ตอนที่ 419 เป็นมัน!
จ้าวเชมันเผ่าโคขาวเห็นซูหมิงลืมตัว ก็อึ้งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะรู้สึกยินดีในใจ ของศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่าชิ้นนี้ ต่อให้เป็นสมบัติล้ำค่ากว่านี้อีก ก็ไม่มีทางมีค่าไปกว่าชาวเผ่าในใจ
หากให้เขาเลือก ต่อให้วันหนึ่งรู้ว่ามรดกสืบทอดประจำเผ่าเป็นสมบัติล้ำค่ายิ่งใหญ่ เขาก็จะไม่เสียใจภายหลัง…..ขอแค่ชนเผ่าเขามีคนรอดจากภัยพิบัติในครั้งนี้ให้ได้มากขึ้น เด็กเหล่านั้นได้เติบใหญ่ขึ้น หนุ่มสาวในชนเผ่าได้เห็นวันที่ตนแก่เฒ่าเท่านั้นก็พอ
เพื่อสิ่งนี้เขายอมละทิ้งทุกอย่าง สำหรับเข้าแล้ว นี่คือคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเขาหลังจากเป็นจ้าวเชมัน!
ขณะกำลังดีใจ ในใจชายชรากระวนกระวาย นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นซูหมิงคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ การคว้ามือเมื่อครู่นี้ เขารู้สึกว่าหากตนดึงมือกลับ อีกฝ่ายจะต้องเกิดจิตสังหารปานพายุคลั่ง
ยามนี้ชายชราถอยไปหลายก้าว แล้วประสานมือคารวะซูหมิง ขณะซูหมิงกำลังพิจารณาของศักดิ์สิทธิ์อยู่นั้น ชายชราก็กล่าวขึ้นอย่างนอบน้อม
“ไม่ว่าท่านจะช่วยเผ่าโคขาวผู้อ่อนแอนี้หรือไม่ สิ่งนี้เป็นของท่านแล้ว…..ข้าน้อยขอเป็นตัวแทนชาวเผ่าสามร้อยเจ็ดสิบเก้าคน ขออ้อนวอนให้ท่านเห็นใจ ช่วยเผ่าเราสักครั้ง….” ชายชราคนนี้ จ้าวเชมันเผ่าโคขาว ผู้มีใบหน้าไม่น่าดู ปากแหลมแก้มลิง คำพูดมีน้ำเสียงแปลกๆ ขณะถอยไป ก็คุกเข่าให้ซูหมิง
เขาเป็นจ้าวเชมันเผ่าโคขาว มีความทะนงของเขา ตนเป็นเชมันระดับกลาง เขาก็มีภูมิใจของเขา…..จริงๆ แล้ว หากไม่มีชนเผ่าอยู่ ต่อให้ตายก็จะขอยืนตาย จะไม่มีทางคุกเข่าโดยง่าย
ทว่ายามนี้คุกเข่าลงเพื่อชนเผ่า เพื่อใบหน้าคุ้นตาเหล่านั้น เพื่อเสียงเยาว์วัยที่เรียกเขาว่าท่านปู่ และเพื่อมองหนุ่มสาวในเผ่าเติบใหญ่
เขาไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต ตนในวัยเยาว์ แม้มีใบหน้าอัปลักษณ์ ทว่ากลับไม่มีชาวเผ่าคนใดรังเกียจเขา ตอนวัยหนุ่ม เขามีใจแอบรักสตรีที่งดงามที่สุดในชนเผ่า
เขายังไม่มีวันลืมอีกว่า ก่อนจ้าวเชมันรุ่นก่อนสิ้นลง ได้ชี้บอกให้ตนเป็นจ้าวเชมัน สายตาเมตตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวัง ทุกอย่างนี้คือความอบอุ่นของเขา คือส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตเขา
เพื่อชนเผ่า อย่าว่าแต่คุกเข่าอ้อนวอน อย่าว่าแต่มอบของศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่า อย่าว่าแต่ถูกชาวเผ่าสงสัย กระทั่งเขายังจินตนาการได้ว่า ตอนที่ชาวเผ่ารู้ว่าของศักดิ์สิทธิ์หายไป รู้ว่าของศักดิ์สิทธิ์ที่วางอยู่ตอนนี้เป็นของเลียนแบบที่เขาทำขึ้น บางทีอาจจะแค้นและเกลียดเขาไปชั่วชีวิต
ทว่าสิ่งเหล่านี้ เขายอมรับ! ยอมรับเพียงคนเดียว ก็เพื่อ….ความอยู่รอดของชนเผ่า
ซูหมิงคือความหวังเดียวของเขา
ซูหมิงค่อยๆ ละสายตาจากของศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่าโคขาวในมือ
แล้วมองจ้าวเชมันเผ่าโคขาวที่คุกเข่าอยู่ กาลเวลามอบสติปัญญาให้ชายชราผู้นี้ ส่วนความเด็ดขาดก็มาจากนิสัยเขา
เขาทำทุกอย่างเพื่อชนเผ่า แม้ซูหมิงไม่รู้ทั้งหมดก็พอมองออกเล็กน้อย
“ข้าเป็นความหวังเดียวของเจ้ารึ?” ผ่านไปพักใหญ่ ซูหมิงกล่าวเรียบๆ แม้อีกฝ่ายเป็นเผ่าเชมัน แม้ตนมาจากเผ่าหมาน แม้สองเผ่ากำลังทำสงครามกันอยู่ ทว่าสิ่งที่ชายชราทำ ทำให้ซูหมิงนึกถึงท่านปู่ของเขา…..
