Skip to content

สู่วิถีอสุรา 405

ตอนที่ 405 พี่ชาย

ท้องฟ้าสีคราม มีเมฆขาวลอยอยู่หลายก้อน งดงามยิ่งนัก….

ทว่าความหนาวเยือกของกายช่วงล่าง ไอหนาวโดยรอบ ดวงตาที่ไม่อาจลืมขึ้น รวมถึงความเจ็บปวดจากในร่างกาย ทำให้สีครามของท้องฟ้ากลายเป็นสีในความทรงจำ มวลเมฆขาวบนท้องฟ้ากลายเป็นภาพสัญลักษณ์ในจินตนาการ

ฉีกทำลายทุกอย่าง เหลือเพียงความโดดเดี่ยว ความเศร้า และยังมีความหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก

“วันนี้อากาศดี พี่ชาย ท้องฟ้าเป็นสีครามและยังมีเมฆเยอะด้วยนะ ท่านดูสิ เมฆก้อนนี้เหมือนกับกระต่ายน้อย และยังมีนี่ อืม…เหมือนหมาป่าเลย” เสียงเด็กเยาว์วัยข้างหูราวกับทำให้ความมืดตรงหน้าตนค่อยๆ หายไป ทุกอย่างที่ฉีกขาดประสานคืน กลับมาเป็นท้องฟ้าสีคราม ยังมีเมฆรูปกระต่ายบนท้องฟ้า ข้างๆ เป็นเมฆคล้ายหมาป่า

“หืม พี่ชาย เมฆนี้เหมือนท่านมาก เหมือนจริงๆ ข้างมันยังมีเมฆอีกก้อนหนึ่งเหมือนข้าเลย” เสียงเยาว์วัยนั้นคือเสียงนุ่มนวลเพียงหนึ่งเดียวในโลกดำมืด และเป็นเสียงนี้ที่อธิบายความต่างของสี บอกตนว่าอะไรคือดำ อะไรคือคราม อะไรคือขาว

ทุกครั้งที่เสียงนี้ดังขึ้น ตนจะไม่รู้สึกหนาว ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ไม่รู้สึกถึงค่ำคืนท่ามกลางสีดำไร้สิ้นสุดที่มีอยู่มากจนนับไม่ไหว

แม้ความเจ็บปวดทางร่างกายจะรุนแรงขึ้นทุกที แม้รู้สึกว่ามีคนกรีดแผลตนทุกช่วงเวลาและบีบโลหิตออกมาก็ตาม ทว่าก็ไม่เป็นทุกข์แล้ว ขอแค่ได้ยินเสียงนั้นบ่อยๆ ขอแค่ได้ยินเสียงนั้นไปชั่วชีวิต…

“พี่ชาย การฝึกฝนมันเหนื่อยมากเลย ข้าไม่อยากฝึกแล้ว แต่ท่านพ่อบอกว่าจะต้องฝึก มิเช่นนั้นท่านต้องตาย พี่ชายท่านอย่าตายนะ ข้าจะฝึกฝน ไม่เหนื่อยเลยสักนิดเดียว…”

ไม่เหนื่อยอย่างนั้นหรือ หากไม่เหนื่อยจริงๆ เหตุใดเสียงถึงอ่อนแรงเช่นนี้ ข้ามองไม่เห็น ทว่าข้ารู้สึกได้ นางเหนื่อยมาก…ความตายของข้ากับการฝึกของนางเกี่ยวอะไรกัน? ท่านพ่อคือเสียงเย็นชานั้นใช่หรือไม่ หากใช่เจ้าก็อย่าไปฟังเขา ทุกครั้งที่เขามาจะทำให้ข้าเจ็บปวดเจียนตาย

ข้าคือซู่มิ่ง นี่คือนามของข้าหรือ น่าจะใช่ น่าจะไม่ใช่…

“พี่ชาย วันนี้วันฟ้าแจ่มใส หืม มันเป็นฟ้าใสตั้งนานแล้วนี่นา ข้าเดาว่าท่านจะต้องชอบฟ้าใสแน่นอน มันถึงเป็นเช่นนี้”

ฟ้าใสหรือ เด็กโง่ สิ่งที่ร่างกายข้าเหลืออยู่ตอนนี้ นอกจากการฟังแล้วก็มีความรู้สึก ร่มที่เจ้าถือมาไม่ได้ปกปิดเท้าข้า หยดน้ำใต้เท้าเหล่านั้นก็คือฝนกระมัง น่าจะใช่ ข้าได้ยินคนอื่นคุยกันว่าช่วงนี้มีฝนตกติดต่อกันหนึ่งเดือนแล้ว

