ตอนที่ 4 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ใต้เขาทมิฬ ณ ชนเผ่าเขาทมิฬ ยามนี้แทบทุกคนในเผ่าต่างออกมารวมตัวกันตรงใจกลางเผ่า สายตาจ้องไปยังลาซูที่กำลังเข้าร่วมพิธีชี้นำหมาน
ทว่าในขณะนั้นเอง เทวรูปแห่งหมานสูงใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันสั่นสะท้าน พร้อมกับส่งเสียงดังสนั่นขึ้นกะทันหัน ผู้คนในเผ่าโดยรอบต่างพากันตกตะลึง
แววตาท่านปู่เป็นประกาย พลันเร่งรุดไปด้านหน้า เขาไม่ได้มองเทวรูปแห่งหมาน แต่แหงนหน้ามองท้องฟ้า นัยน์ตาฉายแววเคร่งขรึม
เวลานี้ ผู้คนจำนวนมากต่างพบความผิดปกติ จึงทยอยกันแหงนหน้ามองฟ้า
เห็นเพียงบนท้องฟ้าปรากฏไอสีดำหลายสายลอยอยู่กลางอากาศ มันรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งจากทั่วทุกสารทิศ ไม่นานก็ก่อตัวขึ้นเป็นน้ำวนยักษ์ ความใหญ่ของมันราวกับครอบคลุมได้ครึ่งฟ้า ปกคลุมทั่วแปดทิศของดินแดนเขาทมิฬ แม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปมาก ก็มองเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลง
น้ำวนหมุนอย่างเชื่องช้า ส่งเสียงเปรี้ยงดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ก้องกังวานทั่วสี่ทิศ นอกจากนี้ในน้ำวนยังมีแสงไฟลักษณะโค้งไหลเวียนจำนวนมาก ฟ้าแลบวูบวาบตัดสลับกับเสียงฟ้าร้อง
“บรรพบุรุษแห่งหมานประจักษ์!?” ไม่ทราบว่าใครเป็นคนกล่าวออกมา ผู้คนในเผ่าต่างพากันคุกเข่าลงกราบไหว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรงและหวาดกลัว ขณะก้มลงกราบขึ้นไปบนท้องฟ้า
ผู้ที่ยืนอยู่มีเพียงท่านปู่และผู้นำในเผ่าหลายคนด้านข้าง นอกจากท่านปู่แล้ว ผู้นำร่างกำยำเหล่านี้ล้วนมีสีหน้าที่ดูตกตะลึง
น้ำวนบนท้องฟ้าหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนเกิดลมพายุคลั่งโหมกระหน่ำ ปกคลุมทั้งแปดทิศโดยรอบเขาทมิฬ
เทวรูปแห่งหมานลอยอยู่กลางอากาศ เวลานี้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับว่าไม่มีอะไรที่ทนต่อน้ำวนนั้นได้
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งของเขาทมิฬ ยังมีชนเผ่าขนาดใกล้เคียงกับเผ่าเขาทมิฬอยู่อีกหนึ่งเผ่า เผ่านี้นามว่าภูผาดำ ตอนนี้ผู้คนในเผ่าภูผาดำต่างพากันสะดุ้งโหยง ในเผ่าของพวกเขาตอนนี้มีเทวรูปแห่งหมานขนาดสิบจั้งลอยอยู่กลางอากาศ
เทวรูปแห่งหมานเป็นสีดำทุกส่วน ไม่มีลักษณะเหมือนคนแม้แต่น้อย มองดูแล้วเหมือนกับกิ้งก่า เวลานี้ตัวมันสั่นไหวอย่างต่อเนื่องราวกับจะแหลกสลาย ด้านล่างของมันมีชายชราร่างผอมซูบราวกับกระดูกสวมผ้าเนื้อหยาบสีดำ ใบหน้าเคร่งขรึม ไม่ทราบว่ากำลังขบคิดอะไรอยู่
ในช่วงเดียวกันนั้น ณ ชนเผ่าโดยรอบเขาทมิฬทั้งหมดต่างเกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกัน กระทั่งเผ่าที่อยู่ห่างออกไปไกล ก็เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันด้วย
ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดน้ำวนถึงปรากฏ แม้แต่ท่านปู่ของเผ่าเขาทมิฬก็ยังมองข้ามซูหมิงที่เพิ่งเข้าไปคารวะในเทวรูปแห่งหมาน
……………….
