ตอนที่ 362 ออกจากสนามรบ
ในโลกใบนี้ คนที่กล้าลงมือกับเทวรูปใช่ว่าจะไม่มี ทว่ากลับน้อยนิดยิ่งนัก ในแดนอรุณใต้ เผ่าหมานย่อมไม่มีผู้มีความกล้าเช่นนี้แน่นอน แต่ในเผ่าเชมันมีอยู่คนหนึ่งที่มีพลังและความกล้านี้!
บุคคลนี้ก็คือยอดจ้าวเชมัน ผู้แข็งแกร่งหมายเลขหนึ่งของทั้งเผ่าเชมัน ขั้นพลังทะลวงสู่ระดับสูงสุด และอยู่จุดสูงสุดของเผ่าเชมัน!
มีเพียงเขา ตอนนั้นสู้กับสามยอดฝีมือแห่งเผ่าหมานแดนอรุณใต้ด้วยตัวคนเดียว ท้ายที่สุดแม้จะบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ไม่ตาย เพียงแค่หลับใหลเท่านั้น มีแต่เขาที่มีพลังเช่นนี้!
และมีเพียงเขาที่ไม่สนใจผู้สืบทอดเทพหมานรุ่นหนึ่งอย่างซูหมิง ปาหอกเข้ามาหมายมั่นจะทำลายเทวรูปเผ่าหมาน เพื่อตัดหนทางมิให้ชาวเผ่าหมานทะลวงขั้นเซ่นไหว้กระดูกนับแต่นี้ไป!
หอกนั้นฉีกมวลอากาศ จุดที่วิ่งผ่านท้องฟ้าเหมือนถูกเปิดออก เผยให้เห็นเป็นรอยแยกยักษ์ หอกเล่มนี้มาพร้อมกับพลังยากจะบรรยาย ขณะส่งเสียงแหลมก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเทวรูปเซ่นไหว้กระดูกที่กำลังจะหายไป แล้วระเบิดลงบนนั้น
ไม่มีระลอกคลื่น ไม่มีเสียงระเบิด เมื่อเทวรูปเซ่นไหว้กระดูกถูกหอกทะลวงเข้าไปในตัวแล้ว กลับไม่เกิดรอยร้าวแม้แต่น้อย เทวรูปเพียงมองหมอกดำแวบหนึ่งอย่างเย็นชา ก่อนจะเลือนหายไป
“หากเทวรูปเผ่าหมานถูกทำลายง่ายๆ เผ่าหมานคงไม่อยู่มาถึงทุกวันนี้ เผ่าเซียนยังทำไม่ได้ กับอีแค่ตาแก่หมัวหลัวที่เพิ่งตื่นขึ้น ก็เป็นแค่สุนัขรับใช้ของเผ่าเซียนเท่านั้น!” เสียงแก่ชราดังแว่วมาจากเมืองหมอกนภา ขณะเดียวกัน มีชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวสีฟ้าเดินมาจากในเมืองหมอกนภาทีละก้าว
เขาดูเหมือนไม่ชรา ทว่าดวงตากลับมากประสบการณ์คล้ายผ่านกาลเวลามาอย่างโชกโชน รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลายิ่งนัก ดูคล้ายกับเทียนหลันเมิ่งหลายส่วน
“อีกอย่างเจ้าเป็นเพียงร่างแยกที่ตื่นขึ้น ร่างจริงยังคงหลับใหลอยู่กระมัง คิดว่าแค่ร่างแยกก็มาเหยียบเมืองหมอกนภาของข้าได้อย่างนั้นรึ!” ขณะชายวัยกลางคนกล่าวก็เดินขึ้นฟ้า มายืนอยู่ด้านหลังซูหมิงที่กำลังคิดจะถอย
“เจ้าลงไปเถอะ กลับไปเมืองหมอกนภา อีกเดี๋ยวข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” น้ำเสียงชายวัยกลางคนสงบนิ่ง ทว่ามีความหมายแฝงอย่างไม่ต้องสงสัย เขากวาดสายตามองเส้นผมที่พันรอบนิ้วซูหมิงเหมือนไม่ใส่ใจ
ซูหมิงมีสีหน้าเคารพ ทั้งยังตื่นตระหนก เขารีบก้มหน้าขานรับ แล้วถอยกลับไปเมืองหมอกนภาอย่างว่าง่าย
แทบจะเป็นช่วงที่ซูหมิงถอยจากไป มีเสียงหึดังมาจากหมอกบนสุดท้องฟ้าที่ปาหอกมาก่อนหน้านี้ หมอกนั้นตรงเข้ามายังชายวัยกลางคนเสื้อฟ้า ท้องฟ้าพลันสั่นสะเทือน สงครามเหมือนจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง
เวลาเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งสามคนแห่งเผ่าเชมันก็เคลื่อนไหวตาม มาสะสางเรื่องที่ถูกขัดเมื่อครู่ให้เสร็จสิ้น ต่อสู้กับเผ่าหมานหกคนบนท้องฟ้าต่อ
ทั้งสองฝ่ายบนผืนดินก็เริ่มเข่นฆ่ากันอีกครั้ง
อีกทั้งในยามนี้มีเสียงร้องดังแว่วมาจากทางเผ่าเชมัน ปลาน้ำจืดที่ซูหมิงเห็นเมื่อเช้าว่ายขึ้นลงอยู่ในทะเลหมอก!