“พี่ชาย ข้าเห็นพี่สาวคนอื่นๆ เขา…อืม สวยมากๆ ทว่าเหตุใดข้าถึงตัวเล็กแบบนี้ ข้าอ่อนกว่าพวกนางเพียงปีเดียวเอง ข้ากลับยังดูเหมือนเด็กน้อย แต่พี่ชายหล่อเหลามากนะ คิกๆ ข้าได้ยินศิษย์พี่หญิงบอกว่าชอบความรู้สึกตอนอยู่ข้างท่านมาก ท่านรีบตื่นเร็วหน่อยได้หรือไม่…..ท่านพ่อบอกว่าท่านใกล้จะตื่นแล้ว ทว่าข้าก็เห็นเขาพูดอย่างนี้มาตั้งแต่ข้ายังเยาว์วัยโน้น”

ชอบความรู้สึกที่อยู่ข้างข้าหรือ แล้วเหตุใดทุกครั้งที่ศิษย์พี่หญิงเจ้ามาหาข้า กลิ่นอายพลังในตัวข้าถึงค่อยๆ หายไป เด็กโง่ พวกนางไม่ได้ชอบข้า แต่ชอบดูดปราณเซียนในร่างกายข้า ตอนนั้นข้าได้ยินพวกนางคุยกันโดยบังเอิญ พวกนางคิดว่าข้าไม่ได้ยิน

เด็กโง่ ทุกคนที่นี่ล้วนคิดไม่ดีกับพวกเรา ข้าได้ยินหลายอย่างที่พวกเขาคุยกัน…

“พี่ชาย ช่วงนี้ท่านพ่อแปลกๆ ไป มักจะ…..ตีข้าบ่อยๆ…..ข้าก็ตั้งใจฝึกฝนมากแล้ว ทำตามคำสั่งเขาแล้ว ทุกครั้งที่ช่วยสหายร่วมสำนักฝึกฝน ทุกครั้งที่พวกเขาล้อมรอบข้าแล้วฝึกด้วยกัน ข้าจะรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ…ข้ารู้สึกว่าสายตาที่พวกเขามองข้าต่างไปเล็กน้อย เหมือนกับ….เหมือนกับมองข้าเป็นยา”

เผ่าเซียนบัดซบ ขอแค่ข้าลืมตาขึ้น ขยับตัวได้เมื่อไร ข้าจะสังหารพวกเจ้าให้สิ้น พวกเจ้าดูดปราณเซียนข้าไม่เท่าไร แม้แต่นางยังไม่ละเว้น!

นางยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง พวกเจ้าต้องทำเช่นนี้เพื่อฝึกฝนเชียวหรือ หรือว่าดูดปราณของข้ามันยังไม่พอ ในตัวของพวกเจ้าทุกคนไม่มีปราณเซียนของข้า!

ข้าสาบาน หากวันหนึ่งข้ายืนขึ้นได้ ข้าจะให้พวกเจ้าต้องชดใช้!

“พี่ชาย วันนี้ข้าเหนื่อยมากเลย….ให้ข้านอนก่อนเถอะ ข้า….ง่วงมาก….”

นอนเถอะ มีพี่ชายปกป้องเจ้าอยู่ ข้าจะส่งปราณเซียนเข้าไปในตัวเจ้า พรุ่งนี้เจ้าก็จะไม่เหนื่อยแล้ว

หากข้ามองเห็น แยกฟ้ากลางวันกลางคืนออก หาเจ้าเจอในหมู่ผู้คนและจับมือเจ้าเอาไว้….มันคงจะดีมาก

หากข้ายืนขึ้นได้ สามารถพาเจ้าโบยบินบนท้องฟ้า ให้เจ้ากับข้าไปยังเส้นขอบฟ้า สุดปลายแผ่นดิน….มันคงจะดีมาก

หากข้าพูดได้ หัวเราะกับเจ้าได้ ชี้ท้องฟ้าพร้อมกัน วาดเมฆขาวท้องฟ้าครามด้วยกัน….มันคงจะดีมาก

ทว่าข้าทำไม่ได้ ข้าลืมตาไม่ขึ้น ขยับตัวไม่ได้ พูดไม่ได้ โลกของข้าดำมืดไม่มีสี มีเพียงร่างกายเจ็บปวดและความเงียบเหงาโดดเดี่ยว

“พี่ชาย ช่วงนี้ข้ามักจะอยากนอนบ่อยๆ ข้ารู้สึกว่าตัวข้าเตี้ยลงอีกแล้ว แถมข้ายังไม่งดงามอีก….ไม่มีใครชอบข้า ข้ามองออก…..มีแค่พี่ชายที่จะอยู่กับข้า ใช่หรือไม่…..”

