Skip to content

สู่วิถีอสุรา 380

ตอนที่ 380 หัวที่หก!

จิ่วอิงห้าเศียรบนท้องฟ้าแผดเสียงคำราม เสียงของมันปานฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้าง ชายชราเผ่าเชมันปากแหลมแก้มลิงไม่อาจทนไหว ล้มลงหมดสติไปแล้ว

ภายในถ้ำ หนอนงูแผดเสียงร้องแหลมเช่นกัน ดูจากลักษณะเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ และพุ่งออกไปได้ทุกเมื่อ ทว่าตราประทับของซูหมิงในตัวมันกับหัวจิ่วอิงทั้งห้าที่มันมองเป็นศัตรูเป็นของซูหมิง มันจึงระงับความคิดสังหารไว้

ส่วนชายชราเผ่าหมานในห้องหินหลับตาแน่น ตัวสั่นเทาแรงยิ่งขึ้น เสียงคำรามบนท้องฟ้าดังแว่วเข้ามา ทำให้สภาพเขาในตอนนี้เหมือนถึงขีดจำกัดที่จะทนรับไหว

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องโถงใหญ่กลางถ้ำ สองมือประสานมุทราไม่หยุด พลังฟ้าดินหลั่งทะลักเข้ามา ผสานกับจิตสัมผัสของเขาและทะลวงเข้าไปในระฆังเขาหาน

รอบตัวซูหมิงมีเศษหินวิญญาณเป็นวงกลม ดีที่เขามีหินวิญญาณเยอะ จึงใช้ได้อย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ซูหมิงหยิบหินวิญญาณจำนวนมากออกมาอย่างต่อเนื่อง และสูบพลังวิญญาณจากภายในจนหมด ก่อนหยิบหินวิญญาณในจำนวนเท่ากันออกมาอีกครั้ง

ซูหมิงทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาส่งพลังเข้าไปในระฆังเขาหานมากขึ้นทุกที หัวทั้งห้าแผดเสียงคำราม หัวที่หกของสัตว์จิ่วอิงก็เริ่มสั่นไหว

หลังจากที่มันสั่นไหว ซูหมิงสัมผัสถึงกำแพงกั้นในระฆังเขาหานได้อีกครั้ง เขารู้ดีว่าขอแค่ตนทำลายกำแพงนี้ หัวที่หกก็จะลืมตาตื่นขึ้น

ทว่าด้วยประสบการณ์ก่อนหัวที่ห้าจะตื่น ซูหมิงจึงรู้ว่าการทำลายกำแพงนั้นยากยิ่งนัก แต่เขาไม่ยอมแพ้ ใช้หินวิญญาณมาค้ำยันไว้ เหนี่ยวนำพลังฟ้าดินรอบตัวเข้ามาโจมตีใส่กำแพงหลายต่อหลายครั้ง

เขาโจมตีติดต่อกันห้าครั้ง ทุกการโจมตีจะทำให้กำแพงมายาเหมือนสั่นสะเทือน และทุกครั้งที่สั่นสะเทือน ร่างของหัวที่หกจะสั่นไหว เปลือกตาที่กลับสนิทเหมือนจะลืมขึ้น

ทว่าหากไม่ทำลายกำแพง หัวที่หกก็จะไม่อาจตื่นขึ้น นัยน์ตาซูหมิงวูบไหว สองมือประสานมุทราแล้วผลักไปด้านหน้าอีกครั้ง

“ลืมตา!”

เสียงอื้ออึงดังในความคิด กำแพงในระฆังเขาหานถูกโจมตีอีกครั้ง ร่างหัวที่หกพลันสั่นไหว ทว่าก็ยังไม่ตื่น

หลังจากลองมาแล้วแปดครั้ง ซูหมิงจึงเข้าใจ

ตามหลักการทั่วไปแล้ว หัวที่ห้าถือเป็นขีดขำกัดในขั้นพลังของเขาตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าทุกหนึ่งหัวหลังจากหัวที่สี่ของระฆังเขาหาน การจะปลุกให้ตื่นจำเป็นต้องมีขั้นพลังมหาศาลมาค้ำจุน ไม่มีทางง่ายเหมือนสี่หัวแรก

