ตอนที่ 391 ปะทุ
โดยรอบเงียบสงัด แสงจันทร์สาดส่องลงพื้น ประหนึ่งเห็นเพียงภาพมายา แสงจันทร์เต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น ทว่าหากมองบนพื้นจะต้องตกตะลึง เพราะบนแผ่นดินมีเศษเนื้อเต็มไปหมด ปะปนกับคราบโลหิตอีกไม่น้อย สายลมพัดพากลิ่นคาวเลือดอยู่นานก็ยังไม่จางหาย
ในเศษเนื้อชิ้นหนึ่งมีแหวนสีแดงวงหนึ่งขยับแสงสีแดงวิบวับ ตรงเศษเนื้ออีกจุดที่อยู่ไม่ไกลกัน มีถุงสีชมพูหนึ่งใบ ทว่าตอนนี้ขาดชำรุดแล้ว
บนแผ่นดินห่างไกลยังมีศพหนังหุ้มกระดูกอีกหนึ่งคน ศพนี้เป็นของชายร่างกำยำเผ่ากระเรียนดำ บุคคลนี้ตายอนาถยิ่งนัก หนังทั้งตัวแทบหุ้มกระดูก ไม่มีเศษเนื้อแม้แต่น้อย ทั้งยังดูเหมือนกิ่งไม้แห้ง ใบหน้าเขาดูไม่เหมือนตอนยังมีชีวิต ดวงตาเว้าลึกปานโครงกระดูก
พลังชีวิตทั้งหมดในตัวเขาหายไปจนหมด กลิ่นเหม็นเน่าโชยมาจากท่อนล่าง ผสมกับกลิ่นคาวเลือดที่ลอยมากับสายลม กลายเป็นกลิ่นที่อธิบายไม่ถูก
เสี่ยวหงไม่รู้ว่าไปที่ใด ตอนซูหมิงต่อสู้กับจีฮูหยินมันก็วิ่งหนีไปอย่างบ้าคลั่ง
ภายใต้แสงจันทร์ ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เขาตัวสั่นเทา หลับตาแน่น ใบหน้าเป็นสีชมพู ทั้งยังมีเส้นเลือดดำปูดโปนจำนวนมาก มีสีหน้าดิ้นรนและเจ็บปวด
การโจมตีสวนกลับของจีฮูหยินก่อนตาย มารดอกท้อดอกสุดท้ายนั้นซูหมิงหลบไม่ทัน หลังจากหมอกมารดอกท้อไหลเข้าสู่ทวารทั้งเจ็ดก็กลายเป็นอารมณ์ชั่ววูบและตัณหาที่ซูหมิงแทบไม่อาจควบคุมไหว ความกระหายจู่โจมสติเขาอย่างบ้าคลั่ง หากความกระหายชนะ เขาจะควบคุมตัวเองไม่ได้
ซูหมิงในยามนี้ความคิดสับสน เงาร่างสตรีที่เคยพบในชีวิตวูบผ่าน กลายเป็นเสียงหอบและความงดงาม ทำให้ซูหมิงหายใจกระชั้นถี่มากขึ้น
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ซูหมิงลืมตาขึ้น ในดวงตามีเส้นเลือดฝอย ทั้งตัวดูดุร้ายยิ่งนัก โดยเฉพาะในลูกตาลุ่มลึก มีเปลวเพลิงปานลุกโชติช่วง ภายใต้เปลวเพลิงนั้น ซูหมิงเงยหน้าร้องคำรามขึ้นฟ้า
เสียงคำรามดังกังวาน แผ่กระจายรอบแปดทิศ
‘นี่ไม่ใช่ยาเสน่ห์บริสุทธิ์ แต่มันเป็นคำสาปที่กระตุ้นสัญชาตญาณดั้งเดิมในร่างกาย!’ สีหน้าซูหมิงดิ้นรนขึ้นเรื่อยๆ ยามนี้เขายังฝืนสติตัวเองเอาไว้ ในสติที่เหลืออยู่ไม่มาก เขาวิเคราะห์ความรู้สึกในร่างกายอย่างรวดเร็ว เชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่จีฮูหยินเล่าให้ฟัง เดาไม่ยากว่ามารดอกท้อนี้คือสิ่งที่จีอวิ๋นไห่ปลูกในตัวจีฮูหยิน
สิ่งนี้เพาะบ่มมาหกสิบปี ตอนนี้มันส่งผลรุนแรงอย่างยิ่ง