ด้านในเทวรูปหมานแห่งเผ่าเขาทมิฬ แสงวูบวาบรำไรพลันปกคลุมมิติโดยรอบทั้งหมด ลำแสงพิลึกกระจายอยู่ทุกที่ ในแววตาค้างตะลึงของซูหมิง เขามองเห็นเทวรูปหมานที่ตนคารวะไปก่อนหน้านี้กำลังสั่นสะท้านไปทั้งตัวราวกับคืนชีพจากการหลับใหล เขาเกิดความรู้สึกไปว่าเทวรูปนี้คล้ายมีชีวิต
มิหนำซ้ำเขายังพบว่า เทวรูปแห่งหมานที่ดูดุร้ายในตอนแรก เวลานี้กลับสั่นอย่างรุนแรงท่ามกลางแสงเลือนราง เหมือนว่าไม่อาจทนต่อการคุกคามจากลำแสงได้
เทวรูปครึ่งคนครึ่งสัตว์ มือซ้ายจับมังกรยักษ์ มือขวาถือหอกยาว ตอนนี้กลับอยู่ในอาการสั่นสะท้าน พลังความป่าเถื่อนบรรพกาลพลันเปลี่ยนไป ความน่าสะพรึงที่แผ่ออกมาทำให้ซูหมิงเริ่มไม่แน่ใจว่าตนคิดไปเองหรือไม่
ในหัวของซูหมิงขาวโพลน ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นและเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เขายังคงยืนตกตะลึง
ตัวเขาถูกแสงอ่อนจากแผ่นหินตรงคอปกคลุมร่างเช่นเดียวกัน ราวกับหลอมเข้ากับมิติแห่งนี้ ยามที่แสงอ่อนสว่างขึ้นเรื่อยๆ นอกจากกาลเวลา โลกในเทวรูปหมานแห่งนี้ล้วนเปลี่ยนเป็นสีอ่อนทึบทั้งหมด
ซูหมิงรู้สึกถึงเสียงระเบิดที่ดังขึ้นในหัว เหมือนกับมีสิ่งกีดขวางบางอย่างถูกพลังไร้ลักษณ์บุกทะลวง ระหว่างที่ร่างของเขากำลังสั่นสะท้าน ในสมองพลันปรากฏภาพประหลาดขึ้น
มันเป็นผืนแผ่นดินกว้างไกล เขารู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่กลางอากาศแล้วมองลงไปด้านล่าง พบว่าบนผืนแผ่นดินใหญ่มีผู้คนแน่นขนัดร่วมล้านคน มองไปไม่เห็นปลายทาง เหมือนกับไม่มีจุดสิ้นสุด
“ที่นี่มัน….ที่ไหน….” ซูหมิงพึมพำกับตนเอง ภาพดังกล่าวทำให้เขาตื่นตะลึง ในหัวขาวโพลน
ผู้คนแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ต่างกำลังนั่งคุกเข่าบนพื้นและกราบไหว้ท้องฟ้า เสียงกลองอ้างว้างกังวานทั่วฟ้าดิน คลื่นเสียงที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดราวกับสัมผัสวิญญาณ ผู้ที่ได้ยินพากันอกสั่นขวัญหาย
ซูหมิงเห็นเทวรูปแห่งหมานสูงใหญ่นับร้อยลอยอยู่กลางอากาศรอบตัว แต่ละเทวรูปล้วนแตกต่าง ขับพลังป่าเถื่อนบรรพกาล รูปร่างดุจมีเลือดเนื้อและมีชีวิต
พวกมันในตอนนี้ต่างก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งและกราบไหว้ท้องฟ้าเช่นเดียวกัน!
ซูหมิงแหงนหน้าขึ้นมองทันใด เขาเห็น…..
บุคคลร่างสูงใหญ่สองท่านตรงจุดสูงสุดของฟ้า รูปร่างมองเห็นไม่ชัด
ทว่าซูหมิงมองแค่แวบเดียวกลับรู้สึกได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ ตนเองประหนึ่งเป็นเพียงมดตัวหนึ่ง
พวกเขาเหมือนกับเทพเจ้าจริงๆ!
