ตอนที่ 382 เผ่ากระเรียนดำ
ชายชราสองคนเข้ามาพยุงจ้าวเผ่ากระเรียนดำ มุมปากเขามีโลหิตรินไหล ขาขวาดูไม่เป็นรูปร่าง เนื้อแตกและมีกระดูกหักอยู่ข้างใน โลหิตหยดลงพื้น ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้ชายร่างกำยำหน้าซีด เหงื่อเม็ดโตไหลออกจากหน้าผาก
“ไป!” เขากัดฟัน กล่าวเสียงต่ำเหมือนลอดผ่านไรฟัน ชายชราสองคนข้างกายเขาไม่กล่าว รีบพาเขาถอยไปอย่างเร่งรีบจนห่างหลายร้อยจั้ง แล้วจึงกลายเป็นสายรุ้งยาวจากไป
จนถึงตอนนี้ ซูหมิงกล่าวเพียงหนึ่งประโยค เขามองชายร่างกำยำจากไปด้วยแววตาเย็นชา ไม่ได้ห้ามปราม ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มาเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องฐานะอีก เขาเพียงแค่อยากฝึกฝนอย่างเงียบๆ และตระหนักรู้วายุกับอัสนี ทำให้ขั้นพลังสูงขึ้น ฉะนั้นจึงไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว
โดยเฉพาะเมื่อเขาเป็นคนนอก ไม่ใช่เผ่าเชมันที่มีรากฐานมั่นคงเหล่านี้ ต่อให้เป็นเผ่าเล็ก ทว่าหากกระทบกระทั่งกันมากเกินไปอาจนำมาซึ่งปัญหาได้
ส่วนเหมืองผลึกเชมันนั้น แม้ซูหมิงจะสนใจ กลับไม่ได้อยากครองไว้เพียงคนเดียว ซูหมิงเคยลองขุดผลึกเชมันมาแล้ว หากไม่ใช้วิธีการพิเศษ เพียงกระแทกมันก็จะแตกทันที เขาเคยลองใช้กระบี่เล็กแสงดำจนได้มาเจ็ดแปดก้อน แต่ขณะขุดก็เสียผลึกเชมันไปจำนวนมากเช่นกัน
เว้นแต่จะใช้มือ ยอมเสียเวลาค่อยๆ ขุดมันทีละนิด ถึงจะได้ผลประโยชน์สูงสุด
ฉะนั้นเขาจึงทำให้เผ่าโคขาวหวาดกลัว ทว่าไม่ได้ลงมือสังหาร
ส่วนเผ่ากระเรียนดำ ขอแค่ไม่ล้ำเส้นเขาก็จะไม่สังหาร แม้วันนี้จะลงมือหนักก็ถือเป็นการข่มขวัญ มีเพียงทำให้สองเผ่านี้หวาดกลัวเท่านั้น ถึงจะรู้ถึงความอ่อนแอและแข็งแกร่งของสองเผ่าและมีโอกาสคุยกัน
เห็นสามคนแห่งเผ่ากระเรียนดำจากไป ซูหมิงก็หมุนตัวกลายเป็นเงามายาวูบไหวเข้าไปในเทือกเขา ส่วนวานรเพลิงดูไม่พอใจ มันรู้สึกว่าเมื่อครู่นี้ ต่อให้ซูหมิงไม่มา มันก็สู้กับชายร่างกำยำได้เหมือนกัน
ยามนี้มันถือกระบอง ทำมืออธิบายไปทางแผ่นหลังของซูหมิง ก่อนกลายเป็นเงาสีแดงเพลิงลาดตระเวนอยู่รอบๆ เพื่อหาว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาอีกหรือไม่