ขั้นพลังเขาตอนนี้ขาดอีกเพียงนิดเดียวก็จะสามารถปลุกหัวที่หกให้ตื่นขึ้นได้ ทว่าความห่างเพียงนิดเดียวนี้กลับเหมือนหุบเขา ทำให้คนไม่อาจข้ามผ่าน

‘เมื่อเป็นเช่นนี้คงต้องยืมพลังจากภายนอก!’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย ไม่ประสานมุทราอีก แต่ยืนขึ้นแล้วถอยไปหลายก้าว จนมาถึงส่วนลึกที่สุดของถ้ำ ตรงผนังหินภูเขาที่มีรอยแยกหลายเส้น และทำให้เทือกเขานี้หายใจได้

ทันทีที่เข้ามาใกล้ ซูหมิงยกมือขวาขึ้นกดลงไปบนนั้น ผนังหินพลันสั่นสะเทือน เกิดรอยแยกใหม่ขึ้น เมื่อรวมกับรอยแยกก่อนหน้านี้ บวกกับพลังฝ่ามือของซูหมิง จึงทำให้รอยแยกทะลวงผ่านผนังหินเชื่อมกับโลกภายนอก

หลังจากรอยแยกเพิ่มขึ้น ลมหายใจอ่อนแรงก่อนหน้านี้เหมือนกลายเป็นหายใจกระชั้นถี่ในพริบตา ทันใดนั้น ลมหายใจทั้งเทือกเขาพลันรุนแรงขึ้น ทั้งยังทำให้พลังฟ้าดินขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า เทือกเขาแห่งนี้จึงเกิดน้ำวนยักษ์ขึ้นอีกครั้ง

น้ำวนนี้เกิดขึ้นจากการรวมของพลังฟ้าดิน เมื่อปรากฏน้ำวนในตอนนี้ จิตสัมผัสของซูหมิงกระแทกเข้าใส่ระฆังเขาหาน

กำแพงในระฆังเกิดเสียงกึกๆ ในความคิดซูหมิงปานจะถล่มลงมา ร่างของหัวที่หกสั่นไหวรุนแรงยิ่งขึ้น ก่อนค่อยๆ เงยหน้า ดวงตาเปิดเป็นร่องแคบๆ

‘วิธีนี้ไม่เลว ยืมรูปแบบของที่นี่มาช่วยให้ข้าทะลวงขีดจำกัดนั้น ยืนหยัดอีกสิบลมหายใจก็จะสำเร็จ’ ทว่าทันใดนั้น ซูหมิงหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว พลังฟ้าดินส่วนนี้มากเกินไป จิตสัมผัสซูหมิงเหมือนเรือกลางคลื่นยักษ์ ควบคุมได้ยาก ถึงอย่างไรขั้นพลังเขาก็ยังไม่มากพอ

เห็นพลังฟ้าดินมหาศาลกระจายโดยรอบประดุจม้าป่าบังเหียนหลุด

ดวงตาซูหมิงมีเส้นเลือดฝอย หากพลังฟ้าดินกระจายออกไปข้างนอก ต่อให้ยังรวมกลับเข้ามาใหม่ได้ แต่หากไม่อาจยืมพลังในการเปิดหัวที่ห้ามาปลุกหัวที่หกในทีเดียว เกรงว่าหลังจากนี้คงยากจะทำสำเร็จในเวลาอันสั้น เว้นแต่ขั้นพลังจะสูงขึ้นอีกมาก

หากต้องเผชิญหน้ากับผลลัพธ์แบบนั้น ซูหมิงจะต้องสู้!

เขากัดปลายลิ้นพ่นโลหิต จากนั้นกระดูกหมานสี่ชิ้นในตัวเขาสั่นไหวตาม ปลดปล่อยพลังเซ่นไหว้กระดูกทั้งหมดของเขาในตอนนี้

ขณะเดียวกัน พลังจากปราณที่กลายเป็นของเหลวในเส้นเลือดลมโคจรอย่างรวดเร็วและน้อยลงเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดแทบจะหายไปจนหมด พลังปราณที่หายไปเหล่านั้นหลั่งทะลักเข้าสู่จิตสัมผัสของซูหมิง เขาจึงฝืนควบคุมจิตสัมผัสที่กำลังจะพังลงเพราะพลังฟ้าดินเอาไว้ได้