ชายชราที่คุกเข่าอยู่พยักหน้าเบาๆ
“แล้วหากข้าไม่อยู่ตรงนี้?” ซูหมิงเงียบไปชั่วครู่ ถามมาถึงประโยค
“ข้าจะไปรวมกับเผ่ากระเรียนดำ แม้ราคาที่ต้องจ่ายจะสูงมาก….กระทั่งข้ายังคิดว่าเผ่ากระเรียนดำน่าจะเชิญจีฮูหยินผู้แข็งแกร่งที่สุดในเขตนี้มาด้วย แต่ถ้าหาก
จีฮูหยินมาสร้างปัญหาให้เผ่าโคขาวจริงๆ ข้าก็มีวิธีทำให้นางหยุดมืออยู่….” ชายชราเงยหน้ามองซูหมิง ภายใต้รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าปากแหลมแก้มลิง ยามนี้ดูเต็มไปด้วยสติปัญญา แก่ชรา และยังมีความเหนื่อยล้า
“หากชาวเผ่าสองคนนั้นของเจ้า ไม่มีชนเผ่าใดสนใจพวกเขา และหาผู้แข็งแกร่งมาช่วยพวกเจ้าอพยพไม่ได้ เจ้าจะทำอย่างไร” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
“นั่นคือโชคชะตาของเผ่าโคขาว หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าก็จะอยู่ที่นี่ รอการมาเยือนของแดนรกร้างบูรพาพร้อมกับชาวเผ่า ขณะภัยพิบัติมาถึงก็จะร้องเพลงโบราณ และเต้นระบำที่ชนเผ่าสืบทอดกันมา ความตายก็ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว” ชายชราเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเผยรอยยิ้ม กล่าวเบาๆ
ซูหมิงมองชายชรา ใบหน้าเริ่มมีความเคารพ นี่คือคนที่คู่ควรแก่การนับถือ แม้อีกฝ่ายเป็นเผ่าเชมัน ทว่าตอนที่กล่าวประโยคนี้ ซูหมิงรู้สึกถึงความจริงใจในคำพูด คำพูดแบบนี้ หากไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ คงยากจะให้ใครเชื่อ
“ตอนเริ่มจันทร์วิญญาณ พาชาวเผ่าของเจ้ามา” ซูหมิงหลับตาครู่หนึ่งก่อนลืมตาขึ้น กล่าวเรียบๆ แล้วหมุนตัวเดินไปทางเทือกเขาผนึก ยามนี้ตรงที่กว้างโล่งเกิดระลอกคลื่น ร่างซูหมิงก็ค่อยๆ หายลับเข้าไปในนั้น
ชายชราเผ่าโคขาวมองซูหมิงเดินไกลออกไปด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ เขายืนขึ้น ประสานมือคารวะไปทางนั้น ก่อนจากไปพร้อมกับความหวัง
ภายในผนึกเทือกเขา เงาซูหมิงเดินออกมาจากความว่างเปล่า ในมือกำของศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่าโคขาว เขานั่งขัดสมาธิลงข้างกระบองไม้สีดำ ก้มหน้ามองวัตถุในมือด้วยสีหน้าตื่นเต้น
‘ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นมันที่นี่อีกครั้ง…..มัน คืออะไรกันแน่……’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก สิ่งที่อยู่ในมือเป็นถาดหินลักษณะกลม
ถาดหินนี้ดูธรรมดายิ่งนัก นอกจากรอยแกะสลักแน่นแล้ว ราวกับไม่มีอะไรพิเศษอีก มีเพียงตรงกลางฝังเศษหินเท่าเล็บมือเอาไว้หนึ่งชิ้น สีของมันต่างจากถาดหินเล็กน้อย ฉะนั้นจึงดูเด่นตา
สิ่งที่ทำให้ซูหมิงลืมตัวตอนอยู่ต่อหน้าชายชราเผ่าโคขาว ก็คือเศษหินกลางถาดหินนี้ มันเป็นเศษหินขนาดเท่าเล็บมือ เป็นสีดำทุกส่วน เปล่งแสงอ่อน!