ขนาดของปลาตัวนั้นไม่อาจใช้หน่วยจั้งมาวัดได้ ยามนี้โผล่ให้ร่างบางส่วนบนเส้นขอบฟ้าไกลก็มีพลังน่าทึ่งแล้ว บนตัวมันมีสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ ในมือถือไม้ไผ่หยก ด้านบนมีรูเล็กๆ หลายรู นางวางมันไว้ตรงริมฝีปากแล้วเป่าเบาๆ จนเกิดเป็นเสียงลากยาว
ทันทีที่เสียงนี้ดังกังวาน ทั้งสนามรบมีวิญญาณอาฆาตรวมตัวขึ้นจำนวนมาก ศพกองเต็มพื้นเหล่านั้นก็ค่อยๆ ยืนขึ้น พลังความตายเข้มข้นหมุนโคจรโดยรอบในชั่วพริบตา
เสียงเข่นฆ่าสังหารในสนามรบดุเดือดอยู่แล้ว ยิ่งปลาน้ำจืดปรากฏตัวอีก จึงดึงความสนใจของชายชราเจ็ดแปดคนบนกำแพงเมืองหมอกนภาไป วิญญาณอาฆาตและศพเหล่านั้นทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในฉับพลัน
ซูหมิงที่กำลังบินไปทางเมืองหมอกนภาพลันหยุดชะงัก แววตาวูบไหว ก่อนเปลี่ยนทิศทางอย่างไม่ลังเล แล้วใช้ความเร็วสูงสุดกลายเป็นสายรุ้งยาวตรงไปยังเขตสงครามทางใต้
ภายใต้ความโกลาหลวุ่นวายบนพื้นดิน สิ่งที่ซูหมิงทำดึงดูดความสนใจของใครหลายคนเช่นกัน ทว่าเพราะเขาไปเขตสนามรบทางใต้ คนที่เฝ้าจับตาดูส่วนใหญ่จึงเกิดความลังเล
ระหว่างนั้นซูหมิงมาถึงเขตสนามรบทางใต้ เขาหยุดชะงักทันใดแล้วหายเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังเข่นฆ่ากัน พอวูบไหวตัวก็มาปรากฏอยู่อีกมุมหนึ่งของกลุ่มคน ทันใดนั้นมีชาวเผ่าเชมันคนหนึ่งตรงเข้ามา ซูหมิงเดินผ่านตัวเขาไป หนึ่งฝ่ามือปานสายลมอัดใส่หน้าอก ทำให้อีกฝ่ายกระอักโลหิตขณะตัวสั่นและสิ้นใจลง
ซูหมิงระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่รู้ว่ามีกี่คนที่จับตามองเขา การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในกลุ่มคน สลัดหลุดเพียงผู้มีขั้นพลังไม่สูง ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงโดยเฉพาะขั้นวิญญาณหมาน จะเพ่งเล็งตำแหน่งเขาเอาไว้จากไกลๆ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะต้องมีคนมาแน่นอน
สนามรบในยามนี้วุ่นวายขึ้นเล็กน้อย วิญญาณอาฆาตเต็มไปหมด ทั้งยังมีศพลุกขึ้นมาอีก พลังความตายวนเวียนอยู่โดยรอบ ทำให้มวลอากาศขุ่นมัว ซูหมิงก็เหมือนกับเผ่าหมานคนอื่นๆ เข่นฆ่าสังหารอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ดูเหมือนว่าที่เขาไม่กลับเมืองหมอกนภาก็เพราะอยากต่อสู้ มิใช่เพื่อหลบหนี ซูหมิงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงชายขอบของเขตสนามรบทางใต้อย่างสบายๆ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตอนที่ตนมาถึงตรงนี้ ทั่วร่างมีความรู้สึกเหมือนมีเข็มอยู่ด้านหลัง เห็นได้ชัดว่ามีผู้แข็งแกร่งจากที่ใดไม่รู้กำลังมองเขา อีกทั้งสายตายังไม่เป็นมิตร มิเช่นนั้นแล้วเขาคงไม่รู้สึกเช่นนี้
