจากรอบด้านอีกครั้ง
ครั้งนี้เขามิได้ต่อสู้เพียงลำพัง ข้างกายเขามีจื่อเชอ ยังมีสหายที่คุ้มกันเขาอยู่รอบนอกตอนเหนื่อยล้าเมื่อครู่
กลุ่มเล็กแบบนี้ ซูหมิงสังเกตเห็นนับไม่ถ้วนในสนามรบ ส่วนเผ่าเชมันก็มีคนลุยสู้เดี่ยวไม่น้อย ทว่าซูหมิงกลับพอมองออกว่าพวกเขาก็มีกลุ่มแบบนี้เหมือนกัน
คนที่ออกไปลุยเดี่ยวส่วนใหญ่เป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่ และใช้สิ่งนี้เพื่อฝึกฝนตัวเอง
ซูหมิงเข้าใจแล้ว!
‘สงครามช่วยฝึกฝนจิตใจตั้งมั่นของทุกคน จิตใจตั้งมั่นเป็นนามธรรม ทว่ามันกลับหล่อหลอมให้คนกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง นี่คือเส้นทางสู่การเป็นผู้แข็งแกร่ง!’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววเข้าใจ ขณะลงมือ แสงดำขยับวิบวับ ชาวเผ่าเชมันที่พุ่งมาตรงหน้าเขาเลือกถอยหนีทันที
“วิชาข้าน้อยเกินไป…ของวิเศษก็ยิ่งใช้ไม่ถูก!” ตาซ้ายซูหมิงกลับมาใจเย็นอีกครั้ง ต่างจากความบ้าคลั่งสีแดงโลหิตในดวงตาขวาอย่างเห็นได้ชัด
เขาใช้มือซ้ายตบหน้าอกอย่างไม่ต้องคิด พลันปรากฏระฆังเขาหานลอยอยู่กลางอากาศนอกตัวเขา ส่งเสียงระฆังอย่างต่อเนื่อง ขณะเสียงระฆังดังก้อง ซูหมิงทำสัญลักษณ์มือชี้ไปทางระฆัง
ระฆังเขาหานพลันขยายใหญ่และตกใส่แผ่นดินตรงหน้า แผ่นดินโดยรอบสั่นสะเทือน ช่วงที่ระฆังเขาหานลอยตัวขึ้นอีกครั้ง ภายในมีเศษเนื้อกระจาย
‘ถึงการป้องกันจะสำคัญ แต่การโจมตีก็ต้องเฉียบคมกว่า! หากมีการป้องกันที่เพียงพอแล้ว เช่นนั้นก็ขาดเพียงจิตใจอันแน่วแน่ที่ไม่ดับสูญภายใต้การฝึกฝนด้วยความตาย!’ สายฟ้าวูบผ่านความคิดซูหมิง เขากางแขนสองข้าง สายฟ้าจำนวนมากพลันไหลเวียนมาจากในตัวเขา แล้วรวมขึ้นเป็นสายฟ้าสี่ลูกรอบตัว สายฟ้ารวมเข้ามาจากมวลอากาศ ทำให้จุดที่เขาอยู่พลันระเบิดเป็นแสงสายฟ้า
สายฟ้าสี่ลูกกระจายออกไป พุ่งเข้าใส่กลุ่มเชมันที่ตรงเข้ามาจากรอบทิศ ส่งเสียงระเบิดดังก้อง
‘ข้าผิดเอง ต่อให้เป็นสงคราม ทว่าก็เป็นโอกาสดีในการฝึกฝนอภินิหารของตัวเอง!’