สิ่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับเศษหินพิลึกที่ซูหมิงแขวนอยู่ตรงคอ เพียงแต่ของซูหมิงใหญ่กว่าชิ้นนี้มาก
มีเพียงสิ่งนี้ที่ทำให้ซูหมิงลืมตัวก่อนหน้านี้ แล้วใช้มือคว้ามาจนชายชราสังเกตเห็นพิรุธ ทว่าเทียบกับเรื่องเล็กๆ เหล่านี้แล้ว การได้สิ่งนี้มาถือว่าไม่เป็นอะไร
ซูหมิงจ้องเศษหิน บ้างมีสีหน้าสับสน บ้างก็คะนึงคิด ภาพภูเขาทมิฬในความทรงจำลอยขึ้นในความคิดโดยไม่รู้ตัว
ตั้งแต่ได้เศษหินนี้มา จนกระทั่งหลอกเทวรูปหมานจนได้ฝึกวิชาหมาน มาจนถึงภูเขาทมิฬถูกทำลาย และได้รับมรดกสืบทอดจากหมานวายุและหมานอัศนี…
เศษหินสีดำนี้เปลี่ยนทุกอย่างของเขา
ซูหมิงเหม่อมองถาดหินอยู่นาน จนกระทั่งตะวันลาลับขอบฟ้า เขาจึงถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน ความทรงจำเหล่านั้นทำให้เขามีความรู้สึกโหยหาเป็นครั้งแรก
เมื่อจิตใจสงบลงแล้ว ซูหมิงก็ดึงเศษหินสีดำมาจากคอแล้ววางไว้บนถาดหิน ทันใดนั้น เศษหินในถาดหินพลันขยับแสงอ่อนวิบวับ ขณะเดียวกัน เศษหินของซูหมิงก็ขยับแสงอ่อนเช่นกัน ราวกับส่องสะท้อนกันและกัน
ต่อมา สิ่งที่ทำให้ซูหมิงตกตะลึงคือลายแกะสลักบนถาดหินเปล่งแสงสีขาวขึ้น ในสายตาซูหมิง มันค่อยๆ หมุนตัวเหมือนมีชีวิต
ทว่าหมุนเพียงสามรอบก็อ่อนแสงลงในทันใด อีกทั้งด้านบนยังเกิดรอยร้าวเหมือนจะแตก นัยน์ตาซูหมิงวูบไหว รีบเก็บเศษหินสีดำของตนไป ถาดหินจึงไม่แตกกระจาย
‘สิ่งนี้ถูกฝังอยู่บนถาดหิน ไม่รู้ว่าถาดหินนี้มีความพิเศษอย่างไร ครั้งหน้าตอนจ้าวเชมันเผ่าโคขาวมาต้องลองถามสักหน่อย’ ซูหมิงลูบคาง พยายามระงับความตื่นเต้นในใจ ก่อนเก็บถาดหินเข้าไปในถุงเก็บวัตถุ
‘โลกเก้าหยิน…โบราณสถานยุคบรรพกาลอย่างนั้นหรือ ดอกเก้าอเวจีในนั้นจะทำให้มีโอกาสรอดชีวิตจากภัยพิบัติเป็นตายตอนทะลวงขั้นวิญญาณหมานมากขึ้นเล็กน้อย เรื่องนี้ข้าไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลย ทว่าจากคำพูดของชายชราเผ่าโคขาวก็ไม่น่าจะพูดโกหก
อีกทั้งชาวเผ่าเชมันยังศึกษาวิชาคำสาปมาจากที่นั่น เมื่อเป็นเช่นนี้ บางทีในโลกเก้าหยินอาจจะมีสมบัติโบราณอยู่ อย่างเช่น…’ ซูหมิงก้มหน้ามองแหวนสีแดงในมือ สิ่งนี้เขายังไม่มีเวลาศึกษามัน
‘ชาวเผ่าหมานก็ยังคิดหาวิธีเข้าไปด้วยหรือ บางทีอาจได้เจอคนรู้จักที่นั่น และยังมีเผ่าเชมัน…..’ นึกถึงคนเผ่าเชมัน ซูหมิงรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย ปัญหาที่หงหลัวสร้างขึ้น ซูหมิงไม่รู้ว่าหากเจอหน้าพวกหวั่นชิวแล้วควรจะกล่าวอย่างไรดี
