Skip to content

สู่วิถีอสุรา 390

ตอนที่ 390 จีฮูหยินสิ้นชีพ

บุตรภูตผีกระเด็นถอยไป ขณะกรีดร้องโหยหวน ร่างกายก็หายไปอย่างรวดเร็ว ตอนที่มันถอยกลับไปอยู่ข้างกายจีฮูหยิน ตัวมันเหลือเพียงครึ่งเล็กๆ พริบตาเดียวก็ใกล้จะหายไปจนหมด มันมองจีฮูหยิน ความดุร้ายในแววตาหายไปแล้วแทนที่ด้วยความอาลัยอาวรณ์

ขณะจีฮูหยินมีสีหน้าซับซ้อน บุตรภูตผีก็ลอยมาอยู่ข้างกลองเล็ก มันคว้ากลองเล็กเอาไว้แล้วเผยรอยยิ้มบางของเด็กน้อยให้จีฮูหยิน ระหว่างนั้นตัวมันค่อยๆ หายไปกลายเป็นฝุ่นละออง…

“ลูกรัก…เจ้าก็จากไปแล้ว…” จีฮูหยินตะลึงงัน เงยหน้ามองซูหมิงที่กำลังเดินเข้ามาจากไกลๆ แววตาไม่เคียดแค้นอีกต่อไป แต่แฝงไว้ด้วยความตายเย็นเยียบ

“เจ้าแข็งแกร่งมาก…หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก เช่นนั้นข้าจะให้สมบัติเจ้าหนึ่งชิ้น! สมบัติชิ้นนี้มาจากก่อนยุคบรรพกาล ตอนที่ยังไม่มีเผ่าหมานและเชมัน และก็เป็นต้นกำเนิดวิชาคำสาปของจีอวิ๋นไห่…เขามีสิ่งนี้เลยเรียนรู้คำสาปได้!”

ขณะจีฮูหยินกล่าวก็ยกมือขวาขึ้น กดตรงรอยแผลเป็นขนาดเท่ากำปั้นใต้หน้าอกขวา

ทันใดนั้น ห้านิ้วมือขวาทะลวงผ่านเลือดเนื้อแล้วยื่นเข้าไปในตัว นางโซเซถอยหลังหลายก้าว ตอนที่ดึงมือขวาออกมา ในมือนางมีกระดูกซี่โครงหนึ่งชิ้น

กระดูกซี่โครงนี้เป็นของนาง!

บนกระดูกซี่โครงมีแหวนสีแดงหนึ่งวงคล้องอยู่

จีฮูหยินบีบกระดูกจนแตก ยกมือซ้ายขึ้นทำสัญลักษณ์มือ ปากบริกรรมคาถาที่เข้าใจยาก จากนั้นแหวนสีแดงพลันลอยขึ้นกลางอากาศ ขยับแสงสีแดงวิบวับ ส่งเสียงอื้ออึงแล้วค่อยๆ หายไป

ซูหมิงหน้าเปลี่ยนสี เขายังคงแผ่ขยายจิตสัมผัสอยู่ตลอด เมื่อครู่นี้เขารู้สึกรางๆ ว่าแหวนไม่ได้หายไป แต่ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าในพริบตา

ฉะนั้นจุดที่เขากับจีฮูหยินอยู่คือในวงแหวนที่ขยายออก

กระทั่งซูหมิงยังไม่มีเวลาขบคิด ข้างหูเขาได้ยินเสียงดังอื้ออึง เขาเห็นเส้นสีแดงหนึ่งเส้นปรากฏขึ้นไกลออกไป ชั่วพริบตาเดียวโลกตรงหน้าเขาก็กลายเป็นสีโลหิต

หากยามนี้มองจากบนท้องฟ้าสูง จะเห็นรางๆ ว่ารอบตัวซูหมิงในระยะหลายพันจั้งมีเส้นสีแดงวงกลมกำลังหดเข้ามาด้วยความเร็วที่ไม่อาจบรรยาย

ซูหมิงหลบไม่ทัน กระทั่งยังใช้วิชาสังหารทุกอย่างไม่ทัน แม้แต่ยกมือก็ยังไม่ทันเช่นกัน เส้นสีแดงหดตัวเข้ามาจากโดยรอบ ห่างจากตัวเขาสิบจั้งแล้ว

เส้นสีแดงนี้ก็คือแหวนวงนั้น!