หนึ่งลมหายใจ สองลมหายใจ…หลังจากสองลมหายใจ พลังฟ้าดินมหาศาลกระจัดกระจายอีกครั้ง ซูหมิงจึงยกมือขวาขึ้น แล้วกดนิ้วบนตัวอย่างต่อเนื่องหลายครั้งปานสายฟ้า ทุกจุดที่กดนิ้วลงล้วนเป็นจุดที่เชื่อมกับเส้นเลือดลมในตัวเขา

หลังจากกดหลายครั้ง ก็เค้นพลังปราณที่เหลืออยู่ในร่างกายออกมา บวกกับพลังเซ่นไหว้กระดูก ทำให้สุดท้ายแล้วพลังฟ้าดินยืดยาวต่อไปได้อีกสองลมหายใจ

ระหว่างสี่ลมหายใจนี้ กำแพงไร้รูปในระฆังเขาหานถูกทำลาย หัวที่หกพลันลืมตาขึ้น ดวงตามันเป็นประกายสีเทาวูบวาบ หัวที่หกตื่นขึ้นแล้ว!

มันเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า รวมกับหัวทั้งห้าที่เหลือ ส่งเสียงสะเทือนนภา ก้องกังวานรอบแปดทิศ ขณะเดียวกัน ชายชราเผ่าหมานที่บาดเจ็บสาหัสนอนอยู่ในถ้ำของซูหมิงก็ทนไม่ไหวอีก ขับหมอกโลหิตออกจากตัวมาไม่มาก ก่อนหมดสติไปทันที อาการหมดสตินี้เป็นเจตนาของตัวเขาเอง

บนท้องฟ้า ภายในดวงตาของหัวที่หกปรากฏเงาร่างของซูหมิง ยามนี้หัวทั้งหกแผดเสียงคำรามทรงอานุภาพ น่าเสียดายคนที่เห็นมีไม่เยอะ ที่นี่เป็นถิ่นค่อนข้างกันดารในเผ่าเชมัน มิเช่นนั้นคงจะเป็นที่สนใจไม่น้อย

ลักษณะของจิ่วอิงดูเหมือนกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เผ่าเชมัน หากใครเห็นเข้าคงยากที่จะไม่ตกใจ

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ ยามนี้ใบหน้าซีดขาว ทว่าแววตาตื่นเต้น เขาอยากลองปลุกหัวที่เจ็ดดู เพียงแต่ยามนี้ร่างกายอ่อนแอ เสียหินวิญญาณไปจำนวนมาก อีกอย่างเขารู้ว่าด้วยขั้นพลังในตอนนี้ การจะปลุกหัวที่เจ็ดเป็นไปไม่ได้เลย

ท่ามกลางความเงียบ เขายอมถอดใจไม่ไปต่อ แต่ประสานมุทราแล้วชี้นิ้วมือขวาขึ้นด้านบน

“จิ่วอิง คำสั่งสังหารจักรพรรดิแดนใต้ เก็บ!” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา เมื่อเขาชี้นิ้วขึ้นไป เงาสัตว์จิ่วอิงยักษ์บนท้องฟ้าเลือนรางอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็โปร่งใสและหายไป ส่วนระฆังเขาหานพลันย่อขนาดลง กลายเป็นแสงดำตรงมายังเทือกเขา มุดเข้ามาตามรูบนผนังถ้ำ แล้วลอยอยู่ตรงหน้าซูหมิง

ยามนี้ระฆังเขาหานดูเหมือนกระดิ่งโบราณธรรมดาๆ ให้ความรู้สึกเก่าแก่

ขณะซูหมิงมองไป เขามีความรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเขา แม้หลับตาอยู่ก็ยังรู้สึกถึงมัน เพียงความคิดเคลื่อนไหวก็ควบคุมมันได้

‘หลังจากหัวที่หกตื่นขึ้นก็มีอภินิหารเพิ่มเข้ามา…ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเช่นนี้…” ซูหมิงหลับตา สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงในระฆังเขาหานจากการตื่นขึ้นของหัวที่หก ผ่านไปพักใหญ่เขาจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นและเหม่อลอย