‘ขับไล่ภาพในความคิด เหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งกามารมณ์ หากถูกความปรารถนาครอบงำ เช่นนั้นข้าก็จะเป็นอย่างจีฮูหยิน ต่อให้หาสตรีมาทำเรื่องอย่างว่าก็ไม่อาจหลุดพ้นจากวิชานี้ อีกทั้งข้ายังคิดไว้ว่าหากควบคุมตัวเองไม่ได้ หากหลงเข้าไป ก็คงจะเป็นอย่างนั้นชั่วนิรันดร์ ยากจะออกมา…
เว้นแต่ข้าจะใช้พลังของตัวเองระงับความปรารถนานี้!’ ซูหมิงยกมือขวาอย่างรวดเร็ว ดวงตาเป็นสีแดง ใช้มือกดตามตัวหลายครั้งอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับไร้ผล ต่อให้เป็นเศษหินสีดำตรงคอก็ไร้ประโยชน์
‘เศษหินสีดำทำให้ข้าไม่ถูกสิ่งภายนอกรบกวน ทว่าตอนนี้…..มันมิใช่สิ่งภายนอก แต่เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมในตัวข้าถูกมารดอกท้อขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด เมื่อเป็นเช่นนั้น เศษหินสีดำย่อมไร้ประโยชน์…..’ ซูหมิงตัวสั่นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เส้นผมเขาเริ่มไม่ใช่สีดำ แต่ค่อยๆ กลายเป็นสีแดงจากจุดรากผม
เส้นผมเขาลุกลามเป็นสีแดงด้วยความเร็วเกือบในระดับสายตา พริบตาเดียวก็กลายเป็นสีแดงครึ่งหนึ่ง ขณะเดียวกัน สีชมพูบนใบหน้าเขาตกตะกอน ทำให้ซูหมิงกลับมาหน้าขาวซีดอีกครั้ง ทว่าสีชมพูที่หายไปกลับไปรวมอยู่ตรงหน้าอกเขา
เส้นเลือดดำบนใบหน้าซูหมิงราวกับจะระเบิดออก ตรงระหว่างคิ้วขยับแสงตราประทับกระบี่ กระบี่เล็กแสงดำถูกบีบออกมา มันบินวนส่งเสียงร้องไปรอบๆ ราวกับมีท่าทีร้อนใจยิ่งนัก
ซูหมิงยกสองมือขึ้น จับดินสองข้างลำตัวเอาไว้แน่น แล้วทะลวงลึกลงไป
ตรงระหว่างคิ้ว ตรากระบี่ค่อยๆ เลือนหาย เริ่มปรากฏตราดอกท้อขึ้นมาอย่างช้าๆ ขณะเดียวกัน เส้นผมเขากลายเป็นสีแดงมากกว่าครึ่ง ทั้งตัวดูเปลี่ยนไปมาก ต่างจากตัวเขาที่สงบนิ่งดุจน้ำราวกับคนละคน
บนตัวซูหมิง ยามนี้มีเหงื่อผุดขึ้นจำนวนมาก เม็ดเหงื่อเหล่านั้นทำให้ตัวเขามีกลิ่นอย่างบอกไม่ถูก กลิ่นนั้นหากสตรีได้กลิ่นจะต้องจิตใจว้าวุ่น ระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่
ซูหมิงมีสีหน้าเจ็บปวดยิ่งขึ้น ใช้สองมือจับดินเอาไว้ แทบจะใช้พลังทั้งหมด ทว่าพลังของมารดอกท้อรุนแรงเกินไปจริงๆ ซูหมิงยืนหยัดมาได้พักหนึ่ง ช่วงที่ตราดอกท้อปรากฏตรงระหว่างคิ้วอย่างสมบูรณ์ เส้นผมกลายเป็นสีแดงทั้งหมด ซูหมิงก็ไม่อาจคุมอารมณ์ตัวเองไหวอีก เขาพลันเงยหน้าขึ้น เปล่งเสียงตะโกนที่ดังที่สุดตั้งแต่มายังแผ่นดินเชมัน
อ๊าก!
