Skip to content

สู่วิถีอสุรา 420

ตอนที่ 420 เด็กหนุ่มเด็กสาว

ช่วงที่จ้าวเชมันโคขาวกับเด็กหนุ่มเด็กสาวเดินเข้ามาในผนึกนอกเทือกเขา ซูหมิงสวมหน้ากากสีดำเรียบร้อยแล้ว เขายืนอยู่ตรงนั้น ด้วยการเสริมของเสื้อคลุมดำทั้งตัว บวกกับไอหนาวที่หลงเหลือในกายเขา และยังมีผนึกน้ำแข็งประตูความว่างเปล่าอีก เมื่อเทียบกับความร้อนจากโลกภายนอกแล้วจึงหนาวยิ่งนัก

หลังจากเด็กหนุ่มเด็กสาวเข้ามาอย่างตึงเครียดแล้วก็ตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจเป็นไอขาว มองแววตาซูหมิงที่แฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขาม เชมันผู้ยิ่งใหญ่อย่างซูหมิงคนนี้สร้างภาพในความทรงจำพวกเขาไว้ลึกซึ้งยิ่งนัก ตอนที่ซูหมิงผมแดงมายังเผ่าโคขาว ภาพตอนนั้นยังฝังลึกลงในใจ

“ท่าน เป็นเด็กสองคนนี้” จ้าวเชมันเผ่าโคขาวเดินหน้าเข้ามา ประสานมือคารวะซูหมิง

“วันพรุ่งนี้ช่วงวิญญาณหนึ่งเค่อแรก จันทร์วิญญาณจะปรากฏ วิหารเทพเชมันจะใช้วิชาโบราณ ถึงวาระนั้นเด็กผู้มีคุณสมบัติผู้ดูดวิญญาณทั้งแผ่นดินเชมันจะรู้สึกถึงการฉุดดึง เมื่อใช้การเรียกหาสายเลือดผู้ดูดวิญญาณและใช้หินจิตวิญญาณเป็นตัวนำก็จะถูกเคลื่อนย้ายไป ตอนไปต้องใช้หินจิตวิญญาณด้วย”

ขณะชายชราเผ่าโคขาวกล่าวก็หยิบหินผลึกสีขาวมาจากอกเสื้อสามก้อน หินสามก้อนนี้มีลักษณะกลม ดูสว่างพร่างพราวเล็กน้อย ทว่าไม่โปร่งใส

ชายชราวางหินสามก้อนไว้ด้านข้างอย่างนอบน้อม หินสามก้อนนี้เป็นมรดกสืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นของเผ่าโคขาว ตระเตรียมเพื่อให้ชาวเผ่าผู้มีคุณสมบัติผู้ดูดวิญญาณเปิดการฝึกฝนดูดวิญญาณ

“หลังจากท่านช่วยเด็กสองคนนี้เปิดการฝึกฝนผู้ดูดวิญญาณแล้ว ก็ช่วยส่งพวกเขากลับเมืองเชมันพอ ดูแล้วท่านคงอยากเดินทางเพียงลำพังเป็นแน่ ตรงจุดที่มีหอคอยเชมันอยู่ในโลกเก้าหยิน ท่านใช้หินจิตวิญญาณกลับมาได้ทุกเมื่อ”

ชายชราเผ่าโคขาวประสานมือคารวะซูหมิง แล้วเงยหน้ามองเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งสองคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“พวกเจ้าสองคนฟังให้ดี การเดินทางครั้งนี้จะต้องฟังคำสั่งท่านผู้ดูดวิญญาณทุกอย่าง หากไม่ปฏิบัติตามและเอาแต่ใจ ก็ให้ลองนึกถึงชนเผ่าของพวกเจ้า!

ท่านขอรับ หากเด็กสองคนนี้ไม่ปฏิบัติตาม ท่านมีสิทธิ์กำหนดความเป็นตายได้ คนที่ไม่สนใจความทุกข์ยากของชนเผ่า สู้ให้ตายในโลกเก้าหยินเสียยังดีกว่า”

เด็กหนุ่มเด็กสาวพลันมีสีหน้าเคารพนบนอบ กล่าวขานรับขณะในใจตึงเครียด

“ท่าน รบกวนด้วย….” ชายชราเผ่าโคขาวมองเด็กสาวและเด็กหนุ่มด้วยสายตาซับซ้อนแวบหนึ่ง แล้วมองซูหมิงพลางกล่าวเสียงเบา