หนึ่งในนั้นซูหมิงเห็นเพียงเส้นผมยาวสีม่วง มือขวาชูขึ้นโบกไปยังท้องนภา ฟ้าดินพลันเปลี่ยนสี จากสว่างจ้ากลายเป็นมืดครึ้ม ดวงดาวระยิบระยับ ช่วงที่บุคคลผู้นี้โบกมือ ดวงดาราราวกับถูกฉุดดึงลงจากท้องฟ้า พริบตาเดียวก็มารวมกันอยู่ข้างบุคคลผมม่วง กลายเป็นทางช้างเผือกสายหนึ่ง
เขาใช้มือขวาชี้ไปที่ช้างเผือก มันส่งเสียงดังสนั่นลั่นฟ้า ก่อนมุ่งไปทิศตรงข้าม มองไกลๆ ภาพนี้เหมือนกับฟ้าแตกร้าวดาราพังทลาย คลับคล้ายว่าพลังของฟ้าทั้งหมดถูกบุคคลนี้ครอบครองไว้เพียงผู้เดียว
ทันใดนั้น ชายผมม่วงพลันก้มหน้าลงสอดส่ายสายตา ก่อนจะสบตากับซูหมิง!
ในหัวซูหมิงเกิดเสียงดังสนั่น ทั่วตัวราวกับถูกพลังมหาศาลผลักดัน ก่อนจะถูกดึงออกมาจากโลกมายาแห่งนั้น
ซูหมิงตัวสั่น เบื้องหน้ามืดมิด ผ่านไปนานจนเขาได้สติ ก็พบว่าตนเองยังอยู่ในร่างเทวรูปแห่งหมาน โดยรอบไร้แสงอ่อน ราวกับทั้งหมดล้วนเป็นภาพมายา
ซูหมิงหายใจถี่กระชั้น เหงื่อชุ่มไปทั้งตัว เขาก้มหน้ามองแผ่นหินตรงคอ นอกจากไออุ่นจางๆ แล้ว ก็ไม่มีจุดที่ผิดปกติเลย
“ภาพลวงตาหรือ…หรือว่าเป็นความทรงจำของเทวรูปแห่งหมาน…เมื่อครู่นี้หมือนกับในตำราหนังสัตว์ไม่ผิดเพี้ยน เด็ดดวงดาราอย่างนั้นหรือ…” กว่าซูหมิงจะตั้งสติได้ก็เหม่อนึกถึงภาพนั้นอยู่นาน แววตามึนงง ในหัวสับสนไปหมด เงียบอยู่พักใหญ่ก่อนจะลุกขึ้น คารวะเทวรูปแห่งหมานอีกครั้ง และเตรียมพร้อมจากไป
เพียงแต่ว่าในช่วงที่คารวะ พลันเกิดเสียงกึกกึกดังขึ้น บนใบหน้าเทวรูปแห่งหมานปรากฏรอยร้าวเล็กน้อย ก่อนแผ่ขยายไปตามจังหวะการคารวะของซูหมิง
ราวกับว่าไม่อาจทนต่อการคารวะของเขาได้ หากคารวะเสร็จเกรงว่าเทวรูปแห่งหมานคงจะพังทลาย เหตุการณ์พิลึกนี้ทำให้ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหัวไม่ใช่ภาพมายาแน่นอน!
ในช่วงที่เทวรูปแห่งหมานปรากฏรอยร้าว ราวกับมีเสียงกระซิบก้องกังวานในหัวเขา เสียงดังกล่าวทำให้ในแววตาซูหมิงมีความสุขยิ่งนัก เพราะเสียงนั่นคือสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาโดยตลอด เคล็ดการฝึกขั้นรวมโลหิตของผู้ฝึกพลังหมาน!