ซูหมิงมีสีหน้าเหมือนปกติ วูบไหวตัวตามสหายเผ่าหมานที่สังหารจนตาแดงก่ำข้างกาย ถอยกลับมาไม่น้อย
‘เป็นอย่างที่ข้าคิดจริงๆ กลายเป็นที่ริษยาของคนอื่น….’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย
‘ต้องการโอกาสเดียว โอกาสที่ทุกคนจะหันไปสนใจสิ่งอื่น….’ ซูหมิงขมวดคิ้วและเข่นฆ่าต่อไป ทว่ารอไม่นานก็เกิดโอกาสนั้นบนสนามรบ!
แผ่นดินสั่นไหว ตอนเพิ่งเริ่มยังสั่นเบาๆ
ทว่าไม่นาน มันก็สั่นสะเทือนประดุจแผ่นดินจะถล่ม แรงสั่นสะเทือนนี้มาจากเขตสนามรบทางตะวันออกหน้าเมืองหมอกนภา แล้วแผ่กระจายออกโดยรอบ จากนั้นคล้ายมีเสียงคำรามดังมาจากผืนดิน ทุกคนในเขตสนามรบตะวันออกรีบถอยแยกเป็นสองข้างท่ามกลางเสียงร้องฮือฮา
บนพื้นดินปรากฏรอยแยกยักษ์ สัตว์ร้ายประเภทงูยักษ์หนาหลายร้อยจั้งยาวหนึ่งหมื่นจั้งตัวหนึ่งพลันพุ่งตัวมาจากรอยแยกนั้น
ส่วนที่ปรากฏมีความยาวหนึ่งหมื่นจั้ง มันไม่ใช่งูและไม่มีดวงตา แต่เป็นสัตว์ยักษ์เหมือนไส้เดือน ทั้งตัวเป็นสีม่วงอมแดง ทั้งยังมีเมือกเหนียวจำนวนมาก ทำให้ทุกคนที่สัมผัสโดนเมือกร้องโหยหวน ร่างกายเน่าเปื่อยทันใด
สัตว์ร้ายยาวหมื่นจั้งอ้าปากกว้าง เผยเขี้ยวแหลมคมแน่นขนัดด้านใน มันแผดเสียงร้องขึ้นฟ้า จากนั้นสะบัดร่างยักษ์กระแทกใส่เมืองหมอกนภาอย่างแรง
หากเพียงเท่านี้คงไม่เท่าไร แต่ชั่วขณะที่สัตว์ตัวนี้สะบัดใส่เมืองหมอกนภา แผ่นดินบนเขตสนามรบทางเหนือเกิดรอยแยกที่สองเช่นกัน สัตว์ร้ายแบบเดียวกันอีกตัวหนึ่งขึ้นมาจากรอยแยก ขณะร้องคำรามก็สะบัดตัวเข้าใส่เมืองหมอกนภา
ขณะเดียวกัน ตรงเขตสนามรบทางใต้ ทันทีที่แผ่นดินสั่นสะเทือน พลันเกิดรอยแยกบนพื้นดินห่างจากซูหมิงไม่ไกล ในรอยแยกนั้นเหมือนมีมือใหญ่ไร้รูปกำลังฉีกแยก จากนั้นสัตว์ร้ายขนาดยักษ์แบบเดียวกันตัวที่สามก็ทะยานขึ้นมา
ผู้แข็งแกร่งแทบทั้งหมดของเมืองหมอกนภามองสัตว์ร้ายน่าสะพรึงสามตัวนั้นทันใด ชั่วเวลานั้น ขณะซูหมิงกำลังถอย นัยน์ตาเขาเป็นประกาย เขาเห็นสัตว์ร้ายใหญ่ยักษ์โผล่ขึ้นมาจากรอยแยกที่เขตสนามรบทางใต้ ยามนี้กำลังอ้าปากปานจะส่งเสียงร้อง