“ให้พวกเขาอยู่ที่นี่ เจ้าไปเถอะ” ซูหมิงกล่าวเนิบๆ

หลังจากชายชราเผ่าโคขาวมองเด็กหนุ่มและเด็กสาวอีกครั้งแล้วก็หมุนตัวเดินออกไปข้างนอก ทว่าทันทีที่เขากำลังจะเดินออกจากผนึก ซูหมิงพลันขยับริมฝีปาก

ชายชราหยุดชะงัก หันหน้าไปมองซูหมิง

“สิ่งนี้ไม่เคยมีผู้ควบคุมมันได้มาหลายยุคหลายสมัยแล้ว ทว่าในคัมภีร์ของเผ่ามีบันทึกเอาไว้ สิ่งนี้จะเลือกเจ้านายเอง ประโยชน์ที่สุดของมันคือการค้นหาร่องรอย

ส่วนประวัติของมัน ข้าเคยศึกษามาแล้ว…..” ชายชรากล่าวก่อนลังเลครู่หนึ่ง แล้วหยิบแผ่นไม้บันทึกม้วนหนึ่งมาจากในอกเสื้อ ส่งให้ซูหมิงอย่างนุ่มนวล แผ่นไม้บันทึกนี้ลอยไปหาซูหมิง เมื่อเขารับเอาไว้แล้วก็ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบแวบหนึ่ง จากนั้นพยักหน้า

ชายชราคำนับแล้วเดินหายเข้าไปในระลอกคลื่นกระเพื่อมของผนึก ที่แห่งนี้จึงเหลือเพียงซูหมิงกับเด็กสาวเด็กหนุ่ม

ซูหมิงไม่สนใจเด็กสาวเด็กหนุ่มคู่นั้น เขานั่งขัดสมาธิลงบนพื้น หยิบแผ่นไม้บันทึกขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด

เด็กสาวและเด็กหนุ่มเผ่าโคขาวมีใบหน้าหล่อเหลาและงดงามยิ่งนัก ทว่ายามนี้ภายใต้ความกลัว จึงดูตัวสั่นเล็กน้อย พวกเขาสองคนมองหน้ากันและกัน ก่อนนั่งลงห่างจากซูหมิงไม่ไกลนักอย่างว่าง่าย เงียบสนิท ราวกับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไม่นานก็เข้าสู่กลางดึก ท้องฟ้าวันนี้มืดทึบไม่มีดารา แม้แต่แสงจันทร์ยังซ่อนอยู่หลังเมฆหมอก แต่จะปรากฏเป็นบางครั้ง ทำให้แผ่นดินมีแสงจันทร์นุ่มนวลสาดส่องลงมา

โดยรอบเงียบสงบ ซูหมิงถือแผ่นไม้บันทึก หลับตาขบคิด

เด็กหนุ่มสาวคู่นั้นอาจจะนั่งอยู่บนพื้นเย็นๆ เป็นเวลานาน ร่างกายเลยเหน็บชาเล็กน้อย แต่กลับไม่กล้ายืนขึ้น เพียงใช้มือลูบเฉยๆ

ยามเช้ามืด เพราะที่นี่มีอากาศหนาวอยู่แล้ว ตอนนี้จึงหนาวยิ่งกว่าเดิม ภายใต้ความหนาวและความหวาดกลัว เด็กหนุ่มเด็กสาวเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก และเริ่มรู้สึกง่วงงุน ทว่าขณะกำลังสะลึมสะลือ พลันมีเสียงร้องพิลึกดังแว่วมาจากในเทือกเขา

เสียงนี้มากะทันหันยิ่งนัก ทำให้เด็กทั้งสองตกใจตื่นและมองไปอย่างตึงเครียด พวกเขาเห็นเงาสีแดงในค่ำคืนมืดมิดลากยาวเข้ามาจากบนเทือกเขาไม่ไกลนัก เมื่อเข้ามาใกล้แล้วพวกเขาจึงเห็นชัดว่ามันเป็นวานรสีแดงเพลิงตัวหนึ่ง

วานรตัวนี้เกาศีรษะ พลางกระโดดวนรอบตัวซูหมิงที่กำลังนั่งฌานอยู่หลายรอบ ก่อนมองเด็กสาวเด็กหนุ่ม มันแยกเขี้ยว ทำท่าทางดุร้าย แกล้งปล่อยน้ำลายไหลหยดลงพื้น ค่อยๆ เดินเข้าไปหาพวกเขาทีละก้าวพร้อมกับส่งเสียงร้อง