หลังจากแหวนขยายใหญ่ก็ปิดล้อมซูหมิงเอาไว้ภายใน แล้วพลันย่อส่วนเล็กลง อานุภาพของมันไม่แกร่งนัก ทว่ามาพร้อมกับภยันตรายอย่างยิ่ง หากมันหดเข้ามาอย่างสมบูรณ์ ซูหมิงจะต้องรับไม่ไหวแน่ ไม่เพียงร่างกายจะถูกบดละเอียด แต่รวมถึงจิตวิญญาณด้วย

เวลาผ่านไปเร็วนัก เขายังไม่ทันต่อต้าน เส้นสีแดงก็เข้ามาถึงตัว เสียงระเบิดดังสนั่นโดยรอบ ร่างซูหมิงแหลกสลาย หมอกโลหิตตลบอบอวล เหลือเพียงแหวนสีแดงเล็กๆ หนึ่งวงกลางอากาศ ลอยแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น

ไม่รู้ว่าวานรเพลิงไปที่ใด ตอนซูหมิงสู้กับจีฮูหยินมันก็ออกจากตรงนี้ไปแล้ว

ส่วนหนอนงูพิลึกซ่อนตัวอยู่ใต้ดินตามคำสั่งของซูหมิงตั้งแต่ตอนแรก ยามนี้จ้องจีฮูหยินด้วยความเย็นชา

จีฮูหยินเห็นซูหมิงหายไปก็มองแหวนที่ลอยอยู่กลางอากาศ นางดูผ่อนคลายลงทันใด แล้วหัวเราะเสียงแหลม ความแค้นในน้ำเสียงยังคงเด่นชัดยิ่ง

“เจ้าผนึกจีอวิ๋นไห่ได้ วิชาผู้ดูดวิญญาณของข้าไร้ผลกับเจ้า วิชาคำสาปข้าก็สังหารเจ้าไม่ได้ ต่อให้บุตรภูตผีลงมือเจ้าก็ยังรับมือไหว ทว่าตอนนี้เจ้าคงตายแน่ๆ แล้ว ภายใต้แหวนวงนั้น เจ้าไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งคนแรกที่ข้าสังหาร และก็มิใช่คนสุดท้ายเหมือนกัน คนเผ่าหมาน…ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเป็นคนเผ่าหมาน!

ทว่านี่ไม่สำคัญ ร่างกายเจ้าถูกแหวนบดขยี้ ด้วยการโจมตีอย่างรุนแรงนั้น วิญญาณเจ้าก็จะดับสูญไปด้วยเช่นกัน” จีฮูหยินหายใจกระชั้นถี่ เสียงหัวเราะสะใจมากขึ้น แม้นี่ไม่ใช่อุบายสุดท้ายของนาง แต่ก็เป็นหนึ่งในวิชาสังหารที่นางคิดว่าจะไม่ใช้หากไม่จำเป็นจริงๆ

แหวนวงนี้นางฝืนใช้ได้เพียงครั้งเดียว ทุกครั้งที่ใช้ไปจะทำให้ปวดศีรษะอย่างรุนแรง สูญเสียความรู้สึกทั้งหมด ต้องใช้เวลาครึ่งเดือนกว่าถึงจะกลับมาเป็นปกติ

ยามนี้นางยกมือขวาขึ้น เมื่อแหวนบินมาอยู่ในมือนางแล้วก็หมุนตัวเตรียมจะจากไป นางตัดสินใจแล้ว เมื่อตนหายดีจะไปสังหารเผ่ากระเรียนดำ

ทว่าทันใดนั้น มวลอากาศตรงจุดที่แหวนลอยอยู่หลังจากหดตัวเข้ามาพลันมีแสงอ่อนวิบวับ ก่อนปรากฏร่างซูหมิงขึ้น ร่างเขาอาบโลหิตไปทั้งตัว หน้ากากบนใบหน้าหายไป มุมปากมีโลหิตไหล ขาขวายังขยับลำบากเล็กน้อย เมื่อปรากฏตัวแล้วก็บินไปทางจีฮูหยิน

เมื่อครู่นี้ซูหมิงใช้วิชาสังหารไม่ทันก็จริง ทว่าตอนต่อสู้เขาเรียนรู้การเปิดมิติในเศษหินเอาไว้ตลอดเวลาตั้งแต่ถูกชายชราเผ่าหมานล่าสังหาร ฉะนั้นเขาจึงหลีกหนีภยันตรายครั้งนี้ไปได้ ทว่าแหวนเร็วเกินไป แม้จะเข้าไปในมิติลับก็ยังบาดเจ็บสาหัส