ซูหมิงใช้มือขวาตบถุงเก็บวัตถุ หยิบหนังสัตว์มาหนึ่งผืน หลังจากแผ่ขยายออกแล้วก็พ่นโลหิตใส่ หนังสัตว์พลันเปล่งแสงสีแดงแล้วค่อยๆ หายไป ต่อมาใต้เท้าซูหมิงปรากฏเป็นทุ่งหญ้าสีแดงแทน
ตอนที่ทุ่งหญ้านี้ปรากฏ มันสูบโลหิตบนพื้นอย่างบ้าคลั่งและเคลื่อนไหวตามการเดินของซูหมิง ขณะสูบโลหิต ทุ่งหญ้าขยายใหญ่ขึ้น อีกทั้งเมื่อยืนบนทุ่งหญ้า จะสัมผัสได้ว่ามีไอเย็นส่งขึ้นมาจากฝ่าเท้า เมื่อไหลเวียนในตัวแล้วจะทำให้อาการเหนื่อยล้าทุเลาลง
ทุ่งหญ้านี้มีผลกับเขาเพียงคนเดียว ชาวหมานคนอื่นๆ ข้างกายไม่ได้รับผลแม้แต่น้อย หลังจากซูหมิงสังเหตเห็นถึงจุดนี้ ก็ควบคุมการแผ่ขยายของทุ่งหญ้า ทำให้มันอยู่แค่ใต้เท้าตัวเอง ไม่ให้ขยายไปอีก
ระฆังเขาหานทับลงพื้น ลูกสายฟ้าระเบิดอย่างต่อเนื่อง และยังมีกระบี่เล็กบินว่อน ทำให้กลุ่มซูหมิงถอยด้วยความเร็วน่าทึ่ง ขณะเดียวกันจุดที่ผ่านไป ชาวเผ่าเชมันส่วนใหญ่จะทยอยกันหลีกทางให้
หากมีเพียงแค่นี้ บางทีชาวเผ่าเชมันผู้มีฝีมืออยู่บ้างอาจจะไม่หลีกทางให้ทั้งหมด ทว่าหลังจากระฆังเขาหานทับคนอย่างต่อเนื่อง มีเสียงกรีดร้องดังแว่วมาจากภายในแล้ว นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ทำสัญลักษณ์มือแล้วชี้ลง หลังจากมีแสงดำลอยมาจากในระฆังเขาหาน โดยรอบกลุ่มเล็กของซูหมิงก็กลายเป็นแดนแห่งความตาย
ที่น่าสะพรึงกว่านั้นคือ เมื่อแสงดำปรากฏ สัตว์ร้ายเผ่าเชมันที่กำลังเข้ามาใกล้ร้องโหยหวนทันที ราวกับไม่กล้าเข้าใกล้ และถอยหนีโดยไม่สนสิ่งใด ประหนึ่งว่าตรงนี้มีอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกมันกลัว
จื่อเชอยังดี ทว่าสมาชิกกลุ่มคนอื่นๆ รวมถึงเหยียนป๋อหัวหน้ากลุ่มขั้นเซ่นไหว้กระดูกตอนต้น ยามนี้สูดลมหายใจเข้าลึก พวกเขามองซูหมิงด้วยความแปลกใจตลอด
“สหายซู ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงต่อสู้เพียงลำพัง…แม้ว่าเจ้าจะมิใช่นักล่าเชมัน แต่อีกไม่นานคงได้เป็นสมาชิกกลุ่มพวกเขา” เหยียนป๋อประสานมือคารวะซูหมิง ยามนี้ทุกคนโดยรอบมองซูหมิงด้วยความเคารพ
จื่อเชออธิบายข้างซูหมิงเบาๆ
ในสงครามระหว่างเผ่าหมานกับเผ่าเชมัน มีคนอยู่กลุ่มหนึ่ง พวกเขาไม่ใช่นักรบขั้นวิญญาณหมาน ทว่าฤทธิ์เดชของล้ำหน้าเกินกว่าขั้นพลังตัวเอง เหมือนกับพวกฆ่าไม่ตาย
คนแบบนี้จะถูกเรียกว่านักล่า! หากเป็นเผ่าหมานก็จะเป็นนักล่าเชมัน หากเป็นเผ่าเชมันก็จะเรียกว่านักล่าหมาน! ในสงครามพวกเขาจะไม่ปิดบังฐานะ เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการคือการฝึกฝน ฉะนั้นพวกเขาจึงสวมหน้ากาก
หน้ากากของเผ่าหมานเป็นสีดำ ส่วนของเชมันจะเป็นสีขาว
คนที่ได้รับหน้ากากจะหมายความว่าได้รับการยอมรับว่าเป็นนักล่า! อีกทั้งหน้ากากของทั้งสองฝ่ายมีคะแนนในสงครามสูง และเป็นหนทางเดียวสู่การเป็นนักล่า!