เด็กหนุ่มเด็กสาวหน้าซีดขาว ความดุร้ายจากในตัววานรเพลิงทำให้พวกเขาที่หนาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วตัวสั่นยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะชั่วขณะที่วานรเพลิงพุ่งเข้ามา เด็กหนุ่มกรีดร้อง รีบกลิ้งคลานถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว แต่ข้างกายมีพายุม้วนขึ้น วานรเพลิงพลันเข้ามาใกล้ แต่ก็ไม่ได้ตามต่อไป มันทำสีหน้าเย้าเล่น นั่งอยู่ข้างเด็กสาวที่ใบหน้าซีดขาวทว่าไม่ยอมถอยหนี หันหน้าพิจารณามองนางอย่างละเอียด

เด็กสาวคนนี้อายุเพียงสิบห้าสิบหกปี ใบหน้าขาวบริสุทธิ์ ดวงตาปานหงส์ ยามนี้แม้หวาดกลัว ทว่ากลับมองวานรเพลิงอย่างแน่วแน่

วานรเพลิงแยกเขี้ยวใส่เด็กสาว ทว่านางก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เพียงใบหน้าขาวซีดขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้ดูตื่นกลัวมากเกินไป

ราวกับว่าวานรเพลิงรู้สึกเบื่อ มันจึงเอนกายนอนลงตรงนั้น ไม่นานก็กรนเสียงดังหลับไป ผ่านไปครู่หนึ่งเด็กสาวก็รู้สึกว่าอากาศโดยรอบไม่หนาวมากแล้ว มีไอร้อนแผ่มาจากตัววานรเพลิง ทำให้ความหนาวในร่างกายค่อยๆ กลายเป็นอบอุ่น

ดวงตานางพลันเปล่งประกาย มองวานรเพลิงที่นอนกรน และก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ดุร้ายอะไร เดิมทีนางเป็นคนฉลาด ยามนี้จึงมองออกว่าวานรเพลิงไม่มีเจตนาร้ายจริงๆ

“ขอบคุณผู้อาวุโส” เด็กสาวยืนขึ้น มองซูหมิงที่ยังคงหลับตานั่งฌานอยู่แล้วกล่าวเสียงเบา

ราวกับว่าซูหมิงไม่ได้ยิน เขายังคงนั่งฌานอยู่ตรงนั้น

เด็กสาวไม่ถือสา นางเดินเบาๆ มาอยู่ข้างวานรเพลิง ยกมือขวาขึ้นจะลูบขนมัน ทว่าทันใดนั้น เด็กหนุ่มคนที่กลิ้งออกไปไกลและยังตกใจจนตัวสั่นก่อนหน้านี้เบิกตากว้าง พยายามจะเตือนอย่างร้อนใจ แต่ก็กลัววานรตื่นขึ้นอีก

ทว่าช่วงที่มือเด็กสาวสัมผัสกับวานรเพลิง มันพลันลืมตาขึ้นแยกเขี้ยวคำรามใส่นาง ท่าทางมันดูน่ากลัวยิ่งนัก ดุจดั่งจะกินคน

เด็กสาวรู้สึกกลัวในใจ ทว่าใบหน้ากลับเผยรอยยิ้ม มือขวาวางบนขนวานรเพลิงอย่างแน่วแน่แล้วลูบเบาๆ ส่วนเด็กหนุ่มข้างกาย ยามนี้แทบจะลมหายใจแข็งค้าง

เสียงคำรามวานรเพลิงค่อยๆ เบาลง มันมองเด็กสาวแวบหนึ่งแล้วก็จัดท่านอนใหม่ ปล่อยให้อีกฝ่ายลูบขนไป ไม่นานมันก็มีท่าทางสุขสบาย เด็กสาวจึงส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดุจกระดิ่งเงิน

“อาหู่ เจ้าเข้ามาเถอะ ไม่เป็นไร ตรงนี้อุ่นกว่า” เด็กสาวกล่าวกับเด็กหนุ่ม

เด็กหนุ่มลังเลครู่หนึ่ง ตอนที่ก้าวเท้าเตรียมจะเข้ามานั้น วานรเพลิงเงยหน้าขึ้นแยกเขี้ยวใส่เขา เด็กหนุ่มคนนี้หยุดชะงัก ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่กล้าเข้าใกล้มากเกินไปอีก

แม้จะเป็นเช่นนั้น ตรงจุดที่เขาอยู่ก็ค่อยๆ อบอุ่นขึ้น ในร่างกายมีความอบอุ่นก่อตัว

ยามค่ำคืนผ่านไป เด็กสาวหลังพิงวานรเพลิง ยามนี้หาววอดแล้วหลับบนตัวมัน ส่วนเด็กหนุ่มนึกอิจฉาในใจ ทว่าก็หวาดกลัวจนไม่กล้านอนหลับ

