Skip to content

สู่วิถีอสุรา 364

ตอนที่ 364 จิตสังหารของวิญญาณหมาน

ตรงจุดสูงบนท้องฟ้ามีสายลมรุนแรง สายลมนี้ปานพายุหมุน หากเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงจะทนรับไม่ไหว และเกิดความรู้สึกเหมือนร่างกายจะฉีกขาด

นี่คือพลังแห่งสายลม

ต่อให้เป็นซูหมิงที่ในร่างกายมีต้นกำเนิดวายุอยู่ ยังยากจะเคลื่อนตัวผ่านพายุหมุนนี้ได้เป็นเวลานาน ยามนี้เขาห้อเหยียดอยู่กลางอากาศผ่านไปครึ่งวัน ก็ทนไม่ไหวจนต้องบินต่ำลง

ในความรู้สึกซูหมิง สายลมเหนือท้องฟ้า ยิ่งสูงลมยิ่งแรง หากใกล้พื้นดินลมจะอ่อนลงไม่น้อย

เขามุ่งหน้าไปทางส่วนลึกของเผ่าเชมันโดยไม่หยุดพัก กระทั่งยามค่ำคืนยังรักษาความเร็วหนีต่อไป จนกระทั่งท้องฟ้าเปลี่ยนจากดำกลายเป็นขาว และจากขาวกลายเป็นดำอีกครั้ง ทุกจุดที่ซูหมิงผ่านส่วนใหญ่จะดูทุรกันดาร และยิ่งอยู่ในช่วงสงคราม ชนเผ่าเชมันในแถบนี้ส่วนใหญ่ไปสนามรบ ฉะนั้นหลังจากซูหมิงหนีมาสามวันจึงเจอชาวเผ่าเชมันไม่เยอะมากนัก

บวกกับความเร็วของซูหมิง ต่อให้พบพวกเชมัน อีกฝ่ายจะเห็นเพียงสายรุ้งยาวเท่านั้น แยกไม่ออกว่าเป็นเผ่าหมานหรือเชมัน ทำให้ซูหมิงเดินทางได้อย่างราบรื่น

จนกระทั่งวันที่สี่ยามโพล้เพล้ ซูหมิงจึงหยุดตรงที่ราบและเปิดถ้ำอาศัยหนึ่งแห่ง ก่อนเข้าไปนั่งฌานด้านในอย่างอ่อนเพลีย

การวิ่งทะยานมาตลอดสี่วันนี้เกินขีดจำกัดของเขาแล้ว หากไม่มีสมุนไพรเอาไว้กิน เขาคงไม่อาจยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ได้ ยามนี้เขาหลงทิศ และไม่รู้ด้วยว่าอยู่ที่ใดของเผ่าเชมัน แต่มันก็คุ้มค่ากับที่สลัดชายชราเผ่าหมานหลุดมาได้

ขณะนั่งฌานสมาธิ ซูหมิงหอบหายใจแรง ปรับขั้นพลังที่ปั่นป่วนในร่างกาย ช่วงเวลาการเป็นนักรบเซ่นไหว้กระดูกของเขาน้อยเกินไป อีกทั้งยังบินอย่างรวดเร็วเป็นเวลานาน ขั้นพลังในร่างกายจึงเริ่มปั่นป่วน

‘ข้าบินติดต่อกันสี่วัน ตาแก่เผ่าหมานไล่ล่าชาวเผ่าเชมันไปแล้ว พอกลับมาน่าจะหาข้าไม่เจอ ทว่าก็ต้องระวังตัวไว้ เผื่อเขายังมีอุบายอื่นๆ อีก’ ซูหมิงหลับตา ไม่กล้าเพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการกำหนดลมหายใจ แต่ขยายจิตสัมผัสเอาไว้ข้างนอก แล้วค่อยๆ โคจรพลังเซ่นไหว้กระดูกในร่างกาย

เวลาค่อยๆ ผ่านไป หนึ่งวัน สองวัน สามวัน…จนกระทั่งถึงวันที่ห้า ซูหมิงถึงลืมตาขึ้น ความเหนื่อยล้าในแววตาหายไป เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ขั้นเซ่นไหว้กระดูกในร่างกายพอเสถียรขึ้นมาบ้าง ไม่มีสัญญาณเสื่อมถอยเหมือนเมื่อห้าวันก่อน