เวลาผ่านไปอีกหลายวัน ซูหมิงไม่เคยออกจากถ้ำอีกเลย และไม่มีใครมารบกวนด้วย ช่วงเวลาเช่นนี้แม้จะน่าเบื่อ ซูหมิงกลับไม่สนใจ เขาชินกับการมีจิตใจสงบแล้ว ถึงตอนนี้จะอยู่ต่างถิ่น แต่ความจริงแล้วสำหรับเขา นอกจากภูเขาทมิฬกับยอดเขาลำดับเก้า แทบทุกที่คือต่างถิ่นทั้งสิ้น
ซูหมิงชินกับวิถีชีวิตแบบนี้มานานแล้ว เขาศึกษาผลึกผู้สืบทอดหมานวายุตลอด สิ่งนี้มีขนาดเท่ากำปั้น ดูสว่างพร่างพราว ภายในมีสายลมอยู่ประหนึ่งเมฆลมม้วนตัว น่าสนใจอย่างน่าประหลาด
‘วิชาแยกวายุ…ต้นกำเนิดวายุ…’ ซูหมิงขมวดคิ้ว จ้องผลึกผู้สืบทอดหมานวายุในมือพลางขบคิด
‘หากไม่อาจสลายผลึกผู้สืบทอดหมานวายุ ก็ไม่มีทางเข้าใจสามรูปแบบแยกวายุ ต้นกำเนิดวายุใช้ได้เพียงพื้นฐานเท่านั้น เมื่อโคจรในร่างกายจะแค่ทำให้ข้ารวดเร็วขึ้นเล็กน้อย
ทว่าหมานวายุคำนี้มิใช่เพียงแค่ความเร็ว…ต้องทำอย่างไรถึงจะให้ผลึกผู้สืบทอดหมานวายุยอมรับข้า’ หลายวันมานี้ซูหมิงขบคิดทุกวิถีทาง ต่อให้เป็นเศษหินสีดำก็ไม่อาจช่วยให้เขาบรรลุความปราถนา มันไม่ตอบรับคำร้องของซูหมิงแม้แต่น้อย
‘หรือว่า เว้นแต่จะเป็นเทพแท้จริงหมานวายุตัวจริง มิเช่นนั้นแล้วคนอื่นไม่มีทางเป็นผู้สืบทอด….’ ซูหมิงกำผลึกหมานวายุแน่น นัยน์ตาวาววับเคร่งขรึม
เขารู้ข้อบกพร่องทุกอย่างของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพลังแห่งเทพหมานหรือระฆังเขาหาน ถึงอย่างไรพลังภายนอกก็ไม่ใช่ขั้นพลังที่แท้จริงของเขา พลังภายนอกอาจเป็นของเขาตอนนี้ ทว่าก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่ใช่ของเขาอีกในอนาคต
มีเพียงขั้นพลังกับอภินิหารที่จะเป็นพื้นฐานและจุดสำคัญของผู้แข็งแกร่ง
ทว่าซูหมิงมีวิชาและอภินิหารน้อยยิ่งนัก นอกจากวิชาหมานสังหารที่ตนสร้างขึ้นเองแล้ว ก็มีวิชาสามตัดสังหารและความเร็ว
วิชาเหล่านี้อันตรายถึงชีวิต ระหว่างทางมาเผ่าเชมัน ซูหมิงได้สัมผัสมันอย่างลึกซึ้งแล้ว ฉะนั้นเขาจึงทุ่มเทศึกษาผลึกแห่งผู้สืบทอดหมานวายุเพื่อเสริมวิชาและอภินิหารให้แกร่งยิ่งขึ้น
ทว่าสุดท้ายกลับจนปัญญา แม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังไม่ยอมถอดใจ ลองผสานผลึกหมานวายุต่อไป สิ่งนี้เป็นเหมือนกุญแจดอกหนึ่งที่จะไขจุดสำคัญของผู้สืบทอดหมานวายุ
ขณะซูหมิงกำลังลองโดยไม่หยุดพัก ทางตะวันออกของเทือกเขา ณ เทือกเขาเตี้ยห่างจากตรงนี้ไปหมื่นลี้ มียอดเขาไม่สูงอยู่ลูกหนึ่ง
ภูเขาลูกนี้พิลึกยิ่งนัก มองแวบแรกจะต้องจำจดได้อย่างลึกซึ้ง เพราะลักษณะของมันดูเหมือนนกกระเรียนกำลังสยายปีกบินขึ้น!