การมาเยือนของวานรเพลิงครั้งนี้ แม้อ่านนิสัยพวกเขาไม่ออกทั้งหมดก็พอรู้บ้างเล็กน้อย ทันทีที่ตะวันแรกส่องลงมา ซูหมิงลืมตาขึ้น แล้วกวาดสายตามองเด็กสาวและเด็กหนุ่ม

‘เด็กหนุ่มคนนี้เพียงอิจฉา ไม่ได้ริษยา แม้จิตใจอ่อนแอ ทว่าพอสหายจะทำเรื่องเสี่ยงอันตรายกลับวิตกกังวล นิสัยเดิมซื่อสัตย์…แต่ยังต้องขัดเกลา’

‘ส่วนเด็กสาว…..เด็กคนนี้กล้าหาญ มองออกจากจุดเล็กๆ ว่ายามอยู่ที่นี่ หากไม่ทำความผิดก็จะไม่เป็นอันตราย อีกทั้งยังมองออกว่าข้าให้วานรเพลิงมาเพื่อสลายความหนาวให้

นอกจากนี้หากในใจมีความเด็ดขาด ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ และหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป บนเส้นทางการฝึกฝนของเด็กคนนี้ บางทีอาจไปได้ไกลกว่าเด็กหนุ่ม ทว่านิสัยแบบนี้จะเป็นคนดื้อรั้นอย่างเห็นได้ชัด มีความคิดที่มากเกินความจำเป็น อีกทั้งยังเชื่อคนง่าย ไม่รู้ทันโลก…..

หากพูดถึงโอกาสมีชีวิตรอด บางทีนางอาจมีโอกาสตายง่ายกว่าเด็กหนุ่ม เผ่าโคขาวส่งสองคนนี้มาถือว่ายังพอใช้ได้’ ซูหมิงละสายตากลับแล้วหลับตาลงอีกครั้ง การตัดสินของเขามีมาตรฐานก็คือตัวเขาเอง

เวลาผ่านไปอีกครั้ง เมื่อยามเที่ยงวันมาถึง เด็กสาวและเด็กหนุ่มตื่นแล้ว วานรเพลิงไม่รู้หายไปที่ใด ตอนที่ซูหมิงลืมตาอีกครั้ง หินจิตวิญญาณสีขาวสามก้อนตรงหน้าเขาเปล่งแสงอ่อนนุ่ม

ราวกับว่ามันดูดแสงตะวันบนท้องฟ้า เพียงแต่แสงนี้ไม่สว่างจ้ามากนัก

ซูหมิงมองแวบหนึ่งแล้วก็ยกมือขวาสะบัดขึ้นท้องฟ้า ตรงผนึกบนท้องฟ้าพลันเกิดช่องโหว่ แสงตะวันส่องตรงลงมายังหินจิตวิญญาณสามก้อน

เวลานี้เด็กสาวเด็กหนุ่มยืนขึ้น มองหินจิตวิญญาณสามก้อนอย่างตึงเครียด

“ผะ…ผู้อาวุโส พวกเราจะผ่านไปได้หรือไม่?” คนที่กล่าวเป็นเด็กสาว เสียงนางเบาบาง เห็นได้ชัดว่าในสายตานาง ซูหมิงยังคงน่าเกรงขามเสมอ

เมื่อเห็นซูหมิงพยักหน้าแล้ว เด็กสาวก็เดินเข้ามาอยู่ข้างหินจิตวิญญาณสามก้อน ส่วนเด็กหนุ่มเดินตามมาติดๆ ขาสั่นเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลง ทั้งสองคนหลับตาพร้อมกัน ไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไร หินจิตวิญญาณสามก้อนถึงพลันเปล่งแสงสว่างจ้าลานตา แสงนั้นขยายออกสู่ข้างนอก ห่อหุ้มซูหมิงเอาไว้แล้วกลายเป็นลำแสงพุ่งขึ้นฟ้า!

แสงนั้นยาวติดกันครึ่งก้านธูปแล้วจึงค่อยๆ หายไป ซูหมิงกับเด็กทั้งสองก็หายไปด้วย ตรงช่องโหว่ผนึกบนท้องฟ้าค่อยๆ ผสานรวมกัน และกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง

ช่วงที่แสงพุ่งขึ้นฟ้า ชายชราภายในเผ่าโคขาวเงยหน้าขึ้นมองด้านบน มีสีหน้าเฝ้ารอคอย

“ความหวังของเผ่าโคขาว…..อยู่ที่พวกเจ้าแล้ว…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version