‘เผื่อเอาไว้ก่อน จะอยู่ที่นี่นานเกินไปไม่ได้’ ซูหมิงมีสีหน้าตื่นตัว ยืนขึ้นวูบไหวตัวออกไปข้างนอก ขณะกำลังจะออกไปจากที่นี่ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป

ภายในจิตสัมผัสของเขาสังเกตเห็นชัดเจน ห่างไปหนึ่งหมื่นจั้งมีระลอกคลื่นเด่นชัดกำลังตรงเข้ามา เงาร่างคนในระลอกคลื่นนั้นก็คือชายชราเผ่าหมาน

‘เขามีวิธีหาข้าพบจริงๆ!’ ซูหมิงบินขึ้น กัดฟันห้อเหยียดต่อไปอย่างไม่ลังเล

ชายชราเผ่าหมานมีสีหน้าปกติ ยิ้มมุมปากเย็นชา

เพียงแต่หน้าเขาหน้าซีดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าพอสังหารชายชราเผ่าเชมันผู้นั้นแล้วก็ไล่ตามมาหลายวันติดกัน ตอนที่ตรวจพบซูหมิง ในตัวเขามีบาดแผลอยู่ ทว่าเขาคิดว่าต่อให้ตนบาดเจ็บก็คงจับซูหมิงได้อย่างง่ายดาย

“เจ้าหนีไม่พ้นหรอก!” นัยน์ตาชายชราเผ่าหมานขยับประกาย ไล่ตามซูหมิงไปอย่างไม่ลดละ

ทั้งสองคนหน้าหลังทะยานผ่านท้องฟ้า ห่างกันหนึ่งหมื่นจั้ง ทว่าหนึ่งหมื่นจั้งนี้กำลังบีบเข้ามาเรื่อยๆ หนึ่งชั่วยามต่อมา ช่วงที่ทั้งสองคนห่างกันแปดพันกว่าจั้ง ชายชราเผ่าหมานมีแววตาเย็นชา ยิ้มเยาะมุมปาก ทันใดนั้น ชายชราพลันตัวสั่นเทา มีเสียงเปาะแปะดังมาจากในตัวเขา ประหนึ่งเสียงกระดูกกระทบกัน อีกทั้งใบหน้ายังเป็นสีม่วงอมแดง ผุดเส้นเลือดดำขึ้นบนผิวหนัง

จากนั้นชายชราเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า พลันพุ่งทะยานไปข้างหน้าจนราวกับว่าท้องฟ้าเกิดรอยแยก เขาใช้ความเร็วที่ไม่อาจบรรยาย รวดเร็วกว่าซูหมิงหลายเท่านัก ตอนที่มวลอากาศตรงหน้าชายชราถูกฉีกเป็นเส้นตรง ตัวเขาหายวับไปในทันใด

ความรู้สึกถึงภยันตรายแล่นเข้าสู่ความคิดซูหมิง เขาพลันหยุดชะงักแล้วพยายามฝืนเปลี่ยนทิศทาง ไม่ตรงไปด้านหน้าอีก แต่บินถอยหลัง

การฝืนเปลี่ยนทิศทางเช่นนี้ทำให้มีโลหิตไหลมาจากมุมปากซูหมิง ทว่าขณะเดียวกับที่เขาถอยหลัง มวลอากาศตรงหน้าราวกับถล่มทลาย ชายชราเผ่าหมานดุจบีบตัวออกจากอากาศมาปรากฏตรงหน้าซูหมิง

ความเร็วระดับนี้คงเรียกไม่ได้ว่าความเร็ว แต่มันเหมือนกับเคลื่อนไหวในชั่วพริบตา!

ชายชราปรากฏตัวขึ้น มีโลหิตไหลจากมุมปากเช่นกัน ใบหน้าซีดขาว ทว่าสีหน้ากลับเหี้ยมโหด หลังจากปรากฏกายห่างจากซูหมิงไม่ถึงสิบจั้ง เขาพลันยกมือขวา ทะเลโลหิตก่อตัวขึ้นแผ่ปกคลุมในระยะหนึ่งร้อยจั้ง ก่อนตรงเข้าใส่ซูหมิงปานลูกคลื่นยักษ์

ลูกคลื่นลากยาวเข้าไป ก่อตัวเป็นลักษณะหมาป่าโลหิต มันอ้าปากกว้างราวอ่างโลหิตคิดจะเขมือบซูหมิง

ทุกอย่างที่กล่าวมานี้เหมือนยาวนาน ทว่าความจริงแล้วเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา ชายชราเคลื่อนตัวมาอยู่ตรงนี้ในระยะแปดพันกว่าจั้ง ทั้งยังแสดงอภินิหารอีกไม่ถึงสองลมหายใจ!