“พี่ชาย ท่านเจ็บหรือไม่ ท่านไม่ต้องเสียใจ ข้าตั้งใจว่าขั้นพลังข้าสูงเมื่อไรก็จะพาท่านไป…”

เด็กโง่ มันไม่มีประโยชน์ ข้ารู้จักพวกเขาดี นี่ไม่ใช่บิดาของเจ้าและก็ไม่ใช่บิดาของข้า เขาชื่อตี้เทียน

“พี่ชาย ช่วงนี้ข้าคงมาเยี่ยมท่านไม่ได้แล้ว พวกเขา…พวกเจ้าจะให้ข้าไปที่หนึ่ง….หลังจากข้ากลับมาแล้วข้าจะมาเยี่ยมท่านอีก พี่ชาย ท่านรีบตื่นเถอะ….”

ข้ารู้สึกถึงน้ำตาบนร่าง รู้สึกว่าข้างน้ำตามีสายตาเย็นชาคู่หนึ่งกำลังมองข้า

“เฟยเอ๋อร์ ได้เวลาไปแล้ว” เสียงเย็นชาดังกังวาน ค่อยๆ ไกลออกไป โลกของข้ากลายเป็นสีดำอีกครั้ง ไม่มีเสียงนางอยู่ ไม่มีฟ้าคราม ไม่มีเมฆขาว

มีเพียงความว่างเปล่า โดดเดี่ยว ความหนาว สายฝน หิมะ สายลมทิ่มแทงกระดูก และความเจ็บปวดสุดขีดกับลมหายใจและกลิ่นอายน่ารังเกียจด้านข้าง

เวลาผ่านไป ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสียงในตอนนั้นไม่เคยดังขึ้นอีก เวลาของข้า…จากนี้ไปจะเป็นสีดำดังแต่ก่อน

ข้าอยากลืมตา ข้าต้องลืมตาขึ้น เพราะข้าจะไปหานาง…หาฟ้าครามของข้า หาสีของฟ้าครามนั้น และยังมีเสียงแห่งความสุข

ข้าอยากยืนขึ้น เพราะนานมากแล้วที่เสียงเจ้าหายไป เจ้าอยู่ที่ใด…น้องสาวข้า เจ้ายังสบายดีอยู่หรือไม่

ข้าอยากพูด เพราะอยากถามทุกคน ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง…เจ้า….อย่าได้เป็นแบบข้า

เพราะเจ้าคือดวงตาของข้า ตอนนั้นเด็กทารกสองคนที่ตี้เทียนเก็บกลับมา คนที่มีชีวิตอยู่คือเจ้า คนที่ตายคือข้า

เพียงหนึ่งความฝัน

ซูหมิงลืมตาขึ้น มองท้องฟ้า มองก้อนเมฆ มองสีสันของโลกใบนี้ ในความคิดยังมีฝันที่ทำให้เขาเศร้าโศก ดวงตาเขาสับสน ทว่ามันก็เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ก่อนกลายเป็นความสงบนิ่ง

นี่คือดวงตาที่ราบเรียบสงบนิ่งจนน่ากลัว!

สายตาแบบนี้ทำให้หัวใจที่นิ่งปานบ่อน้ำของตี้เทียนเกิดระลอกคลื่นทันทีที่เห็น!

ซูหมิงมองตี้เทียน ค่อยๆ นั่งขึ้นบนโลงศพ รอยแผลเป็นจากภูเขาทมิฬบนใบหน้าเปล่งแสงโลหิตขยับวิบวับ ซูหมิงในยามนี้จึงดูเต็มไปด้วยความมืดทะมึนและชั่วร้าย

วินาทีที่เห็นตี้เทียน ซูหมิงหรี่ม่านตาลง นัยน์ตาราวกับมีภาพจำนวนมากแล่นผ่าน สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ความว่างเปล่าอันมืดทึบไร้ที่สิ้นสุด มีชายวัยกลางคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนศีรษะยักษ์ ไม่ได้สวมเสื้อคลุมจักรพรรดิแต่สวมเสื้อตัวยาว

ชายสวมเสื้อคลุมจักรพรรดิตรงหน้านี้เหมือนกับชายวัยกลางคนผู้นั้นมาก!