ซูหมิงพลันวูบไหวตัว ใต้เท้าเขามีหมอกดำลอยขึ้น หมอกดำนี้รวมอยู่ตรงหน้าเขาด้วยความรวดเร็ว กลายเป็นอีกร่างหนึ่งที่เหมือนกับตัวเขาทุกประการ
ร่างนี้คือร่างแปลงจากภูตผีของซูหมิง มีรูปร่างหน้าตาและกลิ่นอายพลังแบบเดียวกับเขา
หลังจากตรีศูลภูตผีกลายเป็นซูหมิงแล้ว มันพลันพุ่งทะยานไปยังสัตว์ร้ายที่กำลังเงยหน้าร้องคำราม ขณะเดียวกัน ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก สายลมในตัวเขาปะทุลมรุนแรงในชั่วพริบตา ลมนั้นหมุนวนในตัว ทำให้ความเร็วของซูหมิงพลันเพิ่มขึ้นหลายเท่า ก่อนห้อเหยียดไปทางขอบสนามรบทางใต้
ซูหมิงทิ้งเศษเสี้ยวเงาเอาไว้ที่เดิม มาปรากฏตัวห่างไปหลายพันจั้ง และขยับวิบวับอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าไปทางใต้
แทบจะเป็นช่วงที่ซูหมิงใช้ความเร็วทั้งหมด บนกำแพงเมืองหมอกนภามีชายชราคนหนึ่งที่ยังไม่เลิกจับตามองซูหมิง นัยน์ตาเขาขยับประกาย แค่นเสียงหึแล้ววูบไหวตัวหายไป ความเร็วของเขาไม่ด้อยไปกว่าซูหมิงแม้แต่น้อย พริบตาเดียวก็ไปไกลถึงหนึ่งพันจั้ง
ชั่วขณะเดียวกัน ในเผ่าเชมันก็มีชายชราซูบผอมคนหนึ่งเดินหน้าหนึ่งก้าว กลายเป็นควันดำ เคลื่อนตัวไปหนึ่งพันจั้งในชั่วพริบตาเดียว
ทั้งสองคนหน้าหลังไล่ตามซูหมิงไป
ซูหมิงอยู่ด้านหน้า พลันแผ่ขยายจิตสัมผัส ของเหลวในเส้นเลือดลมโคจรอย่างรวดเร็ว ทำให้จิตสัมผัสปกคลุมในระยะหลายพันจั้งทันใด อีกทั้งยังเด่นชัดยิ่งนัก เหนือกว่าเมื่อก่อนไปไกลมาก
เขาเห็นชัดว่าด้านหลังตนมีชายชราสองคนกำลังไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว ห่างจากเขาสามพันกว่าจั้งได้
ซูหมิงแค่นเสียงหึ ก่อนหน้านี้เขาก็เคยวิเคราะห์เอาไว้แล้วว่าจะกลับเมืองหมอกนภาไม่ได้ เรื่องนี้เขาจะไม่เสี่ยง เขาไม่อยากส่งตัวเองไปอยู่ในเงื้อมมือคนอื่น การเป็นตัวเขาเองนั้นดีที่สุด
ขณะห้อเหยียดไป กระดูกหมานสี่ชิ้นในตัวซูหมิงปะทุพลังของขั้นเซ่นไหว้กระดูก ทำให้เขาเร็วขึ้นอีกหนึ่งเท่า พริบตาเดียวก็ทิ้งระยะห่างไปห้าพันจั้ง
‘ต้องทิ้งระยะห่างให้มากที่สุด สลัดพวกเขาให้หลุด แล้วออกจากสนามรบไปให้ไกล!’ ต้นกำเนิดวายุในตัวซูหมิงกลายเป็นพายุคลั่ง ภายใต้การโคจรด้วยความเร็วอีกครั้ง ทำให้ความเร็วของซูหมิงเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยในชั่วอึดใจ เงาร่างเขาแทบเห็นไม่ชัด พริบตาเดียวก็หายวับไป
ทว่าสองคนด้านหลังยังคงตามมาอย่างไม่ลดละ