ส่วนซูหมิงยามนี้ฝืนถอยกลับ และถอยไปได้เพียงสิบกว่าจั้งเท่านั้น

ภยันตรายถึงตาย ความรู้สึกเด่นชัดนี้ทำให้ซูหมิงตื่นตระหนก โลกตรงหน้าเขากลายเป็นสีเลือด ถูกหมาป่าโลหิตคำรามพร้อมกับถาโถมเข้าใส่

หมาป่าโลหิตปลดปล่อยกลิ่นอายพลังแกร่งกล้าที่ทำให้ซูหมิงจิตใจสั่นไหว นี่คือพลังของขั้นวิญญาณหมาน เป็นฤทธิ์เดชของตาแก่ขั้นวิญญาณหมาน!

สำหรับผู้ที่เพิ่งทะลวงสู่ขั้นเซ่นไหว้กระดูกอย่างซูหมิงแล้ว อภินิหารเช่นนี้เขารับมือไม่ไหว ทั้งยังยากจะหลบหลีกไป เพราะหมาป่าโลหิตมาพร้อมกับอำนาจคุกคามที่แผ่กระจายรอบแปดทิศ เหมือนผนึกซูหมิงเอาไว้!

เงามืดแห่งความตายปกคลุมรอบตัวซูหมิง ดวงตาเขาแดงก่ำ รอบตัวปรากฏเกราะเซ่นไหว้กระดูกสีฟ้า อีกทั้งภายในยังวางอาคมเอาไว้ ช่วงเวลาเป็นตายนี้ ศักยภาพของซูหมิงถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างไร้ขีดจำกัด เพียงครั้งเดียวก็วางอาคมสำเร็จ

แทบจะเป็นตอนที่เกราะแม่ทัพเทพปรากฏขึ้น พลังของหมาป่าโลหิตถาโถมใส่เกราะของซูหมิง เขาตัวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง กระอักโลหิต และมีความรู้สึกเหมือนถูกภูเขานับหมื่นลูกกดทับลงบนตัว พลังโลหิตในตัวไหลตลบ ขั้นพลังแตกกระจาย กระทั่งกระดูกหมานสี่ชิ้นยังเกิดรอยร้าว

อีกทั้งยังมีเสียงอื้ออึงดังในความคิดซูหมิง เขารู้สึกว่าปากใหญ่ของหมาป่าโลหิตมีแรงดูดบางอย่างที่ยากจะต่อต้าน ประหนึ่งว่าจะสูบวิญญาณของเขาไป ยังดี…ที่มีเกราะแม่ทัพเทพ!

หลังจากเกราะแม่ทัพเทพต้านทานอยู่ครู่หนึ่งก็แตกกระจาย ซูหมิงถูกพลังมหาศาลอัดไปด้านหลัง ทว่าสิ่งที่เขาทำไม่เปล่าประโยชน์ ด้วยความแกร่งของเกราะ รวมถึงการวางอาคม ซูหมิงจึงบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีของขั้นวิญญาณหมานเท่านั้น ยังไม่ถึงกับตายในทันที!

ซูหมิงถูกพลังมหาศาลอัดจนกระเด็นถอยอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับว่าวสายป่านขาด ขณะเขากระอักโลหิต หมาป่าตัวนั้นก็ร้องคำรามแล้วกระโจนเข้ามาอีกครั้ง

เพียงแต่ว่าตอนนี้ หมาป่ามิได้คงรูปเหมือนครั้งแรก หลังจากปะทะกับเกราะแม่ทัพเทพของซูหมิงแล้ว หมาป่าโลหิตกลายเป็นกึ่งโปร่งใส ทว่าแม้จะเป็นอย่างนั้น การจะจับหรือสังหารซูหมิงตอนไร้เกราะป้องกันเช่นนี้ก็ยังคงมีความเป็นไปได้เก้าส่วน!