ซูหมิงขบคิดครู่หนึ่งแล้วก็ส่ายศีรษะ ไม่คิดเรื่องน่าปวดหัวนี้อีก เขารู้ว่าตอนนี้ยังไปธารน้ำแข็งทะเลมรณะไม่ได้สักระยะ การหลอมรวมผลึกอัศนีก็เลยต้องหยุดไปชั่วคราวก่อน
ขณะรอชาวเผ่าโคขาวมา ซูหมิงจึงตัดสินใจว่าจะศึกษาวิชาคำสาปสักเล็กน้อย ขณะเดียวกันจะฝึกใช้สามรูปแบบแยกวายุจากมรดกหมานวายุให้คล่องด้วย
นอกจากนี้ กระบองไม้สีดำที่เขาฝ่าอันตรายครั้งใหญ่เพื่อแย่งชิงมา จะต้องศึกษาด้วยให้มากขึ้นด้วย เพื่อดูว่ามีความพิเศษอื่นๆ อีกหรือไม่
นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว วิญญาณแรกในร่างแยกยังบาดเจ็บสาหัส ยามนี้กำลังบำรุงรักษาตัวอยู่ ทว่าที่นี่มีพลังฟ้าดินเข้มข้น ต่อให้ไม่มีโอสถวิญญาณ ก็ค่อยๆ ทุเลาอาการบาดเจ็บได้
เวลาผ่านไปครึ่งเดือนกว่า ในยี่สิบกว่าวันนี้ ร่างแยกซูหมิงฟื้นตัวกลับมาเล็กน้อย วิญญาณแรกไม่หย่อนยานอีก แม้ยังอ่อนแออยู่เล็กน้อย ทว่าก็ดูมีชีวิตชีวา
ส่วนกระบองไม้สีดำ แม้ซูหมิงคิดหาวิธีเก็บมันเข้าถุงเก็บวัตถุไม่ได้ ทว่าก็ค้นพบว่าของสิ่งนี้ไม่เพียงแต่ปรับน้ำหนัก แต่มันยังปรับขนาดและเปลี่ยนเป็นมายาได้ หลังจากย่อขนาดมันให้เล็กลงแล้ว ก็นำพกติดตัวไป
และยังมีแหวนสีแดง พลังภายในแหวนนั้นทำให้ซูหมิงเคลิบเคลิ้มไปกับการศึกษามันเล็กน้อย พลังคำสาปนี้ยิ่งใหญ่นัก ซูหมิงสับสน และยังคงคลำหาเงื่อนงำไม่พบ เพียงแต่ทุกครั้งที่จิตใจตกอยู่ในห้วงความคิดเขาจะเหม่อลอย
ยามเช้าตรู่วันหนึ่ง ซูหมิงตื่นจากห้วงความคิดในแหวนสีแดง เขายังคงมีสีหน้าสับสน ผ่านไปพักหนึ่งถึงได้สติกลับมา
“พลังคำสาป…..” ซูหมิงพึมพำเบาๆ พลันหน้าเปลี่ยนสี เงยหน้ามองไปนอกผนึก
ผ่านไปครู่หนึ่ง มีเสียงชายชราเผ่าโคขาวดังแว่วเข้ามา
“ท่านผู้ดูดวิญญาณ จ้าวเชมันเผ่าโคขาวมาขอพบ ข้าพาชาวเผ่าที่มีคุณสมบัติฝึกการดูดวิญญาณมาด้วย”
ซูหมิงยืนขึ้น สะบัดชายเสื้อ หนอนงูพลันบินเข้ามาแล้วหายไปตรงข้างกายเขา ขณะเดียวกัน ศพพิษกลายเป็นเส้นสีดำเข้าไปในถุงเก็บวัตถุของซูหมิง ส่วนร่างแยก วิญญาณแรกบินออกมาจากในกาย หลังจากมุดเข้าไปในกลางกระหม่อมซูหมิงแล้ว
ซูหมิงก็เก็บร่างหุ่นเชิดของจีอวิ๋นไห่รวมถึงแมลงปีกแข็งสีดำที่หลับใหลอีกครั้งเหล่านั้น ก่อนจะยกมือขวาขึ้นเนิบๆ ชี้ไปข้างหน้า
มวลอากาศตรงหน้ามีระลอกคลื่นสั่นไหว ปรากฏเป็นช่องโหว่ ชายชราเผ่าโคขาวพาเด็กสาวเด็กหนุ่มผู้มีสีหน้าตึงเครียดเดินเข้ามา