นกกระเรียนไม่มีอยู่ในแผ่นดินเผ่าเชมัน ต่อให้เป็นเผ่าหมานก็ไม่มี สิ่งนี้เป็นของเผ่าเซียน เป็นสิ่งมีชีวิตของเผ่าเซียนที่มีปัญญาชั้นยอด
ทว่าภูเขาที่ถูกแกะสลักเป็นรูปกระเรียนนี้กลับปรากฏอยู่บนแผ่นดินเชมัน อีกทั้งตรงกลางภูเขายังมีชนเผ่าที่ใช้คำว่ากระเรียนเป็นชื่อ จึงทำให้ผู้คนต้องขบคิด
เพียงแต่ที่นี่เป็นถิ่นกันดารห่างไกล บวกกับกระเรียนดำเป็นเผ่าขนาดเล็ก ชาวเผ่าแทบจะไม่ออกไปไหนไกล คนที่สนใจจึงมีไม่มาก ฉะนั้นความแปลกของเผ่ากระเรียนดำจึงไม่ถูกแพร่งพรายออกไปไกลนัก
ยามนี้กลางภูเขา ภายในเรือนที่ขุดจากหิน ชายร่างกำยำขาขวาหักกำลังหลับตาแน่น ตัวสั่นเทา เขาเปลือยท่อนบน เหงื่อไหลโชกเป็นน้ำ
ด้านหน้าเขามีหญิงชรานั่งอยู่ผู้หนึ่ง เส้นผมสีดอกเลา บนใบหน้ามีกระสีน้ำตาลจำนวนมาก สองมือแห้งเหี่ยวกำลังกดบนขาขวาชายร่างกำยำ
เสียงพิลึกคล้ายคาถาดังมาจากปากหญิงชรา
ด้านหลังหญิงชราตรงประตูใหญ่ของเรือนพัก มีชาวเผ่ากระเรียนดำห้าคนกำลังนั่งขัดสมาธิ พวกเขาล้วนมีสีหน้ากังวลใจ เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
พวกเขาไม่ได้แค้นชายร่างกำยำ แต่เงยหน้าขึ้นเป็นบางครั้ง แล้วมองทอดไกลออกไปทางตำแหน่งถ้ำของซูหมิง
“คนลงมือไม่คิดสังหาร ขาเจ้ารักษาได้ ทว่าต้องนานหน่อย ราวๆ ครึ่งปีได้ ภายในครึ่งปีนี้อย่าบาดเจ็บอีก มิเช่นนั้นอาจพิการ” ผ่านไปพักใหญ่ หญิงชราหยุดร่ายคาถาพิลึก นางลืมตาขึ้นกล่าวเรียบๆ สองดวงตาขุ่นมัว
กล่าวจบหญิงชรายืนขึ้น ประคองตัวเดินไปทางประตูใหญ่ จังหวะก้าวไม่ได้เบาเท่าผู้ฝึกตน ทว่าก็ไม่หนักเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา
“ประคองท่านหมอเชมันลงไป” ชายร่างกำยำเปลือยท่อนบนลืมตาขึ้น มีสีหน้าเหนื่อยล้ายามกล่าวเสียงหนักแน่น
ทันใดนั้น มีชาวเผ่ากระเรียนดำตรงเข้ามาประคองหญิงชราลงไป
“จ้าวเผ่า ข้ารวมนักรบทั้งหมดในเผ่าแล้ว รอแค่ท่านจ้าวเผ่าออกคำสั่ง!” หลังจากหญิงชราลงไป ในกลุ่มคนที่เหลือในเรือนพักพลันมีชายชราผู้หนึ่งยืนขึ้น เขามีผมสีดอกเลาทั้งศีรษะ เดินหน้ามาหลายก้าวพร้อมกับกล่าวเสียงดัง
“จ้าวเผ่า พวกเราเผ่ากระเรียนดำทนไม่ไหวแล้ว บุคคลนี้มีสิทธิ์อะไรมายึดเหมืองผลึกเชมันของพวกเรา เขาเพียงคนเดียว ต่อให้ขั้นพลังสูงกว่านี้อีก อย่างมากพวกเราก็เซ่นไหว้โลหิตเผ่า เชิญบรรพบุรุษกระเรียนมา!” อีกคนหนึ่งกล่าวด้วยเสียงทะมึน เขาเป็นชายรูปร่างผอมแห้ง อ่านอายุไม่ออก นั่งอยู่ตรงนั้นปานโครงกระดูก
คนอื่นๆ ก็กล่าวตาม น้ำเสียงมีจิตสังหารเดือดพล่าน
“หุบปากให้หมด!” ชายร่างกำยำขาขวาหักตบบนเก้าอี้ไม้หนึ่งที
“เขาไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีวานรเพลิงติดตามด้วยตัวหนึ่ง อีกทั้งบนเทือกเขานั่น ข้ายังรู้สึกว่าเขายังซ่อนกลอุบายน่าสะพรึงอะไรเอาไว้อีก นอกจากนั้นแล้ว พวกเจ้าก็เห็นว่ายังมีสัตว์เก้าเศียรที่ปรากฏตัวกลางฟ้าดินแปรเปลี่ยนอีก ลำพังแค่สัตว์ตัวนั้น พวกเราเผ่ากระเรียนดำก็รับมือไม่ไหวแล้ว ข้าไปก็เพื่อหยั่งเชิงและความมั่นใจในครั้งสุดท้าย หลังจากจ้าวเชมันกลับมาแล้วจะได้อธิบายถูก พวกเจ้าจะไปเพื่ออะไร อยากไปตายอย่างนั้นรึ!” ชายร่างกำยำกวาดสายตามองทุกคนด้วยความเย็นชา
“ทุกอย่างรอจ้าวเชมันกลับมาค่อย…” ชายร่างกำยำยังกล่าวไม่จบก็พลันหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้น
ขณะเดียวกัน มีเสียงลากยาวมาจากท้องฟ้าเหนือเทือกเขาชนเผ่า เสียงก้องกังวานโดยรอบ ทั้งยังมีลมพายุก่อตัวขึ้น ส่งเสียงดังครืนๆ โอบล้อมภูเขา
ไม่เพียงแค่ชายร่างกำยำที่เงยหน้าขึ้น ทุกคนในเรือนพักยามนี้ล้วนมีสีหน้าตึงเครียด พากันยืนขึ้น มีสองคนเข้ามาพยุงชายร่างกำยำ ก่อนทยอยกันเดินออกจากเรือนพักอย่างเร่งรีบ
แทบจะเป็นช่วงที่พวกเขาเดินออกมา ชาวเผ่าทั้งหมดในเรือนพักบนยอดเขาแห่งนี้ล้วนเดินออกมาข้างนอก แล้วคุกเข่ามองท้องฟ้า
“ยินดีต้อนรับท่านจ้าวเชมัน!”
เสียงดุจลูกคลื่น ม้วนตัวปานหลอมรวมกับสายลม ขณะก้องกังวานโดยรอบ บนท้องฟ้ามีสายรุ้งยาวสีดำหนึ่งเส้นบินลงมา ในสายรุ้งนั้นมีนกกระเรียนใหญ่ขนาดเกือบห้าสิบจั้ง ทั้งตัวเป็นสีดำ ดวงตามีเปลวเพลิงดุร้าย กำลังกระพือปีกบินลงมา
บนตัวนกกระเรียนดำมีชายชราสวมเสื้อยาวสร้างขึ้นจากขนนกยืนอยู่ผู้หนึ่ง
บนใบหน้าชายชรามีลายเส้นสีดำจำนวนมาก ทั้งยังมีรอยเหี่ยวย่น ทว่าดวงตากลับแวววาว
ข้างกายเขามีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ บุคคลนี้สวมเสื้อสีแดง บนเสื้อปักลายหนอนงูจำนวนมาก รูปร่างหนอนงูเหล่านั้นเป็นลายพร้อยดูน่าสะพรึงยิ่งนัก ศีรษะสวมงอบหนึ่งใบ มองเห็นหน้าตาไม่ชัด ทว่าจากรูปร่างน่าจะเป็นสตรี
“จีฮูหยิน นี่คือเผ่าของข้า จีฮูหยิน เชิญ” บนนกกระเรียนดำ ชายชรากวาดสายตามองแผ่นดิน ใบหน้าเผยรอยยิ้ม ช่วงที่มองสตรีนางนั้น รอยยิ้มกลายเป็นความเคารพ ก่อนประสานมือคารวะนาง
สตรีสวมงอบที่ไม่เห็นหน้าตาและไม่รู้อายุผู้นี้พยักหน้าเล็กน้อย นกกระเรียนดำใต้ชายชราพลันบินไปทางยอดเขา พริบตาเดียวก็เข้าไปใกล้ ขณะห้อเหยียดตัวมันพลันปล่อยหมอกดำจำนวนมาก ขณะบินลงมา หมอกดำก็มากขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้จะปะทะกับยอดเขา กระเรียนดำถึงกลายเป็นหมอกดำหายไปทั้งหมด ชายชรากับจีฮูหยินผู้สวมงอบยืนอยู่บนยอดเขาตรงหน้าพวกของชายร่างกำยำที่ขาหัก
“คารวะจีฮูหยิน” ชายร่างกำยำขาหักเห็นชายชรากับจีฮูหยินแล้วก็รีบคุกเข่าลง ทว่าก็ต้องเจ็บขาขวา ทำให้ใบหน้าขาวซีดขาวยิ่งขึ้น
“หืม? ขาเจ้าเป็นอะไร?” จ้าวเชมันเผ่ากระเรียนดำพลันเพ่งสายตามอง