“ตี้เทียน พวกเราพบกันอีกแล้ว” ซูหมิงก้มหน้าคลึงระหว่างคิ้ว นัยน์ตาแอบเป็นประกายวาววับ ค่อยๆ ยืนขึ้นจากโลงศพ เส้นผมเขามิใช่สีแดงอีกแต่กลายเป็นสีเดิม ตรงระหว่างคิ้วยังมีตราประทับดอกท้ออยู่ ทว่าอ่อนแสงลงไปไม่น้อย

ตี้เทียนหรี่ตาเป็นครั้งแรก เขาไม่กล่าวสิ่งใด แต่จ้องซูหมิงราวกับกำลังพิจารณา

ซูหมิงใช้มือซ้ายคลึงระหว่างคิ้ว ตอนที่กวาดสายตามองโลงศพ ไม่รู้ว่าเหตุใดใจเขาถึงสั่นไหว เหมือนรู้สึกเจ็บปวดจากการหายใจติดขัด

ในดวงตาเขาปรากฏภาพสีดำเหล่านั้นอีกครั้ง ทุกอย่างในความฝันนั้นและยังมีเสียงเยาว์วัย…..ซูหมิงจิตใจสั่นไหว ในใจเขาสับสนยิ่งนักกับทุกอย่างตรงหน้า

เขาจำได้เพียงว่าตนถูกมารดอกท้อของจีฮูหยินกระตุ้นความปรารถนาดั้งเดิมในร่างกาย หลังจากไปเผ่าโคขาวแล้ว เขาก็ระงับความปรารถนาเอาไว้ พยายามดิ้นรนกลับไปให้ถึงเทือกเขา

ก่อนหน้าจะเสียการควบคุม เขาใช้ระฆังเขาหานผนึกตัวเองเอาไว้ จากนั้นก็หมดสติไปนานมาก ต่อให้บางครั้งตื่นขึ้นก็ยังจำได้ว่าอยู่ในระฆังเขาหาน

จนกระทั่งหมดสติในครั้งสุดท้าย จนกระทั่งยามนี้ลืมตาขึ้น เขาเห็นบุคคลที่ทำให้ใจสั่นสะท้าน ชายสวมเสื้อคลุมจักรพรรดิ หรือก็คือบุคคลที่นั่งอยู่บนศีรษะในมิติไม่รู้กี่ปีตอนเขาให้บรรพบุรุษเขาหานยึดวิญญาณ

การปรากฏตัวของบุคคลนี้ทำให้ซูหมิงตื่นตะลึง เดิมทีเขาไม่ควรจะควบคุมอารมณ์เช่นนี้ได้เลย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงควบคุมอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนได้อย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับว่านี่คือสัญชาตญาณที่กำลังตื่นขึ้น

หากเพียงเท่านี้คงไม่เท่าไร ซูหมิงยังพบอีกว่าความคิดตนเหมือนชัดเจนขึ้นกว่าแต่ก่อนไม่น้อย มีภาพคุ้นตาที่เขารู้สึกคุ้นเคยปรากฏวูบวาบ ประดุจว่านี่คือความทรงจำเดิม เพียงแต่ถูกผนึกไว้ และยามนี้ความทรงจำนั้นก็หวนคืนจากการตื่นขึ้น

โดยเฉพาะตอนเขาเห็นโลงศพ ความรู้สึกเด่นชัดนี้ทำให้ภายนอกเขาดูสงบนิ่งยิ่งนัก เขาใช้มือซ้ายตบโลงศพเบาๆ ฝาโลงศพพลันแตกกระจายเป็นเศษจำนวนมาก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ในนั้นอย่างชัดเจน

ในโลงศพนั้นมีรูปปั้นหินนอนอยู่ รูปปั้นหินนี้เป็นหญิงสาวเส้นผมยาว หน้าตาไม่งดงามมาก มีสีหน้าเจ็บปวด นางจึงดูน่าสงสารเวทนา

รูปร่างนางเตี้ยเหมือนพัฒนาการไม่สมบูรณ์ อายุราวสิบห้าสิบหก ทว่าใบหน้ากลับไม่อาจปกปิดอายุจริงๆ ของนางได้

รูปปั้นนี้มีจิตวิญญาณ แทบจะแกะสลักทุกอย่างของนางออกมา เห็นได้ชัดว่าคนแกะสลักตั้งใจมาก

ซูหมิงมองรูปปั้นหินในโลงศพไม้ เกิดเสียงดังสนั่นพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินในใจ รูปร่างของหญิงผู้นี้ เขาเคยเห็นเป็นครั้งแรก ทว่าแม้แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนที่มองนางในใจถึงเจ็บปวดยิ่งนัก ข้างหูเขามีเสียงเยาว์วัยดังก้องขึ้นอีกครั้ง

‘พี่ชาย ท้องฟ้าเป็นสีคราม…’

‘พี่ชาย ข้าเหนื่อย….’

‘พี่ชาย พวกเขาจะให้ข้าไปที่ที่หนึ่ง พอข้ากลับมาแล้วจะมาเยี่ยมท่าน…’

‘พี่ชาย ท่านรีบตื่นเถอะ…’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version