ขณะตะโกน ซูหมิงบินขึ้นจากแผ่นดิน ดวงตาแดงก่ำ นัยน์ตาเขาเสียสติและเต็มไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบภายใต้ความกระหายดั้งเดิม ยามนี้หลังจากบินขึ้นมาแล้วก็บินไปทางเหนืออย่างไม่ลังเล ด้วยความเร็วของเขาก็กลายเป็นสายรุ้งยาวบนท้องฟ้า พริบตาเดียวก็หายไป กระทั่งระฆังเขาหานหรือพวกแหวนสีแดงเขายังทิ้งเอาไว้ เคลื่อนตัวไปหนึ่งหมื่นลี้ในวูบเดียว
ขณะห้อเหยียดซูหมิงตะโกนไม่หยุด เสียงนั้นดังกังวานตลอดทาง ประหนึ่งสัตว์ป่าที่ผู้ฟังต้องตะลึง
ยามนี้เป็นกลางดึก เผ่าโคขาวทางเหนือ ชาวเผ่าส่วนใหญ่หลับใหล ต่อให้มีบางคนยังไม่หลับ ส่วนใหญ่ก็ออกลาดตระเวนรอบๆ นอกจากนี้แล้ว ก็มีจ้าวเชมันเผ่าโคขาว
ชายชราปากแหลมแก้มลิง ยามนี้กำลังนั่งตัวตรงอยู่ในเรือนพัก ถือถั่วกลมขนาดเท่าเล็บมือเล็ก และกำลังกินมันทีละเม็ดตลอดเวลา มีสีหน้าสุขสบาย
ทว่าขณะกำลังหลับตา หยิบถั่วขึ้นมาอีกเม็ดแล้ววางไว้ตรงปากเตรียมจะกัดนั้น เขาพลันได้ยินเสียงลากยาวสะเทือนฟ้าดิน เสียงนี้ทำให้เขาตะลึงงัน เมื่อลืมตาขึ้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยน เขาโยนถั่วไว้บนพื้นแล้วพุ่งตัวออกจากเรือนพักไปอย่างรวดเร็ว ตอนที่เงยหน้าขึ้น เขาหรี่ม่านตาลงพร้อมกับสีหน้าตื่นตระหนก
บนท้องฟ้ามีสายรุ้งยาวเส้นหนึ่งเข้ามาใกล้ กลายเป็นร่างเงาซูหมิง เส้นผมสีแดงทั้งศีรษะ ดวงตาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง และยังมีเสียงคำรามดุเดือด ทำให้มองแวบเดียวก็รู้ว่าซูหมิงผิดปกติ
ในใจชายชราปากแหลมแก้มลิงสั่นไหว ก่อนเปล่งเสียงตะโกนแหลม ทันใดนั้น ทั้งชนเผ่าพลันตื่นจากการหลับใหล ชาวเผ่าพากันเดินออกมาจากเรือนด้วยความตื่นตะลึง บุรุษและสตรีเหล่านั้นมองซูหมิงกลางอากาศ ซูหมิงก็มองพวกเขาเช่นกัน
ซูหมิงมีสีหน้าดิ้นรนอีกครั้ง ก่อนร้องตะโกนดังขึ้น ชายชราปากแหลมแก้มลิงบินขึ้นมา จ้องซูหมิงปานเผชิญหน้าศัตรูตัวฉกาจ
โดยรอบเป็นนักรบทั้งหมดในชนเผ่า ทุกคนล้วนจ้องซูหมิง เพียงชายชราออกคำสั่ง พวกเขาจะลงมือทันทีเพื่อปกป้องชนเผ่าของตัวเอง
ชายชราปากแหลมแก้มลิงร้องทุกข์ในใจ เขามองออกว่าซูหมิงในยามนี้ใกล้จะคลุ้มคลั่ง แม้ไม้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย ทว่าตอนนี้ก็เสียสติไปแล้ว คนแบบนี้หากคลุ้มคลั่งขึ้นมา ชนเผ่าเขาจะต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวง
โดยเฉพาะช่วงที่สตรีในชนเผ่าเดินออกมาจากเรือนพัก แล้วมองท้องฟ้าด้วยความหวาดกลัว ชายชราเห็นซูหมิงตัวสั่น มีสีหน้าดิ้นรนปานจะระเบิด
“กลับไป!” ชายชราตะโกนเสียงหนักแน่น ชาวเผ่าธรรมดาที่เดินออกจากเรือนเหล่านั้นตัวสั่นรีบถอยกลับไป แต่ช่วงที่สตรีเหล่านั้นกำลังจะถอย พวกนางพลันตัวสั่น พากันมีใบหน้าแดงขวยเขิน นัยน์ตาลุ่มหลงปานขาดสติมองซูหมิงบนท้องฟ้า
เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ชาวเผ่าคนอื่นๆ สนใจและตกตะลึง นักรบในเผ่าบางคนคำรามด้วยความโกรธและคิดจะโจมตีซูหมิง ทว่าทันใดนั้นกลับถูกชายชราจ้าวเชมันขวางเอาไว้
ชายชราจ้องซูหมิง เขามองอาการซูหมิงออก
หากพวกเขาลงมือก่อน อีกฝ่ายจะโจมตีสวนกลับทันที และต้องคลุ้มคลั่งอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นจะเป็นหายนะของเผ่าโคขาว
ที่สำคัญที่สุดคือ ชายชรารู้สึกอย่างชัดเจนถึงภยันตรายร้ายแรงจากในตัวซูหมิง ภยันตรายนี้ทำให้เขาใจสั่นไหว และรู้สึกรางๆ ว่าซูหมิงในยามนี้น่ากลัวกว่าตอนที่เขาพบก่อนหน้านี้หลายเท่า
สิ่งนี้เป็นความรู้สึก ไม่มีหลักฐาน
ด้วยขั้นพลังเขาจึงมองออกไม่มากนัก รู้สึกเพียงรางๆ เท่านั้น ภยันตรายร้ายแรงนี้มาจากในตัวซูหมิง ราวกับว่าในตัวอีกฝ่ายมีพลังน่าสะพรึงที่ทำให้เขาตัวสั่นอยู่
ประหนึ่งว่า…..มันกำลังตื่นขึ้นอย่างช้าๆ…..
“นี่มันยาเสน่ห์!” ชายชราตื่นตะลึง มองออกถึงความผิดปกติจากตัวสตรีในเผ่า รวมกับความรู้สึกน่าสะพรึงในใจแล้ว เขาจึงกัดฟัน ตัดสินใจในสิ่งที่ทำให้ชาวเผ่าทุกคนต้องโกรธทว่ากลับไม่กล้าคัดค้าน กระทั่งการตัดสินใจนี้ยังสั่นคลอนตำแหน่งของเขา! ขนาดตัวเขาเองยังรู้สึกยากจะเอ่ยการตัดสินใจนี้ ทว่าเขามีลางสังหรณ์เด่นชัดว่าหากให้ซูหมิงคลุ้มคลั่ง สิ่งที่ชนเผ่าพวกเขารออยู่คือถูกทำลายล้างจนสิ้น
โดยเฉพาะยามนี้ เขายังรู้สึกอีกว่าพลังน่าสะพรึงในตัวซูหมิงกำลังตื่นขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งชาวเผ่าคนอื่นๆ ยังรู้สึกเช่นกัน พากันจิตใจสั่นไหว
“ซย่าลา อาหวา เสี่ยวอวิ๋น พวกเจ้าสามคนบินขึ้นไป!” หลังจากชายชรากัดฟันกล่าว สตรีผู้ฝึกวิชาเชมันที่มีเพียงสามคนในเผ่าบินขึ้นไปด้วยแววตาลุ่มหลง แล้วตรงไปหาซูหมิงที่กำลังดิ้นรน