“เป็นไปไม่ได้!” จีฮูหยินหน้าเปลี่ยนสีและดูเหลือเชื่อ นางกำลังจะถอยหนี ทว่าซูหมิงพลันเข้าประชิดตัวเร็วกว่า แสงดำขยับวิบวับ จีฮูหยินกรีดร้องลั่น ศีรษะลอยขึ้นทันใด แขนทั้งสองถูกตัดออกจากลำตัว ขาสองข้างระเบิดกระจุยกลายเป็นหมอกโลหิต ร่างของนางถูกกระบี่เล็กแยกออกเป็นสี่ชิ้น!

ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ตอนที่ซูหมิงปรากฏตัวอีกครั้ง เขาไปอยู่ยังที่ไกลๆ หอบหายใจแรง แต่กลับไม่ผ่อนคลายลง และขณะเดียวกับที่ร่างจีฮูหยินถูกแยกชิ้นส่วน เขาก็ยกมือขวาขึ้นทำสัญลักษณ์มือ แล้วชี้ไปยังระฆังเขาหานไกลๆ

เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยืดเยื้อกับสตรีผู้นี้อีก จีฮูหยินมีวิชาสังหารมากเกินไป และใช้ออกมาไม่ขาดสาย ทำให้ซูหมิงตะลึงยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อครู่ที่แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ยามนี้เขาไม่ลังเลอีกต่อไป ใช้พลังจากการตื่นขึ้นของหัวที่ห้าในระฆังเขาหาน

แม้พลังเขาจะถูกสูบไปจำนวนมาก ทว่ายามนี้กลอุบายจีฮูหยินน่าจะหมดแล้วเช่นกัน โอกาสในการสังหารนาง ด้วยวิชานี้ก็มากกว่าตอนแรกไม่น้อย

ครั้นซูหมิงทำสัญลักษณ์มือ มีเสียงกรีดร้องดังมาจากในชิ้นส่วนร่างของจีฮูหยิน ขาที่ระเบิดกระจุยพลันคืนสภาพเดิม แขนที่เสียไปกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวร่างกายนางกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง

ทว่ากลิ่นอายพลังอ่อนลงไปมาก ยามนี้ใบหน้าซีดขาวนัก ขณะกรีดร้องก็มีสีหน้าคลุ้มคลั่ง ในตัวนางมีหมอกหลากสีกระจายออกมาจำนวนมาก พวกมันรวมตัวกันอย่างรวดเร็วกลางฟ้าดิน

ขณะเดียวกัน จ้าวเผ่ากระเรียนดำที่อยู่บนพื้นไกลออกไปตัวสั่นเทิ้ม ร่างแห้งเหี่ยวพลันกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก เขายังคงหลับตาอยู่ มีโลหิตไหลมาจากปาก ศีรษะเอนเอียงและสิ้นใจลง

หลังจากเขาตาย หมอกหลากสีพิลึกลอยออกมาจากทวารทั้งเจ็ด แล้วลอยไปทางจีฮูหยินอย่างรวดเร็ว

“นี่คือวิชาสังหารสุดท้ายของข้า ข้าไม่เชื่อว่าจะสังหารเจ้าไม่ได้!” จีฮูหยินตะโกนเสียงแหลม หมอกหลากสีรอบตัวนางโหมซัดสาดก่อนแบ่งออกเป็นหนึ่งกลุ่ม ก่อรูปเป็นดอกท้อหลากสีหนึ่งดอกด้านข้าง ทว่าไม่เบ่งบาน มันยังเป็นดอกตูม!

เมื่อดอกท้อหลากสีปรากฏ กลิ่นหอมโลกีย์พลันฟุ้งกระจาย

“มารสิบสามดอกท้อ! นี่คือคำสาปที่จีอวิ๋นไห่ใช้กับข้ามาหกสิบปี เดิมทีเขาอยากใช้ร่างกายข้าสร้างเป็นคำสาปนี้ เมื่อข้าตายลงเขาก็จะเอาไป แล้วจะกลายเป็นมารได้!

ข้าโคจรพลังชีวิตบีบเค้นมารดอกท้อนี้ออกมา ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่ตาย!”

ขณะจีฮูหยินกล่าวเสียงแหลม หมอกรอบตัวนางพลันแผ่กระจาย กลายเป็นดอกท้อตูมหลากสีสิบสองดอก เมื่อรวมกับอีกหนึ่งดอกก่อนหน้านี้ก็ครบสิบสามพอดี!