เคล็ดฝึกพลังหมานไม่อาจบอกต่อกันได้ ทางเดียวคือต้องได้รับพลังสืบทอดจากเทวรูปแห่งหมาน ดังนั้นเทวรูปจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับชนเผ่าหนึ่ง เพราะมันเกี่ยวโยงไปถึงความเป็นอยู่ของพวกเขา
เมื่อเสียงกระซิบสิ้นสุดลง ร่างซูหมิงค่อยๆ เลือนหายไป ก่อนปรากฏตัวขึ้นกลางเผ่าเขาทมิฬ เขาเห็นผู้คนในเผ่ารวมถึงท่านปู่กำลังแหงนหน้ามองท้องฟ้า ในใจสั่นไหวมองตามขึ้นไป
น้ำวนใหญ่ยักษ์ยังคงหมุนเวียน ส่งเสียงดังก้องกังวาน
“ซูหมิง มาหาปู่” เสียงท่านปู่ดังขึ้นข้างหู ใจซูหมิงเต้นตึกตัก เขาแอบคิดว่าปรากฏการณ์พิลึกบนท้องฟ้าน่าจะเกี่ยวกับเศษหินบนคอของตน ทว่ากลับไม่กล้ากล่าว เดินไปยืนอยู่หลังท่านปู่ด้วยหัวใจเต้นโครมคราม
ผ่านไปครู่หนึ่ง ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าก็ค่อยๆ หายไปและกลับคืนสู่สภาพปกติ ไม่มีใครถามซูหมิงว่าคารวะสำเร็จหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ไม่มีแสงวูบวาบออกมา นั่นหมายความว่าล้มเหลวอยู่แล้ว
จนกระทั่งท้องฟ้าหวนคืนสู่สภาพเดิม ลาซูที่เหลืออยู่ทำพิธีคารวะต่อจนเสร็จสิ้น พิธีชี้นำหมานของลาซูวัยสิบหกปีครั้งนี้มีกายหมานเพียงสองคนเท่านั้น
ท่านปู่พาเด็กสองคนนี้จากไป เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์การฝึกพลังหมานให้คนที่ในอนาคตจะต้องเป็นบุคคลสำคัญในเผ่าอย่างแน่นอน ส่วนลาซูคนอื่นๆ ต่างแยกย้ายกันไปด้วยความผิดหวัง ซูหมิงเงียบขรึมตลอดทาง ทว่าในใจกลับเต้นแรงยิ่งขึ้น เขาอยากบอกทุกอย่างกับท่านปู่ ทว่าเรื่องนี้มันใหญ่เกินไป โดยเฉพาะรอยร้าวที่ปรากฏขึ้นบนเทวรูปแห่งหมาน
ซูหมิงเดินเข้าไปในเรือนของตนด้วยความลังเล
ท่านปู่ผู้สวมผ้าป่านมองซูหมิงที่เดินห่างออกไป สีหน้าเกิดความสงสัย
ซูหมิงกลับเรือนอย่างเร่งรีบ นั่งลงบนเตียงไม้ ก้มหน้ามองเศษหินสีดำรูปร่างพิลึกตรงหน้าอก นัยน์ตาฉายแววสับสน ขณะที่เขากำลังจะถอดจี้ตรงคอออก กลับเกิดความลังเล จึงยันกายขึ้นดันตู้ไม้ขวางประตูไว้ เผื่อมีคนเข้ามาจะได้มีเวลาเตรียมรับมือ
เมื่อเรียบร้อยแล้ว เขากลับมานั่งที่เดิมและหยิบเศษหินขึ้นมา ก่อนพิจารณาอย่างละเอียด
“แผ่นหินนี้มันคืออะไรกันแน่…ตอนนั้นเสี่ยวหงเก็บมันได้ เดาว่าลมในวันนั้นน่าจะแรงมาก และพัดเศษใบไม้เน่าเปื่อยขึ้น จนเศษหินนี้โผล่ออกมา…” ซูหมิงใจเต้นโครมครามยิ่งขึ้น เขาคิดว่าตนได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าแล้ว
“ต่อหน้ามันเทวรูปแห่งหมานยังปรากฏรอยร้าว…ไม่รู้ว่าเสี่ยวหงไปเก็บมันมาจากไหนและยังมีอีกหรือไม่…..” ซูหมิงเลียริมฝีปาก ดวงตาสองข้างฉายแววตื่นเต้น
“เดิมทีข้าไม่มีกายหมาน ไม่มีทางได้รับสืบทอดพลังแห่งหมานด้วยซ้ำ แต่ว่าเจ้าสิ่งนี้ทำให้ข้าได้ครอบครองเคล็ดการฝึกพลังหมาน!” ซูหมิงสูดลมหายใจลึก พยามลดความตื่นเต้นลง และใช้สมาธิทั้งหมดไปกับเศษหินแผ่นนั้น
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด ความง่วงเข้าจู่โจมโดยไม่รู้ตัว เขาหยิบแผ่นหินวางไว้บนเตียงไม้ ก่อนจะเข้าสู่นิทรา
แผ่นหินในยามนี้เริ่มขยับแสงวูบวาบเลือนราง