ซูหมิงขมวดคิ้ว หลังจากกินเม็ดโอสถไปเล็กน้อยแล้วก็ไม่ได้โคจรอีก แต่ยืนขึ้นเดินไปเดินมาในถ้ำ ราวกับกำลังลังเลเรื่องที่ยากจะติดสินใจอะไรบางอย่าง

‘ดูท่าแบบนี้ ต่อให้ฝึกฝนถึงระดับที่มั่นคงแล้ว การจะปลุกหัวที่เจ็ดก็ยังเป็นไปไม่ได้…..ทว่าขณะเดียวกัน หากปลุกหัวที่เจ็ดได้ การแปรเปลี่ยนจะบรรลุถึงระดับที่น่าสะพรึงอย่างยิ่ง…หากที่ข้าคิดไว้ไม่ผิด จากการคาดเดาฤทธิ์เดชของหัวที่หก เมื่อหัวที่เจ็ดตื่นขึ้น มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะอัญเชิญวิญญาณสัตว์จิ่วอิงที่แท้จริงมาได้…’

ซูหมิงหยุดเท้า แววตาเด็ดขาด

‘เรื่องนี้ไม่ต้องลังเลแล้ว เดิมทีแผ่นดินเชมันมีอันตรายอย่างยิ่ง คงเลี่ยงการสังหารไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น….’ ซูหมิงมองระฆังเขาหานที่ลอยอยู่กลางอากาศด้านข้างด้วยสีหน้าซับซ้อน

‘ข้าต้องทำตามเงื่อนไขในการปลุกหัวที่เจ็ดให้สำเร็จ!’ ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อ ระฆังเขาหานพลันบินมาทางเขาแล้วผสานรวมเข้าไปในร่างกาย

‘ระฆังนี้เป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ ทว่ามันวางอยู่ในเมืองเขาหานนานขนาดนั้น เหตุใดถึงไม่มีใครมาเอามันไป มีแค่ซือหม่าซิ่นกับข้าที่แย่งกัน…เผ่าหมานไม่สิ้นผู้แข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีคนจากเผ่าเซียนลงมาอย่างลับๆ เหตุใดพวกเขาถึงไม่เห็นระฆังนี้…เว้นแต่พวกเขาจะเอามันไปไม่ได้ หรือไม่ก็…ไม่กล้าแตะมัน?’ ซูหมิงเคยสงสัยปัญหาข้อนี้ ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ

เขาส่ายหัวและไม่สนใจเรื่องนี้อีก แต่นั่งขัดสมาธิลง ปรับลมหายใจ พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามวัน

สามวันให้หลัง ชายชราเผ่าเชมันที่หมดสติอยู่นอกเทือกเขาลืมตาขึ้น เขากลอกตาไปมาหลายครั้ง ก่อนยืนขึ้นอย่างเงียบๆ หลังจากมองไปรอบตัวแล้วก็ค่อยๆ ถอยไป

“จะไปอย่างนี้รึ” ขณะกำลังถอย เสียงเย็นชาของซูหมิงดังแว่วมาจากในเทือกเขาในพริบตา เมื่อเข้าถึงหูชายชรา เขาพลันหยุดชะงัก รีบเค้นรอยยิ้มบนใบหน้า

“ไม่มีธุระอะไรแล้ว ข้าเลยจะกลับ ไม่ได้กลับไปเสียหลายวัน ในชนเผ่ายังมีเรื่องอีกมากรอข้าอยู่ ภูเขาลูกนี้เป็นของท่าน” ชายชรารีบกล่าว จนถึงตอนนี้เขายังไม่เห็นตัวซูหมิง ในใจหวาดกลัวผู้ดูดวิญญาณเชมันระดับกลางผู้นี้ยิ่งนัก

ภาพก่อนที่จะหมดสติทำให้เขาตื่นตระหนก ยามนี้จึงไม่มีความคิดจะต่อสู้กับอีกฝ่ายอีก

“รอบเขตนี้ในระยะสามพันจั้ง…” เสียงซูหมิงลอยมาเนิบช้า แต่ยังกล่าวไม่จบ ชายชราเผ่าเชมันก็พยักหน้าขานรับ

“ข้ารู้ๆ ในระยะสามพันจั้ง ข้าจะกลับไปบอกชาวเผ่าว่าห้ามเข้ามาเด็ดขาด…ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าก็ขอตัวก่อน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version