จากนั้นข้างกายจีฮูหยินปรากฎเงามายา มันเป็นกิ่งคล้ายกิ่งไม้หนึ่งกิ่ง จากนั้นก็เชื่อมกับดอกท้อตูมสิบสามดอก กลายเป็นกิ่งดอกท้อที่มีสิบสามดอกด้วยกัน!

“ตายซะ!” จีฮูหยินกระอักโลหิต บนตัวนางปรากฏรอยเย็บโลหิตจำนวนมาก รอยเหล่านี้มีอยู่แน่นขนัด มันเป็นรอยจากการเย็บร่างทุกครั้งในช่วงหลายปีมานี้ ยามนี้เผยออกมาทั้งหมด ปานร่างกายนางสร้างขึ้นจากรอยปะ โลหิตไหลซึมมาจากรอยเย็บเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่ามารสิบสามดอกท้อเป็นวิชาสังหารสุดท้ายจริงๆ

ทันทีที่นางกล่าว ดอกท้อตูมสิบสามดอกบนกิ่งดอกท้อกลางอากาศเบ่งบานทั้งหมด จากนั้นก็แยกจากกิ่งไม้ตรงไปทางซูหมิง

“จิ่วอิง คำสั่งสังหารจักรพรรดิแดนใต้!” ซูหมิงในยามนี้หน้าขาวซีด นัยน์ตาฉายแววเย็นชา เขาทำสัญลักษณ์มือเสร็จแล้วเช่นกัน ชี้ไปยังระฆังเขาหาน ระฆังพลันส่งเสียงอย่างรุนแรง ก่อนท้องฟ้าเหนือระฆังจะปรากฏเงาของจิ่วอิง

สัตว์ร้ายจิ่วอิงตัวยักษ์มีหัวที่ตื่นขึ้นทั้งหก ในดวงตามีเงาของซูหมิงอยู่ หลังจากเปล่งเสียงคำรามแล้ว หัวทั้งหกเคลื่อนไหวพร้อมกัน ก่อนพุ่งตรงไปยังมารสิบสามดอกท้อด้วยพลังมหาศาล

เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างรุนแรง ต่อให้เป็นเผ่าโคขาวก็ยังได้ยิน เผ่ากระเรียนดำก็ได้ยินเสียงของฟากซูหมิงเช่นกัน ทำให้ชาวเผ่าโคขาวกับกระเรียนดำล้วนมีสีหน้าตื่นกลัว พากันมองไปทางต้นเสียง

ขณะมารสิบสามดอกท้อปะทะกับจิ่วอิงก็ค่อยๆ หายไป ทุกดอกที่หายไปจะทำให้รอยเย็บบนตัวจีฮูหยินฉีกเพิ่มอีกเล็กน้อย โลหิตอาบทั้งตัว

วินาทีที่ดอกท้อทั้งสิบสามเหลือเพียงสี่ดอก นัยน์ตาจีฮูหยินฉายแววสิ้นหวัง นางกรีดร้องลั่นทั้งสีหน้าคลุ้มคลั่ง ร่างกายระเบิดกระจุย นางรู้ว่าต้องตายแน่ ฉะนั้นจึงขอใช้ความตายดึงซูหมิงลงสู่ยมโลกด้วยกัน

หลังจากนางระเบิดตัวเอง สามดอกท้อในสี่ดอกก็สลายตามไป ทำให้ดอกท้อสุดท้ายจากหลากสีกลายเป็นสีเดียว มันเป็นสีชมพูและเต็มไปด้วยกลิ่นอายยั่วยวนใจ!

ดอกท้อสีชมพูนั้นทะลวงผ่านร่างมายาจิ่วอิง ขณะหายไปมากกว่าครึ่งก็มาปรากฏตัวอยู่หน้าซูหมิง กลายเป็นกลิ่นสีชมพู ซูหมิงหน้าเปลี่ยนสี ตอนที่หนีเข้าไปในมิติเศษหิน กลิ่นอายสีชมพูยังตามเข้ามาด้วย และโชยเข้าไปในจมูกเขา!

ซูหมิงตัวบิดก่อนถูกบีบออกมาจากในมิติเศษหิน ใบหน้าเขาพลันแดงเรื่อ นัยน์ตาต่อสู้ดิ้นรน สติกับตัณหากำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version