สังหารนักล่าแห่งเชมันหนึ่งคน เมื่อนำหน้ากากไปส่งให้เมืองหมอกนภาแล้วก็จะได้เป็นนักล่า! น้อยคนนักที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมชิงมา เพราะหากเป็นนักล่าแล้วต้องสวมหน้ากาก และยังต้องเผชิญหน้ากับความตายที่มากขึ้น อย่างพวกที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมคงถูกปลิดชีพโดยง่าย
ซูหมิงได้ฟังจื่อเชออธิบายแล้วจึงพยักหน้า เรื่องนี้เขาก็เคยคิดเอาไว้ก่อนแล้ว คนพวกนี้จะต้องเป็นคนที่มีจิตใจอันแน่วแน่อย่างยิ่ง
ซูหมิงรู้ว่าตนไม่ใช่ เพราะจิตใจของเขา ขณะต่อสู้เพียงลำพังก่อนหน้านี้ยังเกิดอาการใจลอยและเหนื่อยล้าทางจิตใจเลย
“มีสหายซูช่วยอยู่ พวกเราไม่ถอยกันดีกว่า ฝ่าเข้าไปแล้วเก็บคะแนนให้ได้มากกว่านี้ แน่นอนว่าสหายซูเอาคะแนนไปคนเดียวเลยสามส่วน ที่เหลือพวกข้าจะแบ่งกันเอง” เหยียนป๋อเลียริมฝีปาก แววตาเหี้ยมโหด มองชาวเผ่าเชมัน แล้วกล่าวกับซูหมิงอย่างหนักแน่น
“ได้!” ซูหมิงขบคิดชั่วครู่ ก่อนพยักหน้าให้
พอซูหมิงตกลง คนอื่นๆ ในกลุ่มก็เห็นด้วย ทุกคนไม่ถอยอีก แต่เปลี่ยนตำแหน่งตามคำสั่งของเหยียนป๋อ สร้างเป็นรูปขบวนลูกธนู ให้ซูหมิงเป็นหัว จื่อเชอกับเหยียนป๋ออยู่ข้างซูหมิง คนที่เหลือตามหลังพุ่งตรงฝ่าเข้าไป
กระบี่เล็กแสงดำบินวนรอบนอกตลอดทาง ระฆังเขาหานส่งเสียงก้องกังวาน แสงดำพิลึกส่งเสียงร้องบินตามมา และยังมีสายฟ้าส่งเสียงดังสนั่น จุดที่รูปขบวนธนูวิ่งผ่านจะเกิดเป็นฝนโลหิต พุ่งทะลวงเข้าไปกลางสงครามกลุ่มใหญ่
เวลาค่อยๆ ผ่านไป กลุ่มเล็กโดยมีซูหมิงนำหน้านี้สังหารด้วยความเร็วยิ่งนัก ทว่าก็มีคนบาดเจ็บล้มตายไม่น้อยเช่นกัน ยามนี้เหลือเพียงเก้าคน
แต่คะแนนที่ได้รับก็มากอย่างยิ่งเช่นกัน
ยามนี้ท้องฟ้าเริ่มมืด เสียงระเบิดในหมอกเขียวดังถี่มากขึ้นเรื่อยๆ ซูหมิงที่นำหน้าอยู่พลันหยุดชะงัก ทั้งแปดคนที่เหลือเลยต้องหยุดตาม
ในกลุ่มคนไกลออกไป มีชายเผ่าเชมันสวมหน้ากากขาวผู้หนึ่ง เขาสวมชุดดำ กำลังมองมาด้วยความเย็นชา บนหน้ากากทีรอยเป็นตัวกากบาท…
บุคคลนี้ต่างจากเผ่าเชมันคนอื่นๆ เขาเป็นนักล่าหมานที่ลุยเพียงลำพัง คนแบบนี้จะต้องมีจิตใจแน่วแน่อย่างยิ่งถึงกล้าทำเช่นนี้
แทบจะเป็นช่วงที่เขามองกลุ่มเล็กของซูหมิงที่ดึงความสนใจของชาวเชมันโดยรอบ นัยน์ตาซูหมิงมีความกระหายในการต่อสู้
“เหยียนป๋อ จื่อเชอ พวกเจ้าสองคนมาอยู่หัวแทนข้าสักครู่” ขณะกล่าวซูหมิงพุ่งตัวไปด้านหน้า ก็กระโดดลอยขึ้น ตรงเข้าใส่นักล่าหมานแห่งเผ่าเชมันคนนั้น
“นักล่าหมาน! เขาสวมหน้ากาก นั่นมันนักล่าหมาน!” เหยียนป๋อหรี่ตาลง เขามองไปยังทิศทางที่ซูหมิงไป เห็นชาวเผ่าเชมันสวมหน้ากากคนนั้น
“เอาชนะเขาแล้วเก็บหน้ากากมา จื่อเชอ อาจารย์อาเจ้าจะเป็นนักล่าแล้ว….” เหยียนป๋อหายใจกระชั้นถี่ แววตาเฝ้ารอคอย