ชายชราเผ่าหมานหรี่ตาลง เขาไม่คิดเลยว่าเกราะแม่ทัพเทพจะต้านทานอภินิหารรูปแบบแรกของเขาได้ แม้เกราะจะพังทลายลง กลับไม่อาจดูดวิญญาณของซูหมิงมา

“แสงแห่งหิ่งห้อย!” ชายชราแค่นเสียงหึ ก่อนเดินหน้าไปหาซูหมิง

ขณะเดียวกับที่เขาเดินเข้าไป หมาป่าโลหิตโปร่งใสไล่ตามซูหมิงไปและบุกโจมตีต่อ ราวกับว่าหากชิงวิญญาณของซูหมิงมาไม่ได้ มันก็จะไม่ยอมหายไป

ตอนพูดคล้ายช้าแต่ว่าความจริงรวดเร็ว หมาป่าโลหิตเข้ามาใกล้ในชั่วพริบตา มันโจมตีเข้าใส่ซูหมิงที่ไร้เกราะป้องกัน ทว่าทันใดนั้น พลันปรากฏระฆังใหญ่หนึ่งใบตรงหน้าซูหมิง!

ระฆังเขาหาน!

หมาป่าโลหิตโจมตีใส่ระฆังเขาหาน เสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหว ทั้งยังมีเสียงระฆังดังกึกก้อง เสียงระฆังสนั่นทำให้ชายชราเผ่าหมานหยุดชะงัก

ขณะเดียวกัน มีเส้นสีดำพุ่งมาจากจุดที่ระฆังเขาหานปะทะกับหมาป่าโลหิต ด้วยความเร็วอันน่าทึ่งของมัน ยามชายชราเผ่าหมานหยุดชะงักและตื่นตะลึงเพราะเสียงระฆังนั้น เส้นสีดำก็ตรงเข้าไปยังระหว่างคิ้วชายชรา

ทว่าชายชราเป็นขั้นวิญญาณหมานตอนต้น เขาได้สติกลับมาในชั่วเสี้ยววินาที จากนั้นสะบัดแขนเสื้อ คว้าเส้นสีดำเอาไว้ แต่สิ่งที่รอเขาอยู่กลับเป็นความเจ็บปวดตรงฝ่ามือและโลหิตพุ่งกระฉูด

เส้นสีดำทะลวงฝ่ามือเขา ทว่าขณะเดียวกัน เส้นสีดำก็ต้องแบกรับแรงจากฝ่ามือ หางมันแตกกระจาย กระเด็นถอยหลังไป

“นี่มันอะไร!” มือชายชราเผ่าหมานเป็นแผลเหวอะหวะ สีหน้าตื่นตะลึง

ขณะเดียวกับที่เขาถูกเส้นสีดำสร้างบาดแผลให้ หมาป่าโลหิตร่างยักษ์สลายตัวไปตรงหน้าระฆังเขาหาน ส่วนระฆังเขาหานย่อขนาดลงโดยพลัน กระเด็นกลับมาอยู่ในตัวซูหมิง

ซูหมิงกระอักโลหิตอีกครั้ง บาดแผลภายในสาหัสขึ้น เขากลับไม่หนีต่อ แต่ตรงเข้าใส่ชายชราเผ่าหมานอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาแดงก่ำ

ระยะห่างระหว่างทั้งสองคน เดิมทีก็ไม่ไกลกันอยู่แล้ว ซูหมิงพุ่งมาในขณะที่ชายชรามือเป็นแผลเหวอะมีสีหน้าตื่นตะลึง การพุ่งเข้ามาของเขาเหมือนกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ห่างจากชายชราไม่ถึงสามจั้ง

แมงเม่าบินเข้ากองไฟ!

ด้วยขั้นพลังของซูหมิง การทำแบบนี้ อธิบายได้เพียงแค่สำนวนดังกล่าว ทว่าหากไม่ทำแบบนี้ ซูหมิงก็หนีไม่พ้นและตายตกเช่นกัน ด้วยจิตใจอันแน่วแน่ที่กลั่นมาจากสนามรบ ทำให้ซูหมิงไม่เสียสติในวิกฤติเป็นตายเช่นนี้ แต่กลับโจมตีสวนคืนแทน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version